แกรนด์ดัชเชสมารี-อาเดลาอีดแห่งลักเซมเบิร์ก
แกรนด์ดัชเชสมารี-อาเดลาอีดแห่งลักเซมเบิร์ก (ลักเซมเบิร์ก: Maria Adelheid Theresia Hilda Antonia Wilhelmina vu Lëtzebuerg, ฝรั่งเศส: Marie Adélaïde Thérèse Hilda Antonie Wilhelmine, พระนามเต็ม: มารี อเดเฮด เทเรซ ฮิลดา วิลเฮลมิเน ฟอน นัสเซา-ไวล์บวร์ก; 14 มิถุนายน พ.ศ. 2437 – 24 มกราคม พ.ศ. 2467) ทรงเป็นแกรนด์ดัสเชสผู้ครองลักเซมเบิร์กพระองค์แรก ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2455 ถึง 2462 และเป็นเจ้าผู้ครองลักเซมเบิร์กสตรีพระองค์แรกนับแต่ดัชเชสมารีที่ 2 เตเรซา และทรงเป็นเจ้าผู้ครองลักเซมเบิร์กพระองค์แรกที่ประสูติในดินแดนนับแต่เคานต์จอห์นพระเนตรบอด (พ.ศ. 1839) แกรนด์ดยุกกีโยมที่ 4 แห่งลักเซมเบิร์ก พระบิดา ทรงถือว่าพระนางเป็นทายาทใน พ.ศ. 2450 เพื่อป้องกันวิกฤตการสืบราชบัลลังก์เนื่องจากทรงไม่มีพระราชโอรส แกรนด์ดัชเชสมารี-อาเดลาอีดทรงครองรัฐเป็นเวลาไม่ถึง 7 ปีผ่านสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และด้วยทรงถูกมองว่าสนับสนุนการยึดครองของเยอรมนีจึงทำให้พระนางไม่เป็นที่นิยมทั้งในลักเซมเบิร์กและในประเทศเพื่อนบ้านฝรั่งเศสและเบลเยียม ใน พ.ศ. 2462 พระนางสละราชสมบัติแก่พระขนิษฐา เจ้าหญิงชาร์ล็อต ตามคำแนะนำของรัฐสภา หลังจากสละราชบัลลังก์ พระนางทรงบวชเป็นนักพรตหญิงในประเทศอิตาลี ก่อนสึกเพราะทรงพระประชวร พระนางสิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศเยอรมนีเมื่อ พ.ศ. 2467 ช่วงต้นพระชนม์ชีพเจ้าหญิงมารี-อาเดลาอีด ประสูติเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2437 ณ ปราสาทเบิร์ก เป็นพระราชธิดาพระองค์โตในแกรนด์ดยุกกีโยมที่ 4 แห่งลักเซมเบิร์กกับอิงฟังตามารีอา อานาแห่งโปรตุเกส พระอัยกาและพระอัยยิกาฝ่ายพระมารดาของเจ้าหญิงคือ พระเจ้ามีแกลแห่งโปรตุเกสกับอาเดิลไฮท์แห่งเลอเวินชไตน์-แวร์ทไฮม์-โรเซินแบร์ค ด้วยพระราชบิดาของพระนางมีพระราชธิดาถึง 6 พระองค์แต่ไม่มีพระโอรส พระองค์จึงทรงประกาศให้เจ้าหญิงมารี-อาเดลาอีดเป็นทายาทโดยสันนิษฐานในวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2450 เพื่อทรงแก้ไขวิกฤตการสืบราชสัตติวงศ์ ดังนั้นมีพระราชบิดาสิ้นพระชนม์ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2455 เจ้าหญิงทรงครองราชบัลลังก์สืบต่อขณะมีพระชนมายุ 17 พรรษา ทำให้ทรงเป็นแกรนด์ดัสเชสพระองค์แรกแห่งราชรัฐลักเซมเบิร์ก พระนางมารี แอนน์ พระราชมารดาทรงดำรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จนถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษา 18 พรรษาของแกรนด์ดัสเชสมารี-อาเดลาอีดในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2455 เมื่อนายกรัฐมนตรีออกุสต์ ลาวาลถวายคำสัตย์ปฏิญญาณต่อพระนางเป็นพระมหากษัตริย์ชาวลักเซมเบิร์กพระองค์แรกที่ประสูติในดินแดนนับแต่เคานต์จอห์นพระเนตรบอด สุนทรพจน์ของลาวาลต่อรัฐสภาระหว่างพระราชพิธี คือ
แกรนด์ดัชเชสมารี-อาเดลาอีดมีพระราชดำรัสในพระราชพิธีนี้ของพระนางเอง ดังนี้
ครองราชย์แกรนด์ดัชเชสมารี-อาเดลาอีดทรงสนพระทัยในการเมืองอย่างมากและทรงมีบทบาทในรัฐบาลและชีวิตการเมืองของราชรัฐ พระนางทรงเป็นคาทอลิกเคร่ง โดยมีความศรัทธาทางศาสนาอย่างแรงกล้าและมุมมองทางการเมือง ในวันเสด็จขึ้นครองราชย์ วันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2455 แกรนด์ดัสเชสมารี-อาเดลาอีดมีพระปฐมบรมราชโองการว่า
วันเดียวกัน พระนางทรงปฏิเสธลงพระนามาภิไธยในกฎหมายลดบทบาทของพระคาทอลิกในระบบการศึกษา[4] สงครามโลกครั้งที่หนึ่งและวิกฤตการเมืองรัฐบาลพอล ไอส์เซนแกรนด์ดัสเชสมารี-อาเดลาอีดไม่ทรงได้รับการเรียนรู้ด้านการเมืองการปกครองจากพระราชบิดา ในความเป็นจริงตามพระปฐมบรมราชโองการของพระนางซึ่งทรงกล่าวโดยนัย โดยในขณะนั้นพระนางจำต้องพึ่งพาคำแนะนำเกี่ยวกับประสบการณ์การเมืองจากรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำปรึกษาจากนายกรัฐมนตรี พอล ไอส์เชน ผู้มีอิทธิพลทางการเมืองสูงในรัชกาลพระอัยกาและพระราชบิดา และนายกรัฐมนตรีไอส์เซนก็มีอิทธิพลมากขึ้นในช่วงที่แกรนด์ดยุควิลเล็มที่ 4 พระราชบิดาทรงพระประชวร และช่วงที่แกรนด์ดัสเชสมารี แอนน์ พระราชมารดา สำเร็จราชการแผ่นดิน แนวคิดไอส์เซนมักถูกต่อต้านโดยแกรนด์ดัสเชสมารี-อาเดลาอีด มีการปะทะกันเล็กน้อยระหว่างทั้งสองฝ่ายที่มีเหนือฝ่ายการเมืองหัวรุนแรงในตำแหน่งของรัฐบาล กลุ่มคอมมิวนิสต์, สังคมนิยมและกลุ่มลัทธิต่อต้านศาสนจักรได้รับแรงสนับสนุนในลักเซมเบิร์ก ผู้สนับสนุนลัทธิเหล่านี้ได้ใช้ถ้อยคำชักจูงโน้มน้าวเกี่ยวกับประชาธิปไตยเพื่อสร้างกระแสให้สถาบันพระมหากษัตริย์คาทอลิกเป็นศัตรูกับประชาชน โดยตรงกันข้ามกับแกรนด์ดัสเชสมารี-อาเดลาอีดที่ทรงศรัทธาในศาสนาสูง ซึ่งทรงทำการติดต่อและอุทิศพระองค์กับพระคณะคาร์เมไลท์ผู้ซึ่งยังคงมีอิทธิพลในการธำรงรักษาความเชื่อความศรัทธาท่ามกลางพสกนิกรของพระนาง พระนางทรงฟื้นฟูผู้จาริกแสวงบุญและพิธีเข้ารีตเป็นคริสต์ศาสนิกชนที่ซึ่งเสื่อมไปในรัชกาลพระราชบิดาของพระองค์ซื่งเป็นโปรแตสแตนต์ และทรงสามารถสร้างความพอใจแก่พสกนิกรได้ ทรงเคยตรัสและแย้งว่า
การอุบัติอย่างรุนแรงและทันทีทีนใดของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งใน พ.ศ. 2457 จักรวรรดิเยอรมันทำลายความเป็นกลางของลักเซมเบิร์กและบุกครองลักเซมเบิร์กในวันที่ 2 สิงหาคม แม้แกรนด์ดัสเชสมารี-อาเดลาอีดและรัฐบาลประท้วงรัฐบาลเยอรมนีอย่างเป็นทางการ แต่ก็ไม่อาจขับไล่กองทัพออกจากประเทศได้ พระนางจึงตัดสินพระทัยไม่ต่อต้านผู้รุกราน แต่ทรงพยายามดำรงสถานะความเป็นกลางของลักเซมเบิร์กตลอดสงคราม ความแตกแยกระหว่างแกรนด์ดัสเชสกับนายกรัฐมนตรีไอส์เซนได้ตึงเครียดขึ้นเมื่อมีการเสนอลดบทบาทของศาสนาในระบบการศึกษา ซึ่งแกรนด์ดัสเชสทรงคัดค้านความปรารถนาของนายกรัฐมนตรี ทรงปฏิเสธที่จะลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติ[6] เชื่อว่าพระนางตรัสถึงนายกรัฐมนตรีว่า
ซึ่งแกรนด์ดัสเชสทรงปฏิเสธที่จะเคลื่อนไหวและมีพระราชปฏิสันถารให้นายกรัฐมนตรีไอส์เซนลาออกจากตำแหน่งถ้าเขาไม่เห็นด้วยตามพระราชเสาวนีย์ เรื่องนี้เป็นแรงกดดันให้นายกรัฐมนตรไอส์เซนเตรียมการลาออกจากตำแหน่งด้วยความเสียใจ แต่ก็ล้มเลิก[8] ก่อนที่เขาเกิดหัวใจวายซึ่งเป็นเหตุให้เขาถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2458 การอสัญกรรมของเขาทำให้ระบบการเมืองของลักเซมเบิร์กสั่นคลอน[9] เมื่อสงครามได้เริ่มต้นขึ้นขณะนั้นไอส์เซนมีอายุ 73 ปี ดำรงเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งลักเซมเบิร์กว่า 27 ปี ทำให้เป็นรัฐบาลหนึ่งเดียวที่ชาวลักเซมเบิร์กรู้จักกันมาก โดยตลอดปีแรกของการยึดครองโดยทหารเยอรมัน ทำให้เขากลายเป็นศูนย์รวมของชาวลักเซมเบิร์ก และเขาก็ได้รับความสำคัญจากการที่เป็นผู้รักษาสถานะของแกรนด์ดัสเชสมารี-อาเดลาอีด[10] ในช่วงที่เกิดวิกฤต ไอส์เซนได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภาลักเซมเบิร์กและเขาจัดการโดยยึดรัฐบาลหลักร่วมกับฝ่ายการเมืองใหญ่ ๆ โดยปรากฏความเป็นเอกภาพหนึ่งเดียวไว้ รัฐบาลมัทธีอัส มองเกนาสท์หลังไอส์เซนถึงแก่อสัญกรรม แกรนด์ดัชเชสมารี-อาเดลาอีดมีพระบรมราชโองการให้มัทธีอัส มองเกนาสท์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตั้งแต่ พ.ศ. 2425 มาเป็นนายกรัฐมนตรีจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย สถานะพิเศษของมองเกนาสท์คือ "รัฐบาลเฉพาะกาล" นายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งอย่างเป็นทางการของเขา แต่เขาไม่ได้มีสถานะเป็นหัวหน้ารัฐบาล ไม่เหมือนอย่างที่นายกรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2400 เป็น แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ดำรงตำแหน่ง "ประธานคณะรัฐมนตรี"[11] คณะบริหารของมองเกนาสท์นั้นไม่ยืนยาวและเป็นวัตถุประสงค์หลักของแกรนด์ดัชเชสมารี-อาเดลาอีดเมื่อทรงแต่งตั้งมองเตนาสท์ที่มีประสบการณ์เพื่อความมั่นคง ทว่าไม่มีใครคาดว่ารัฐบาลจะสิ้นสุดลงเร็วเช่นนี้ ในวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 มองเกนาสท์ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าดำรงตำแหน่งอธิการบดีวิทยาลัยครูลักเซมเบิร์ก การสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งครั้งนี้ไม่ได้รับการอนุมัติจากราชรัฐและแกรนด์ดัชเชสมารี-อาเดลาอีดทรงปฏิเสธเขา[12] มองเกนาสท์ยังคงยืนกรานว่าการศึกษาเป็นงานอดิเรกของเขาและเขาคิดสรุปเอาเองว่าแกรนด์ดัสเชสจะทรงตอบรับข้อเสนอของรัฐมนตรีในฐานะที่เขามีประสบการณ์ด้านนี้ เขาคิดผิด แกรนด์ดัสเชสมีพระทัยมุ่งมั่นและไม่ทรงพอพระทัยนายกรัฐมนตรีเสียงข้างน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางสิ่งล้ำสมัยเกินไปกว่าพระราชประสงค์ของพระนาง ในวันถัดมามองเกนาสท์ถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง หลังจากเป็นนายกรัฐมนตรีได้เพียง 25 วัน รัฐบาลฮูเบิร์ต ลูทช์หลังทรงต่อสู้กับรัฐบาลมัทธีอัส มองเกนาสท์ แกรนด์ดัชเชสมารี-อาเดลาอีดทรงตัดสินพระทัยมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งคณะรัฐบาลอนุรักษนิยมทั้งหมดซึ่งมีฮูเบิร์ต ลูทช์เป็นผู้นำ รัฐสภาถูกต่อต้านอย่างแน่นอน พรรคฝ่ายขวาได้ที่นั่งในสภาเพียง 20 ที่นั่งจากทั้งหมด 52 ที่นั่ง แต่อีกฝ่ายได้คะแนนเสียงที่เหนือกว่า[13] แกรนด์ดัชเชสมารี-อาเดลาอีดทรงยุติเหตุการณ์อันชะงักงันครั้งนี้โดยทรงใช้พระราชอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรและทรงมอบอำนาจแก่ฝ่ายอนุรักษนิยม ครั้งนี้เป็นการกระทำที่รุนแรงแก่ฝ่ายซ้าย ซึ่งถือว่าครองเสียงข้างมากในรัฐสภาแต่เพียงผู้เดียวในการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างความไว้วางใจแก่รัฐบาล[14] เหตุการณ์ครั้งนี้ได้ถูกขนานนามว่า "รัฐประหารอำนาจของฝ่ายซ้ายโดยแกรนด์ดัสเชส"[15] อย่างไรก็ตาม วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2458 ลักเซมเบิร์กได้มีการสำรวจความคิดเห็น แม้ว่าที่นั่งของพรรคฝ่ายขวาจะเพิ่มขึ้นเป็น 25 ที่นั่ง แต่ยังแพ้คะแนนนิยมอีกฝ่าย ในวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2459 รัฐสภามีการอภิปรายไม่ไว้วางใจและนายกรัฐมนตรีลูทช์ถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง รัฐบาลสหภาพแห่งชาติหลังความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐบาลอนุรักษนิยมหลายคณะ แกรนด์ดัสเชสมารี-อาเดลาอีดทรงเปลี่ยนพระทัยโปรดเกล้าฯ ให้นักการเมืองแนวคิดเสรีนิยม วิกเตอร์ ทอร์น จัดตั้งรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ผลของการมีรัฐบาลผสมทั้งหมดซึ่งรวมทุกฝ่ายในการเมืองลักเซมเบิร์ก นอกเหนือจากทอร์นซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังมีฝ่ายอนุรักษนิยมอย่างเลออน คลัฟแมนน์และอันโตน เลอฟอร์ท, ฝ่ายสังคมนิยมคือ มิเชล เวลเตอร์ และฝ่ายเสรีนิยมคือ เลออน มอติแยร์[16] แรงกดดันสำคัญของรัฐบาลลักเซมเบิร์กคือ เสบียงอาหาร[17] สงครามทำให้นำเข้าอาหารไม่ได้และความต้องการของชาวเยอรมันผู้ยึดครองย่อมมาก่อนชาวลักเซมเบิร์ก[18] ด้วยระบบการจัดหาอาหารที่ล้มเหลว มิเชล เวลเตอร์ รัฐมนตรีการเกษตรและการค้า ได้ประกาศห้ามส่งออกอาหารออกนอกลักเซมเบิร์ก[19] นอกจากนี้รัฐบาลยังมีนโยบายจำกัดสิ่งของบางสิ่งและการควบคุมราคาเพื่อแก้ไขปัญหาความต้องการที่สูงขึ้นและทำให้ราคาอาหารไม่แพงมากสำหรับชาวลักเซมเบิร์กที่ยากจน อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ยังไม่เป็นไปตามต้องการ ชาวลักเซมเบิร์กยังเปลี่ยนไปขายในตลาดมืดมากขึ้น[20] และสร้างความตกใจแก่รัฐบาลลักเซมเบิร์ก กองทัพเยอรมันให้ความช่วยเหลือเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้ รัฐบาลกล่าวหากองทัพเยอรมันว่ามีส่วนช่วยการผลิตของตลาดมืดโดยปฏิเสธข้อบังคับกฎเกณฑ์และกองทัพเยอรมันลักลอบนำเข้าสินค้าฃ[21] ในช่วงความยุ่งยากของประเทศนี้ แกรนด์ดัชเชสมารี-อาเดลาอีดทรงอุทิศพระองค์ในพระราชกรณียกิจด้านกาชาดในลักเซมเบิร์กและทรงดำเนินพระราชกรณียกิจด้านการพยาบาลแก่ทหารที่ออกรบในแนวหน้า แต่ทางด้านการเมือง ทรงมีความสนพระทัยตลอดสงครามอย่างไม่ลดน้อยลง ชาวลักเซมเบิร์กจำนวนมากโดยเฉพาะคนงานเหมือง แสดงออกถึงความชิงชังรัฐบาลที่ไม่ผ่านการเลือกโดยกล่องลงคะแนนเพียงอย่างเดียว การแสดงอารมณ์ที่เป็นไปในทางการดื้อแพ่งหรือแย่กว่านั้น นายพล ฟอน เทสมาร์ได้คุกคามแต่ละคนที่มีทีท่าก่อความรุนแรง (ซึ่งนัดหยุดงานประท้วง) ด้วยโทษประหารสถานเดียว[22] อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2460 คนงานพยายามใช้อาวุธมากที่สุดโดยฝ่าฝืนคำขาดของนายพลฟอน เทสมาร์ นายพลฟอน เทสมาร์ได้ปราบปรามอย่างรุนแรง แต่เขาไม่ต้องการประหารชีวิตดังที่เขาขู่ไว้ เพียงเวลา 9 วัน การชุมนุมประท้วงถูกปราบปรามหมดสิ้นและแกนนำผู้ชุมนุมถูกจับกุม[23][23] การที่เยอรมนีปฏิเสธเคารพรัฐบาลลักเซมเบิร์กอย่างต่อเนื่องเป็นการทำลายเกียรติที่ซึ่งผู้ชุมนุมถูกปราบปรามโดยกองทัพเยอรมันแทนที่จะเป็นกองทหารลักเซมเบิร์ก (Gendarmerie) ซึ่งเป็นเรื่องที่มากเกินกำลังสำหรับนายกรัฐมนตรีทอร์น ในวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2460 รัฐบาลทอร์นได้กราบบังคมทูลลาออกต่อแกรนด์ดัชเชสมารี-อาเดลาอีด[16] รัฐบาลเลออน คลัฟแมนน์แม้ว่าประสบการณ์การจัดตั้งรัฐบาลร่วมจะล้มเหลวและจำเป็นต้องสร้างเอกภาพทางการเมือง โดยรัฐบาลสหภาพแห่งชาติได้ถูกยุบ เลออน คลัฟแมนน์ได้สร้างพันธมิตรระหว่างพรรคของเขากับพรรคสันนิบาตเสรีนิยมของเลออน มอติแยร์ โดยหาทางให้ชีวิตทางด้านการเมืองยืนยาว[24] เป้าหมายหลักคือการแก้ไขปัญหาที่มีมาอย่างยาวนานของฝ่ายซ้ายโดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2460 รัฐสภาเปิดการอภิปรายครั้งใหญ่เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ท้ายที่สุด มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญห้ามรัฐบาลทำสนธิสัญญาลับ เพิ่มรายได้ของผู้แทน (จนถึงเดี๋ยวนี้เป็น 5 ฟังก์ต่อวัน)[25] การให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป และการเปลี่ยนคะแนนเสียงข้างมากปรกติมาเป็นการเลือกตั้งระบบสัดส่วน[24] ขณะที่กฎหมายข้างต้นทั้งหมดได้รับความนิยมในวงกว้าง ข้ามทางแยกทางการเมืองมากที่สุดเหมือนไม่จริงของการเสนอแก้ไขกฎหมายมาตรา 32 มาตราดังกล่าวไม่มีการแก้ไขช่วงปรับปรุงใหม่ของ พ.ศ. 2411 และข้อความในมาตรายังคงไม่เปลี่ยนแปลงนับแต่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2391 ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า อำนาจอธิปไตยทั้งปวงเป็นของแกรนด์ดัสเชส[25] สำหรับบางครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีความไม่พอใจในความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างแกรนด์ดัสเชสมารี-อาเดลาอีดกับเชื้อพระวงศ์เยอรมัน อำนาจอธิปไตยของชาติที่ขึ้นอยู่กับแกรนด์ดัสเชสอันเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ รัฐสภาได้ลงคะแนนเสียงทบทวนประมวลกฎหมายมาตรา 23 แต่คลัฟแมนน์กลับปฏิเสธไม่กระทำตาม ซึ่งเห็นว่าการเปลี่ยนให้พิจารณาทบทวนที่มาของอำนาจอธิปไตยแห่งชาติแฝงด้วยแนวคิดสาธารณรัฐนิยม[24] ในฤดูร้อน พ.ศ. 2461 มีการแสดงถึงการล่มสลายของอนาคตของรัฐบาลอย่างน่าทึ่ง ในวันที่ 8 กรกฎาคม เขตคลอเซนกลางกรุงลักเซมเบิร์กได้ถูกกองทัพอากาศอังกฤษทิ้งระเบิด ทำให้พลเรือนเสียชีวิต 10 คน[26] แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ได้ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นที่รักใคร่ในสายตาชาวลักเซมเบิร์ก แต่แกรนด์ดัสเชสมารี-อาเดลาอีดทรงใกล้ชิดกับชาวเยอรมันด้วยความเต็มพระทัย จึงทำให้ไม่ทรงเป็นที่นิยมชมชอบในหมู่พสกนิกรของพระนาง ในวันที่ 16 สิงหาคม นายกรัฐมนตรีเยอรมนี จอร์จ ฟอน เฮิร์ทลิง เดินทางเยือนลักเซมเบิร์ก แม้เฮิร์ทลิงจะเดินทางมาเพื่อเข้าเฝ้าแกรนด์ดัสเชส แต่คลัฟแมนน์ได้เข้าพบเขาด้วย ในสายตาประชาชนลักเซมเบิร์ก ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศนั้นดูจริงใจอย่างกำกวม และเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้ความน่าเชื่อถือในตัวนายกรัฐมนตรีคลัฟแมนน์หมดลง[24] ทั้งรวมทั้งข่าวในวันที่ 26 สิงหาคม ซึ่งเป็นข่าวหมั้นระหว่างเจ้าหญิงแอนโทเนียแห่งลักเซมเบิร์ก พระขนิษฐาในแกรนด์ดัสเชส กับเจ้าชายรุพเพิร์ต มกุฎราชกุมารแห่งบาวาเรีย ผู้ทรงเป็นจอมพลแห่งกองทัพเยอรมัน[27] แรงกดดันได้ส่งผลต่อนายกรัฐมนตรีคลัฟแมนน์ ด้วยพรรคของเขายังมั่นคงแต่ชื่อเสียงส่วนตัวของเขากลับหมดสิ้น เขาถูกทิ้งอย่างไม่มีทางเลือก นำมาสู่การกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งต่อแกรนด์ดัสเชสในวันที่ 28 กันยายน โดยนายกรัฐมนตรีคนต่อมาคือ อีมิล รอยเตอร์ นักการเมืองฝ่ายอนุรักษนิยมอีกคนหนึ่ง[28] สิ้นสุดสงครามและการสละราชบัลลังก์การสงบศึกในฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ. 2461 สถานะของเยอรมนีในสงครามกลับต้านทานไม่ได้ การรุกฤดูใบไม้ผลิครั้งใหญ่ได้เป็นหายนะที่ไม่ลดน้อยลงไป ในขณะที่การโต้กลับของฝ่ายไตรภาคีพันธมิตร การรุกร้อยวันสามารถผลักดันให้ทหารเยอรมันกลับสู่แนวชายแดนของตนเอง ในวันที่ 6 พฤศจิกายน นายพลฟอน เทสมาร์ได้ประกาศถอนกองทัพทั้งหมดออกจากลักเซมเบิร์ก[29] 5 วันหลังจากคำประกาศของฟอน เทสมาร์ เยอรมนีได้ลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกที่จะนำมาสู่การสิ้นสุดสงครามที่เป็นระยะเวลา 4 ปี ข้อตกลงของการสงบศึกรวมถึงการถอนทหารเยอรมันออกจากลักเซมเบิร์ก กับประเทศอื่นที่ถูกยึดครอง[30] ฝ่ายพันธมิตรเห็นด้วยกับการที่เยอรมนีถอนทหารออกจากลักเซมเบิร์กซึ่งจะได้รับการสังเกตการณ์จากสหรัฐอเมริกา และสหรัฐอเมริกาได้รับเกียรติในการปลดปล่อยประเทศที่ถูกยึดครอง ในวันที่ 18 พฤศจิกายน นายพลจอห์น เจ. เพรสชิงได้ประกาศต่อประชาชนในลักเซมเบิร์กในการเริ่มต้นก่อตั้งกองทัพที่สามของสหรัฐอเมริกาที่จะเคลื่อนผ่านลักเซมเบิร์กโดยยึดครองไรน์แลนด์ของเยอรมนี แต่อเมริกาจะมาในฐานะพันธมิตรและผู้ปลดปล่อยว่า:
การก่อกบฏ วิกฤตสถาบันพระมหากษัตริย์และการสละราชบัลลังก์แม้ว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะพึงพอใจกับการแก้ไขปัญหาครั้งนี้ ในขณะนั้นรัฐบาลลักเซมเบิร์กต้องประสบปัญหาการก่อความไม่สงบของกลุ่มคอมมิวนิสต์ หลังจากการถอนทัพของเยอรมนี นักปฏิวัติได้ทำการจัดตั้งอิทธิพลของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียในสภาคณะกรรมกรเหนือลักเซมเบิร์ก ในวันที่ 10 พฤศจิกายน หนึ่งวันหลังจากคาร์ล ไลป์เน็คท์และโรซา ลุกเซมบวร์กได้ประกาศรัฐสังคมนิยมในเยอรมนี กลุ่มคอมมิวนิสต์ในลักเซมเบิร์ก (เมือง)ประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐซึ่งต่อจากนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง[32] การก่อกบฏอื่นๆได้เกิดขึ้นที่อิสช์-ซูร์-อัลแซตในชั่วโมงแรกๆของวันที่ 11 พฤศจิกายน แต่ก็ล้มเหลว[33] นักสังคมนิยมได้ทำการโจมตีพฤติกรรมของแกรนด์ดัชเชสมารี-อาเดลาอีด ผู้ซึ่งทรงเข้าแทรกแซงและขัดขวางอดีตนายกรัฐมนตรีไอส์เซนอยู่เสมอ ในวันที่ 12 พฤศจิกายน นักการเมืองสายสังคมนิยมและเสรีนิยมได้พบสาเหตุของปัญหาเก่าที่เรื้อรังมานาน พวกเขาได้กราบบังคมทูลขอให้แกรนด์ดัสเชสทรงสละราชสมบัติ[34] ญัตติรัฐสภาลักเซมเบิร์กในเรื่องการยกเลิกราชาธิปไตยในลักเซมเบิร์กได้พ่ายแพ้ด้วยคะแนนเสียง 21 ต่อ 19 เสียง(งดออกเสียง 3 เสียง) แต่ทางรัฐสภาได้ทำการให้รัฐบาลจัดทำการออกเสียงประชามติในประเด็นนี้[32] ถึงแม้ว่ากลุ่มฝ่ายซ้ายที่พยายามทำการก่อตั้งสาธารณรัฐลักเซมเบิร์กจะล้มเหลว สาเหตุหลักมาจากความไม่พอใจในการจัดการปัญหา และตราบเท่าที่พระนางมารี-อาเดลาอีดยังทรงดำรงเป็นแกรนด์ดัสเชส ฝ่ายเสรีนิยมจึงเป็นพัมธมิตรกับฝ่ายสังคมนิยมในการต่อต้านพระนาง รัฐบาลฝรั่งเศสปฏิเสธที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลที่นำโดยผู้ร่วมมือ[33] รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส สเตเฟน ปิชองได้เรียกผู้ร่วมมือในฐานะ"ผู้ทำการประนีประนอมกับศัตรูของฝรั่งเศสขั้นร้ายแรง"[32] จากการที่พระนางทรงเป็นผู้"นิยมเยอรมัน" รัฐบาลฝรั่งเศสโดยปิชอง รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศได้ประกาศในเดือนธันวาคม ปีพ.ศ. 2461 ถึงตัวแทนจากคณะรัฐบาลของแกรนด์ดัสเชสมารี-อาเดลาอีดว่า
แรงกดดันจำนวนมากเกิดจากสิ่งเหล่านี้ ในวันที่ 9 มกราคม กองร้อยทหารหนึ่งของกองทัพลักเซมเบิร์กได้ก่อกบฏขึ้น โดยได้ประกาศว่าเป็นกองทัพแห่งสาธารณรัฐใหม่[33] นำโดยอีมิล แซร์เวียส (บุตรชายของเอ็มมานูเอล แซร์เวียส อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 5 ของลักเซมเบิร์กในสมัยสมเด็จพระเจ้าวิลเลมที่ 3 แห่งเนเธอร์แลนด์) ในฐานะของ"ประธานคณะกรรมการความปลอดภัยสาธารณะ"[36] อย่างไรก็ตามโดยในเดือนมกราคม ภาวะสุญญากาศทางการเมืองได้เกิดขึ้นโดยการออกไปของเยอรมันและแทนที่ด้วยทหารอเมริกันและฝรั่งเศส ประธานรัฐสภาลักเซมเบิร์ก ฟรองซัวส์ อัล์ทวีส์ได้ขอให้ทหารฝรั่งเศสเข้ามาแทรกแซง[37] ความกระตือรือร้นพยายามที่จะตัดขาดการก่อปฏิวัติโดยผู้นิยมเบลเยียม กองทัพฝรั่งเศสได้เข้าปราบปรามกลุ่มที่คาดว่าจะเป็นนักปฏิวัติ ถึงแม้ว่าแกรนด์ดัสเชสจะไม่ทรงกระทำสิ่งต่างๆที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม กระแสความไม่จงรักภักดีได้สร้างการต่อต้านมากเกินไปสำหรับแกรนด์ดัสเชสมารี-อาเดลาอีด เสียงของรัฐสภาได้เรียกร้องให้พระนางสละราชบัลลังก์ขณะมีพระชนมายุ 25 พรรษา ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2462 แก่พระขนิษฐา เจ้าหญิงชาร์ล็อต[34] เบลเยียมซึ่งต้องการที่จะผนวกลักเซมเบิร์กในฐานะรัฐร่วมประมุขต้องยอมรับแกรนด์ดัสเชสชาร์ล็อตในฐานะพระประมุขของลักเซมเบิร์กอย่างเลี่ยงไม่ได้ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พระราชวงศ์ยังทรงดำรงอย่างแทบจะไม่มีความหมายจนกระทั่งเดือนกันยายน พ.ศ. 2462 เมื่อการลงคะแนนเสียงประชามติซึ่งกำหนดอนาคตของราชรัฐผลคือคะแนนเสียงจากประชาชนถึง 77.8% ต้องการให้มีสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้ราชวงศ์นัสเซา-ไวล์บูร์กต่อไป[38] ตารางผลการลงประชามติในด้านประมุขแห่งชาติปีพ.ศ. 2462
หลังสละราชบัลลังก์และสิ้นพระชนม์หลังจากแกรนด์ดัชเชสมารี-อาเดลาอีดสละราชบัลลังก์ พระนางได้เสด็จลี้ภัยออกจากประเทศโดยเสด็จประพาสทั่วยุโรป พระนางทรงเข้าคณะคาร์เมไลท์ในโมเดนา ประเทศอิตาลีในปีพ.ศ. 2463 ต่อจากนั้นทรงเข้าคณะภคินีน้อยแห่งผู้ยากไร้ในโรม โดยทรงใช้พระสมัญญานามว่า "ซิสเตอร์มารีแห่งผู้ยากไร้" ด้วยสภาพพระวรกายที่ทรุดลงทำให้พระนางไม่ทรงสามารถปฏิบัติศาสนกิจในฐานะนักพรตหญิงได้และในที่สุดทรงต้องออกจากคณะ จากนั้นทรงย้ายไปประทับที่ปราสาทโฮเฮนเบิร์กในรัฐบาวาเรีย ที่ซึ่งทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ในวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2467 สิริพระชนมายุ 29 พรรษา ในวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2490 พระศพของพระนางได้ถูกนำมาฝังในสุสานราชรัฐแห่งมหาวิหารน็อทร์-ดาม ลักเซมเบิร์ก[39] พระอิศริยยศ
พระราชตระกูลเชิงอรรถวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ แกรนด์ดัชเชสมารี-อาเดลาอีดแห่งลักเซมเบิร์ก
อ้างอิง
|