ประเทศลักเซมเบิร์ก
ลักเซมเบิร์ก (อังกฤษ: Luxembourg; ลักเซมเบิร์ก: Lëtzebuerg; ฝรั่งเศส: Luxembourg; เยอรมัน: Luxemburg ) หรือชื่อทางการคือ ราชรัฐลักเซมเบิร์ก (อังกฤษ: Grand Duchy of Luxembourg; ลักเซมเบิร์ก: Groussherzogtum Lëtzebuerg; ฝรั่งเศส: Grand-Duché de Luxembourg; เยอรมัน: Großherzogtum Luxemburg ) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป มีพรมแดนด้านตะวันออกติดประเทศเยอรมนี ทางทิศใต้ติดฝรั่งเศส และทางทิศตะวันตกติดเบลเยียม มีเมืองหลวงคือนครลักเซมเบิร์ก[5] ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสี่เมืองที่เป็นที่ตั้งของสถาบันสำคัญทั้งเจ็ดแห่งสหภาพยุโรป (ร่วมกับบรัสเซลส์ แฟรงก์เฟิร์ต และ สทราซบูร์) และยังเป็นที่ตั้งของสถาบันสำคัญหลายแห่งของทวีปรวมถึงศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป[6][7] วัฒนธรรมลักเซมเบิร์ก อาทิ ภาษา และวิถีชีวิตของผู้คน ล้วนแต่ได้รับอิทธิพลจากเพื่อนบ้านอย่างเยอรมนี และ ฝรั่งเศส และแม้จะมีภาษาลักเซมเบิร์กเป็นภาษาประจำชาติ ทว่าภาษาเยอรมันและภาษาฝรั่งเศสก็ถูกใช้อย่างแพร่หลายในบริบททางกฎหมายและการปกครอง และทั้งสามภาษามีสถานะเป็นภาษาราชการโดยนิตินัย ด้วยพื้นที่เพียง 2,586 ตารางกิโลเมตร (998 ตารางไมล์) ส่งผลให้ลักเซมเบิร์กเป็นรัฐอธิปไตยที่เล็กที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปยุโรป[8] และใน ค.ศ. 2024 ลักเซมเบิร์กมีประชากรเพียง 672,050 คน[9] ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีประชากรน้อยที่สุดในยุโรป แต่เป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตของประชากรสูงที่สุด[10] และชาวต่างชาติมีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด[11] ในฐานะตัวแทนประเทศประชาธิปไตยที่มีระบอบราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ ลักเซมเบิร์กอยู่ภายใต้การปกครองของแกรนด์ดยุกอ็องรีแห่งลักเซมเบิร์กซึ่งถือเป็นผู้สืบเชื้อสายจากขุนนางผู้ยิ่งใหญ่แห่งแกรนด์ดัชชีพระองค์สุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ ประวัติศาสตร์ของลักเซมเบิร์กเริ่มต้นใน ค.ศ. 963[12] เมื่อเคานท์ซิเอกฟิลด์แห่งลักเซมเบิร์กได้สร้างปราสาทบริเวณเมืองหลวงปัจจุบัน[13] ต่อมา ในช่วงศตวรรษที่ 11 เทศมณฑลลักเซมเบิร์กมีสถานะเป็นรัฐของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และรัชทายาทของซิเอกฟิลด์ได้ขยายอาณาเขตผ่านการทำสงคราม และส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชบริพารในช่วงปลายศตวรรษที่ 13 ต่อมา ใน ค.ศ. 1308 จักรพรรดิไฮน์ริชที่ 7 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงเป็นกษัตริย์แห่งเยอรมนีและในเวลาต่อมาได้กลายเป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ราชวงศ์ลักเซมเบิร์กได้ให้กำเนิดจักรพรรดิจำนวน 4 พระองค์ในช่วงยุคกลางตอนปลาย และดินแดนแห่งนี้ได้กลายสภาพเป็นเครือราชรัฐบูร์กอญ ก่อนจะกลายเป็นหนึ่งในสิบเจ็ดจังหวัดของเนเธอร์แลนด์ของฮาพส์บวร์ค ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา เมืองและป้อมปราการแห่งลักเซมเบิร์กซึ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างราชอาณาจักรฝรั่งเศสและดินแดนฮาพส์บวร์ค จนกลายเป็นป้อมปราการที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป หลังจากที่ตกอยู่ภายใต้การครอบครองของฝรั่งเศสในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และออสเตรียของมาเรีย เทเรซา ลักเซมเบิร์กได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่หนึ่งและจักรวรรดิที่หนึ่งภายใต้การปกครองของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1[14] รัฐลักเซมเบิร์กในปัจจุบันได้ถือกำเนิดขึ้นจากการประชุมใหญ่แห่งเวียนนาใน ค.ศ. 1815 ก่อนที่เขตการปกครองแกรนด์ดัชชีซึ่งมีป้อมปราการอันแข็งแกร่งจะได้กลายสภาพเป็นรัฐอิสระภายใต้การครอบครองของพระเจ้าวิลเลิมที่ 1 แห่งเนเธอร์แลนด์ โดยมีกองทหารปรัสเซียคอยคุ้มกันเมืองจากอีกรัฐหนึ่ง ก่อนจะเผชิญการรุกรานจากฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1839 หลังจากความวุ่นวายของการปฏิวัติเบลเยียม ส่งผลให้ดินแดนส่วนที่พูดภาษาฝรั่งเศสของลักเซมเบิร์กได้ถูกยกให้เบลเยียม และดินแดนอีกส่วนหนึ่งที่พูดภาษาลักเซมเบิร์ก (ยกเว้นอาเรเลอร์ลันด์ พื้นที่รอบอาร์ลอน) กลายมาเป็น ราชรัฐลักเซมเบิร์ก จนถึงปัจจุบัน ซึ่งได้รับเอกราชกลับคืนมาใน ค.ศ. 1867 ภายหลังวิกฤตการณ์ลักเซมเบิร์ก[15] ลักเซมเบิร์กเป็นประเทศพัฒนาแล้ว และแม้จะมีประชากรไม่มากแต่เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความมั่งคั่งสูงที่สุดของยุโรป[16] โดยมีระบบเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าและสวัสดิการคุณภาพ[17][18][19] และยังมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศสูง[20] อีกทั้งยังขึ้นชื่อในด้านการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ลักเซมเบิร์กเป็นผู้ร่วมก่อตั้งสหภาพยุโรป, องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ, สหประชาชาติ, เนโท และ เบเนลักซ์[21][22] ลักเซมเบิร์กดำรงตำแหน่งในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติใน ค.ศ. 2013–14 เป็นครั้งแรก และใน ค.ศ. 2022 พลเมืองลักเซมเบิร์กได้รับอนุมัติการตรวจลงตราที่ใช้เดินทางเข้าออกประเทศหรือเขตแดนได้มากถึง 189 ประเทศทั่วโลก โดยหนังสือเดินทางของลักซัมเบิร์กได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในหนังสือเดินทางที่ทรงอิทธิพลของโลก[23] และเป็นหนึ่งในประเทศที่ให้เสรีภาพแก่กลุ่มบุคคลแอลจีบีทีมากที่สุดในโลก เมืองลักเซมเบิร์กซึ่งมีป้อมปราการเก่าแก่ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกใน ค.ศ. 1994 อันเนื่องมาจากสถาปัตยกรรมอันสวยงาม ประวัติศาสตร์ราชรัฐลักเซมเบิร์กเป็นนครรัฐ มีประวัติความเป็นมาย้อนหลังมากกว่า 1,000 ปี เมื่อ ค.ศ. 963 เคานท์ซิเอกฟิลด์แห่งลักเซมเบิร์ก เคานท์แห่งอาร์เดนเนส และผู้ก่อตั้งราชวงศ์ลักเซมเบิร์กสร้างปราสาทในบริเวณเมืองหลวงของลักเซมเบิร์กในปัจจุบัน ซึ่งกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในสมัยนั้น เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีภูเขาสลับซับซ้อนล้อมรอบหลายชั้น เป็นที่รู้กันทั่วไปในนาม “ยิบรอลตราทางเหนือ” (The Gibraltar of the North) ในช่วงปลายยุคกลางจนถึงศตวรรษที่ 15 ราชวงศ์ลักเซมเบิร์กมีความรุ่งเรืองมาก กษัตริย์หลายพระองค์ในยุโรปสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์นี้ อาทิ จักรพรรดิปกครองเยอรมนี 4 พระองค์ กษัตริย์ปกครองโบฮีเมีย 4 พระองค์ และกษัตริย์ปกครองฮังการี 1 พระองค์ กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงของลักเซมเบิร์ก ในยุคนั้น ได้แก่ สมเด็จพระจักรพรรดิไฮนริคที่ 7 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์,พระเจ้าจอห์นแห่งโบฮีเมียและดยุกแวนเซลอสที่ 1 แห่งลักเซมเบิร์ก จากนั้นก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจเบอร์กันดีใน ค.ศ. 1467 เมื่อดัสเชสเอลิซาเบธที่ 2 ผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์ลักเซมเบิร์กพระองค์สุดท้าย ทรงได้สละสิทธิอันชอบธรรมของพระนางในราชบัลลังก์ พระโอรสของฟิลลิปเดอะกูด ดยุกแห่งเบอร์กันดีคือ ชาร์ลส์เดอะโบลด์ ดยุกแห่งเบอร์กันดีทรงยอมรับพระอิศริยยศนี้โดยรวมเข้ากับพระยศ "ดยุกแห่งเบอร์กันดี" หลังจากนั้นลักเซมเบิร์กประสบความพ่ายแพ้ในสงครามหลายครั้ง และตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาติต่าง ๆ เช่น สเปน ฝรั่งเศส ออสเตรีย และรัสเซีย จนกระทั่งสิ้นสุดคริสศตวรรษที่ 19 ใน ค.ศ. 1815 ลักเซมเบิร์กได้รับอิสรภาพอีกครั้ง โดยการประชุมที่เวียนนา (Congress of Vienna) ได้ยกฐานะของลักเซมเบิร์กจาก Duchy เป็น Grand Duchy และมอบให้เป็นพระราชสมบัติส่วนพระองค์ของกษัตริย์เนเธอร์แลนด์ ให้สิทธิในการปกครองแก่สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเล็มที่ 1 แห่งเนเธอร์แลนด์และใน ค.ศ. 1868 สนธิสัญญาลอนดอน (Treaty of London 1867) ได้รับรองบูรณภาพ แบ่งดินแดน และสิทธิในการปกครองตนเองของลักเซมเบิร์ก[24] ใน ค.ศ. 1890 ภายหลังการสวรรคตของสมเด็จพระราชาธิบดีวิลเล็มที่ 3 แห่งเนเธอร์แลนด์ เจ้าหญิงวิลเฮลมินา ทรงเป็นรัชทายาทเพียงพระองค์เดียวได้ขึ้นครองราชสมบัติเนเธอร์แลนด์ โดยไม่ผูกมัดตามข้อตกลงของราชสกุล อย่างไรก็ตามราชบัลลังก์ลักเซมเบิร์กได้ผ่านไปถึงเชื้อสายบุรุษของราชวงศ์นัสเซาสายอื่น คือ ดยุกอดอลฟ์ผู้ถูกขับออกจากตำแหน่งดยุกแห่งนัสเซาและเป็นประมุขของสายราชวงศ์นัสเซา-เวลเบิร์ก และแกรนด์ดยุกของลักเซมเบิร์กในสมัยนั้นโดยไม่มีพระราชโอรสสืบทอด ทำให้ราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ของเนเธอร์แลนด์ตระกูลนัสเซาซึ่งก็คือ แกรนด์ดยุกอดอลฟ์แห่งลักเซมเบิร์กได้ขึ้นครองราชย์แทนใน ค.ศ. 1907 แกรนด์ดยุกวิลเล็มที่ 4 แห่งลักเซมเบิร์กผู้เป็นพระโอรสเพียงองค์เดียวของแกรนด์ดยุกอดอลฟีได้รับสิทธิการชอบธรรมแก่พระธิดาองค์โตคือเจ้าหญิงมารี อเดเลด ซึ่งเป็นสิทธิในการสืบราชสมบัติด้วยความบริสุทธิ์แห่งการไร้บุรุษในราชวงศ์ และระบุไว้ในกฎดั้งเดิมราชสกุลนัสเซา พระนางจึงทรงเป็นแกรนด์ดัสเชสพระองค์แรกผู้ปกครองแกรนด์ดัชชีแห่งลักเซมเบิร์กเมื่อพระบิดาเสด็จสวรรคตใน ค.ศ. 1912 และทรงสละราชสมบัติใน ค.ศ. 1919 พระขนิษฐาจึงครองราชย์สืบต่อคือแกรนด์ดัชเชสชาร์ล็อต และลักเซมเบิร์กเริ่มต้นมีราชวงศ์ของตนเองในรัชสมัยของแกรนด์ดัชเชสชาร์ล็อตแห่งลักเซมเบิร์ก (Grand Duchess Charlotte) ลักเซมเบิร์กได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี การพัฒนาดังกล่าวได้หยุดชะงักลงเมื่อเยอรมนีได้เข้ายึดครองลักเซมเบิร์กในระหว่างสงครามโลกทั้งสองครั้ง ทั้ง ๆ ที่ลักเซมเบิร์กได้ประกาศความเป็นกลาง ต่อมาใน ค.ศ. 1964 กษัตริย์ของลักเซมเบิร์กคือ แกรนด์ดยุกฌองแห่งลักเซมเบิร์ก (Grand Duke Jean) ได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระราชชนนี คือ แกรนด์ดัชเชสชาร์ล็อต ซึ่งสละราชสมบัติให้แก่พระราชโอรสหลังจากที่ทรงครองราชย์มานานถึง 45 ปี กษัตริย์องค์ปัจจุบันของลักเซมเบิร์กคือ แกรนด์ดยุกอ็องรีที่ 1 แห่งลักเซมเบิร์ก (Grand Duke Henri) ขึ้นครองราชสมบัติเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 2000 เป็นกษัตริย์องค์ที่ 6 ของราชวงศ์ นัสเซา-เวลเบิร์ก สืบต่อจากแกรนด์ดยุกฌอง พระราชชนก ซึ่งสละราชสมบัติหลังจากที่ครองราชย์นานถึง 36 ปี ให้แก่พระราชโอรส ภายหลังได้รับการปลดปล่อยโดยกองทัพของฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ลักเซมเบิร์กได้ยกเลิกนโยบายความเป็นกลางและเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กรด้านการเมือง เศรษฐกิจและการทหาร เช่น สหภาพยุโรป องค์กรสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (เนโท),[25] สหภาพยุโรปตะวันตก (Western European Union-WEU) และ OSCE (Organization for Security and Cooperation in Europe)[26] การเมืองการปกครองเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2004 พรรค CSV (Christian Socialist Party) และพรรค LSAP (Luxembourg Socialist Workers’ Party) ซึ่งเป็นพรรคที่ได้รับเสียงข้างมากในการเลือกตั้งทั่วไปในลักเซมเบิร์ก เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 2004 ได้บรรลุการเจรจาจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี โดยมีนายชอง-โกลด จุงก์เกอร์หัวหน้าพรรค CSV ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่สาม และนายฌอง แอสเซลบอร์น หัวหน้าพรรค LSAP ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการเข้าเมือง ทั้งนี้ นายชอง-โกลด จุงก์เกอร์ได้นำคณะรัฐมนตรีรวม 15 ราย เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนเพื่อเข้ารับหน้าที่ต่อแกรนด์ดยุกอ็องรีแห่งลักเซมเบิร์กในวันเดียวกัน นโยบายของรัฐบาลให้ความสำคัญต่อการพัฒนาให้ทันสมัย (modernization) นวัตกรรม (innovation) การปรับโอน (transformation) และบูรณาการ (integration) ในทุก ๆ ด้าน นโยบายด้านการเงินการคลังจะเน้นความยืดหยุ่น จะดำเนินการด้วยความระมัดระวัง ส่วนการดำเนินนโยบายด้านงบประมาณจะต้องสอดคล้องกับ Stability Pact และนโยบายการพัฒนาของสหภาพยุโรป รวมทั้งจะปรับเปลี่ยนปีงบประมาณให้ตรงกับช่วงปีงบประมาณของสหภาพยุโรป นโยบายด้านเศรษฐกิจจะเน้นการส่งเสริมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ความทันสมัย และรูปแบบที่เปิดรับต่อปัจจัยและเงื่อนไขใหม่ๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยให้มีการค้นคว้าและวิเคราะห์สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมด้าน e-dynamic การลงทุนด้านสาธารณูปโภคเพิ่มขีดความสามารถทางด้านการคมนาคม อาทิ ถนนและเส้นทางรถไฟ โดยที่ลักเซมเบิร์กเป็นประเทศขนาดเล็ก จึงให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นต่อความร่วมมือกับประเทศในยุโรปตะวันตก ทั้งในกรอบทวิภาคีอียู และ เนโทเพื่อเป็นหลักประกันต่อเอกราช ด้านความมั่นคง ลักเซมเบิร์กมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถด้านความมั่นคงเพื่อตอบสนองต่อภารกิจของชาติและภารกิจในกรอบของอียู และ เนโท โดยจะเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคงร้อยละ 1.2 ของจีดีพีและเร่งปรับปรุงสถานที่ตั้งทางการทหาร ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจการรักษาสันติภาพในกรอบระหว่างประเทศ เพื่อตอบสนองต่อเงื่อนไขใหม่ ๆ ของอียู และ เนโท ลักเซมเบิร์กยังมีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือแก่ต่างประเทศ และเป็นประเทศหนึ่งที่ปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของ UN ในการให้เงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และใน ค.ศ. 2001 ลักเซมเบิร์กให้เงินช่วยเหลือแก่ต่างประเทศร้อยละ 0.8 ของจีดีพีซึ่งเกินเป้าหมายของ UN และ OECD นอกจากนั้น ลักเซมเบิร์กมีแผนการที่จะเพิ่มเงินช่วยเหลือให้ถึงร้อยละ 1 ใน ค.ศ. 2005 เพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศที่มีความยากจนและประสบภัยสงคราม[27] การต่างประเทศลักเซมเบิร์กเป็นผู้สนับสนุนการบูรณาการทางการเมืองและเศรษฐกิจของยุโรปมาอย่างยาวนาน ใน ค.ศ. 1921 ลักเซมเบิร์กและเบลเยียมได้ก่อตั้งสหภาพเศรษฐกิจเบลเยียม-ลักเซมเบิร์ก (BLEU) เพื่อสร้างระบอบการปกครองของสกุลเงินที่แลกเปลี่ยนได้และธรรมเนียมปฏิบัติร่วมกัน ลักเซมเบิร์กเป็นสมาชิกของสหภาพเศรษฐกิจเบเนลักซ์และเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (ปัจจุบันคือสหภาพยุโรป) นอกจากนี้ยังเข้าร่วมในกลุ่มเชงเกน (ตั้งชื่อตามหมู่บ้านเชงเก้นแห่งลักเซมเบิร์กที่มีการลงนามในข้อตกลง) และยังเป็นที่ตั้งของ ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป กองทัพกองทัพลักเซมเบิร์กส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในคาเซิร์น เจ้าหน้าที่ทั่วไปประจำอยู่ในเมืองหลวง กองทัพอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือนโดยมีแกรนด์ดยุคเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด François Bausch รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนปัจจุบัน มีอำนาจในการสั่งการและดูแลการปฏิบัติการของกองทัพบก หัวหน้าใหญ่ของกองทัพคือหัวหน้ากลาโหมซึ่งควบทั้งตำแหน่งรัฐมนตรีคนที่สองและดำรงตำแหน่งนายพล ลักเซมเบิร์กเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลจึงไม่มีกองทัพเรือ ในส่วนของกองทัพอากาศ เครื่องบิน NATO AWACS จำนวนสิบเจ็ดลำได้รับการจดทะเบียนเป็นเครื่องบินประจำกองทัพลักเซมเบิร์กตามข้อตกลงร่วมกับเบลเยียม ทั้งสองประเทศได้จัดหาเงินทุนสำหรับเครื่องบินขนส่งสินค้าทางทหาร A400M จำนวนหนึ่งลำ[28] ลักเซมเบิร์กได้เข้าร่วมใน Eurocorps ซึ่งสนับสนุนกองกำลังในภารกิจ UNPROFOR และ IFOR ในอดีตของประเทศยูโกสลาเวีย และได้เข้าร่วมกับกลุ่มเล็กๆ ในภารกิจ NATO SFOR ในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา กองทหารลักเซมเบิร์กได้ส่งกำลังไปยังอัฟกานิสถานเพื่อสนับสนุน ISAF กองทัพยังได้เข้าร่วมในภารกิจบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรม เช่น การจัดตั้งค่ายผู้ลี้ภัยสำหรับชาวเคิร์ด และการจัดหาเสบียงฉุกเฉินให้กับแอลเบเนีย[29][30][31] เขตการปกครองประเทศลักเซมเบิร์กในอดีต (จนถึง ค.ศ. 2015) แบ่งเป็น 3 เขต ได้แก่เขตดิกเคริช เขตเกร็ยเวอมาเคอร์ และเขตลักเซมเบิร์ก ซึ่งสามเขตดังกล่าวจะแบ่งย่อยลงไปอีกเป็น 12 อำเภอและ 102 เทศบาล[32] อย่างไรก็ตาม การปกครองระดับเขตได้ถูกยกเลิกไปใน ค.ศ. 2015[33][34] ทำให้ในปัจจุบันหน่วยการบริหารระดับสูงสุดของประเทศลักเซมเบิร์กได้แก่อำเภอ ซึ่งมีจำนวน 12 อำเภอ ได้แก่
ภูมิศาสตร์ลักเซมเบิร์กเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในยุโรป และมีขนาดเป็นอันดับ 167 ของโลก พื้นที่ทั่วประเทศ 2,586 ตารางกิโลเมตร ทางตะวันตกของประเทศ มีพรมแดนติดกับจังหวัดลักเซมเบิร์กของเบลเยียม ซึ่งมีพื้นที่ใหญ่ (4,443 ตารางกิโลเมตร) เกือบสองเท่าของประเทศลักเซมเบิร์ก ทางตอนเหนือของประเทศ เป็นเนินเขาและภูเขาเตี้ย ๆ จุดสูงสุดอยู่ที่ Kneiff ใกล้กับเมือง Wilwerdange[35] มีความสูง 560 เมตร พื้นที่อื่น ๆ มักจะเป็นเนินเขาเตี้ย ๆ เช่นกัน เศรษฐกิจ
ภาคการบริการเป็นสาขาเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของลักเซมเบิร์ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาการเงินการธนาคาร โดยลักเซมเบิร์กมีกฎหมายด้านการเงินที่ดึงดูดนักลงทุน ทำให้ลักเซมเบิร์กกลายเป็นศูนย์กลางด้านกองทุนลงทุนที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสี่ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น โดยจะเห็นได้จากการที่ใน ค.ศ. 2000 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศลักเซมเบิร์กมาจากภาคบริการถึงร้อยละ 69 (ภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 30 และภาคการเกษตร ร้อยละ 1) และมีแรงงานถึงร้อยละ 90 ของแรงงานทั้งหมดทำงานในภาคบริการ (ภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 8 และภาคการเกษตร ร้อยละ 2) เศรษฐกิจการค้าสภาวะเศรษฐกิจ ลักเซมเบิร์กเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจมั่นคง อัตราการเติบโตปานกลาง เงินเฟ้อต่ำ และมีนวัตกรรมในระดับสูง[36] มีอัตราการว่างงานต่ำ ภาคอุตสาหกรรมซึ่งในอดีตเหล็กกล้าเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุด แต่ปัจจุบันได้มีอุตสาหกรรมประเภทอื่น ๆ เพิ่มขึ้น ได้แก่ เคมีภัณฑ์ ยาง และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ การเจริญเติบโตทางภาคการเงิน ซึ่งอัตราหนี้สาธารณะต่อ GDP คิดเป็นร้อยละ 22 ส่วนใหญ่นำไปชดเชยให้กับอุตสาหกรรมเหล็กกล้า ธนาคารส่วนใหญ่มีชาวต่างชาติเป็นเจ้าของ ภาคเกษตรกรรมมีลักษณะเป็นไร่ขนาดเล็ก แรงงานต่างชาติหรือแรงงานข้ามชาติมีส่วนสำคัญมากในด้านเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 30 ของแรงงานทั้งหมด ถึงแม้ว่าลักเซมเบิร์กจะได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาเหมือนเช่นประเทศอื่น ๆ แต่ก็ยังสามารถรักษาให้อัตราการเจริญเติบโตยังเข้มแข็งต่อไปได้ สหภาพเศรษฐกิจเบลโก-ลักเซมเบิร์ก เบลเยียมและลักเซมเบิร์กได้จัดตั้งสหภาพเศรษฐกิจเบลโก-ลักเซมเบิร์ก (Belgium-Luxembourg Economic Union - BLEU) ระหว่างกันเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1921 ซึ่งทำให้การเก็บสถิติการค้าและการลงทุนมักจะเป็นไปบนพื้นฐานของตัวเลขของทั้งสองประเทศรวมกัน นอกจากนี้ มีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของทั้งสองประเทศไว้ที่อัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่ง (one-to-one parity) สหภาพเศรษฐกิจเบลโก- ลักเซมเบิร์กมีลักษณะสำคัญ ดังนี้[37][38]
ประชากรชาติพันธุ์ประชากรผู้อพยพเพิ่มขึ้นในศตวรรษที่ 20 เนื่องจากการมาถึงของผู้อพยพจากเบลเยียม ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี และโปรตุเกส[39] ใน ค.ศ. 2013 มีประชากรประมาณ 88,000 คนที่มีสัญชาติโปรตุเกส ในปี 2013 มีผู้อยู่อาศัยถาวร 537,039 คน[40] โดย 44.5% เป็นชาวต่างชาติหรือผู้อพยพ กลุ่มชาติพันธุ์ต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดคือชาวโปรตุเกส ซึ่งคิดเป็น 16.4% ของประชากรทั้งหมด ตามด้วยชาวฝรั่งเศส (6.6%) ชาวอิตาลี (3.4%) เบลเยียม (3.3%) และชาวเยอรมัน (2.3%) อีก 6.4% มาจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่น ๆ ในขณะที่ 6.1% ที่เหลือเป็นของนอกสหภาพยุโรปอื่น ๆ[41] นับตั้งแต่เริ่มสงครามในยูโกสลาเวีย ลักเซมเบิร์กได้รับผู้อพยพจำนวนมากจากบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา มอนเตเนโกร และเซอร์เบีย ทุกปี ผู้อพยพใหม่กว่า 10,000 คนมาถึงลักเซมเบิร์ก ส่วนใหญ่มาจากรัฐในสหภาพยุโรป เช่นเดียวกับยุโรปตะวันออก ในปี 2000 มีผู้อพยพในลักเซมเบิร์ก 162,000 คน คิดเป็น 37% ของประชากรทั้งหมด มีผู้อพยพผิดกฎหมายประมาณ 5,000 คนในลักเซมเบิร์กในปี 2002 ภาษาภาษาราชการของลักเซมเบิร์กประกอบด้วย 3 ภาษาหลัก ได้แก่; ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาลักเซมเบิร์ก[42] ซึ่งเป็นภาษาฟรังโกเนียนใช้สำหรับสำหรับประชากรในท้องถิ่นซึ่งเข้าใจร่วมกันได้กับภาษาเยอรมันในบางบริบท และรวมถึงคำที่มาจากภาษาฝรั่งเศสมากกว่า 5,000 คำ พลเมืองหรือผู้อยู่อาศัยทุกคนมีสิทธิที่จะเลือกใช้ภาษาใดภาษาหนึ่งในสามภาษาดังกล่าวในการติดต่อราชการและสถานที่ทั่วๆไป และจะได้รับการบริการเป็นภาษานั้น ๆ ลักเซมเบิร์กยังมีภาษาท้องถิ่นหลายภาษา จากการสำรวจใน ค.ศ. 2009 เปิดเผยว่าภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ประชากรส่วนใหญ่พูด (99%) ตามมาด้วย ลักเซมเบิร์ก (82%) เยอรมัน (81%) และภาษาอังกฤษ (72%) ก็นิยมพูดโดยประชากรส่วนใหญ่เช่นกัน[43] ภาษาราชการแต่ละภาษาถูกใช้เป็นภาษาหลักในบางบริบทของชีวิตประจำวันโดยไม่เฉพาะเจาะจง ภาษาลักเซมเบิร์กเป็นภาษาประจำชาติของราชรัฐแกรนด์ดัชชีและถือเป็นภาษาแม่หรือ "ภาษาของหลัก" สำหรับประชากรในท้องถิ่น เป็นภาษาที่ชาวลักเซมเบิร์กมักใช้พูดกันทั่วไปในชีวิตประจำวันในครอบครัว และเพื่อนฝูง อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการผลิตนวนิยายในภาษาลักเซมเบิร์กเพิ่มขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ แต่ก็ไม่ค่อยได้ใช้เป็นภาษาเขียน และแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก (ประมาณ 60% ของประชากร) มักไม่ได้ใช้ภาษาลักเซมเบิร์กแต่จะใช้ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมันแทน[44][45] ในขณะที่เอกสารราชการและการติดต่อระดับพิธีการ มักจะใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก และยังเป็นภาษาที่ใช้พูดกันมากที่สุดในเมืองหลวง และยังปรากฏตามสื่อบันเทิงในชีวิตประจำวันมากมาย นอกจากนี้ ภาษาฝรั่งเศสยังถูกใช้ในบริบทของการเมือง และกฎหมาย อาทิ การอภิปรายในรัฐสภา, การตัดสินคดีความ, การออกเอกสารสำคัญของรัฐบาล เช่น หนังสือเดินทาง และสัญญาการเช่าซื้อ เป็นต้น และภาษาเยอรมันยังถูกใช้ในสื่อมากเช่นเดียวกับภาษาฝรั่งเศส นอกจากนี้ ภาษาโปรตุเกสยังมีบทบาทสำคัญเพิ่มมากขึ้นตามลำดับในหลายทศวรรษที่ผ่านมา อันเนื่องจากการมีผู้อพยพชาวโปรตุเกสเข้ามาเป็นจำนวนมาก ศาสนาศาสนาที่มีอิทธิพลได้แก่ คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ศาสนายิว กรีกออร์ทอดอกซ์ แองกลิกันนิยม รัสเซียออร์ทอดอกซ์ ลูเธอแรน ลัทธิคาลวิน ลัทธิ Mennonitism และอิสลาม ตั้งแต่ปี 1980 การประเมินโดย CIA Factbook สำหรับปี 2000 ระบุว่า 87% ของชาวลักเซมเบิร์กเป็นชาวคาทอลิกรวมทั้งตระกูลแกรนด์ดยุค ส่วนที่เหลือ 13% ประกอบไปด้วยโปรเตสแตนต์ คริสเตียนออร์โธดอกซ์ ชาวยิว มุสลิม และผู้ที่นับถือศาสนาอื่นหรือไม่มีศาสนา จากผลการศึกษาของศูนย์วิจัย Pew ในปี 2010 พบว่า 70.4% เป็นคริสเตียน มุสลิม 2.3% ไม่นับถือศาสนา 26.8% และศาสนาอื่น 0.5%[46][47] การศึกษาโรงเรียนส่วนใหญ่ดำเนินการโดยรัฐและไม่มีค่าใช้จ่ายการเข้าโรงเรียนต้องมีอายุตั้งแต่ 4 ถึง 16 ปี ซึ่งเป็นการศึกษาภาคบังคับ การศึกษาในลักเซมเบิร์กเป็นแบบหลายภาษาและประกอบด้วยการศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาระดับมัธยมศึกษา และการศึกษาระดับอุดมศึกษา ยกเว้นในสถาบันการศึกษาระดับสูงของลักเซมเบิร์กการเรียนการสอนส่วนใหญ่จะเป็นภาษาฝรั่งเศส[48][49] การศึกษาขั้นพื้นฐาน (enseignement fondamental) ประกอบด้วยโรงเรียนอนุบาลและประถมศึกษา และโรงเรียนมัธยมศึกษา จะเรียกว่า Lycées มหาวิทยาลัยลักเซมเบิร์กเป็นมหาวิทยาลัยแห่งเดียวที่ตั้งอยู่ในลักเซมเบิร์ก[50] ใน ค.ศ. 2014 คณะวิชาธุรกิจลักเซมเบิร์กซึ่งเป็นโรงเรียนธุรกิจระดับบัณฑิตศึกษาได้รับการจัดตั้งขึ้นผ่านความคิดริเริ่มของเอกชน และได้รับการรับรองจากกระทรวงการอุดมศึกษาและการวิจัยแห่งลักเซมเบิร์กใน ค.ศ. 2017[51] สุขภาพจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก การใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลในนามของรัฐบาลลักเซมเบิร์กอยู่ที่ 4.1 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินประมาณ 8,182 ดอลลาร์สำหรับพลเมืองแต่ละคน ประเทศลักเซมเบิร์กใช้จ่ายเงินเกือบ 7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศด้านสุขภาพ โดยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการใช้จ่ายด้านบริการด้านสุขภาพและโครงการที่เกี่ยวข้องสูงที่สุดใน ค.ศ. 2012 ในบรรดาประเทศร่ำรวยอื่น ๆ ในยุโรปที่มีรายได้เฉลี่ยสูง วัฒนธรรมลักเซมเบิร์กได้รับวัฒนธรรมของเพื่อนบ้าน แต่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นไว้เป็นจำนวนมาก[52] เนื่องจากเป็นประเทศในชนบทที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงหลายแห่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองหลวง ซึ่งรวมถึงพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และศิลปะแห่งชาติ (NMHA) พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เมืองลักเซมเบิร์ก และพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ Grand Duke Jean (Mudam) พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การทหารแห่งชาติ (MNHM) ใน Diekirch เป็นที่รู้จักโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเป็นตัวแทนของ Battle of the Bulge เมืองลักเซมเบิร์กเองอยู่ในรายชื่อมรดกโลกขององค์การยูเนสโก[53] เนื่องจากความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของป้อมปราการ[54] ประเทศได้ผลิตศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติบางคน รวมทั้งจิตรกรเช่น Théo Kerg, Joseph Kutter และ Michel Majerus และช่างภาพ เอ็ดเวิร์ด สไตเชน (Edward Steichen) ถือเป็นหนึ่งในช่างภาพที่ผลงานโดดเด่นและเป็นที่ยอมรับระดับโลก ผลงานของเขามักเป็นภาพถ่ายที่ปรากฏบ่อยครั้งในนิตยสาร Camera Work ของ Alfred Stieglitz ในระหว่างการตีพิมพ์ตั้งแต่ ค.ศ. 1903 ถึง 1917 โดยเขาได้รับการยกย่องว่าเป็น "ช่างภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีชีวิตอยู่ " และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าสู่หอเกียรติยศและพิพิธภัณฑ์การถ่ายภาพนานาชาติ[55][56][57] ลักเซมเบิร์กเป็นเมืองแรกที่ได้รับการตั้งชื่อว่า European Capital of Culture หรือเป็น เมืองศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมยุโรป ถึงสองครั้ง ครั้งแรกคือใน ค.ศ. 1995 และกครั้งใน ค.ศ. 2007[58][59] กีฬากีฬาในลักเซมเบิร์กไม่เหมือนกับประเทศส่วนใหญ่ในทวีปยุโรป โดยไม่มีกีฬาประจำชาติ แต่รวมกีฬาหลายประเภททั้งแบบทีมและส่วนบุคคลในหลากหลายโอกาส แม้จะขาดการพัฒนาด้านกีฬาอย่างต่อเนื่อง แต่ประชากรกว่า 100,000 คนเป็นสมาชิกที่ได้รับใบอนุญาตของสหพันธ์กีฬาแห่งชาติ และประเทศมีสนามกีฬา Stade de Luxembourg ตั้งอยู่ในย่าน Gasperich ทางตอนใต้ของเมืองลักเซมเบิร์ก เป็นสนามกีฬาแห่งชาติและสถานที่เล่นกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยจุได้ 9,386 คนสำหรับการแข่งขันกีฬาฟุตบอลและรักบี้ และ 15,000 สำหรับคอนเสิร์ต สถานที่เล่นกีฬาในร่มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศคือ d'Coque, Kirchberg ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง ซึ่งมีความจุ 8,300 สนามนี้ใช้สำหรับบาสเกตบอล แฮนด์บอล ยิมนาสติก และวอลเลย์บอล รวมถึงรอบชิงชนะเลิศวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์ยุโรป 2007 อาหารอาหารลักเซมเบิร์กได้รับอิทธิพลอย่างมากจากอาหารฝรั่งเศสและเยอรมนีที่อยู่ใกล้เคียง และได้รับการเสริมแต่งโดยผู้อพยพชาวอิตาลีและโปรตุเกสจำนวนมาก อาหารพื้นเมืองลักเซมเบิร์กส่วนใหญ่ซึ่งบริโภคเป็นอาหารประจำวันแบบดั้งเดิม มีรากฐานมาจากอาหารพื้นบ้านของประเทศเช่นเดียวกับในประเทศเพื่อนบ้านในเยอรมนี ลักเซมเบิร์กเป็นประเทศที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ประชากรโดยเฉลี่ยมากที่สุดต่อคนในยุโรป อย่างไรก็ตาม ปริมาณแอลกอฮอล์โดยส่วนมากบริโภคโดยลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมากมีส่วนทำให้ยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงตามสถิติ ดังนั้น การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นี้จึงไม่ได้เป็นตัวชี้วัดปริมาณการบริโภคที่แท้จริงของประชากรลักเซมเบิร์ก อาหารที่ได้รับความนิยมโดยทั่วไปได้แก่ เนื้อสัตว์ อาหารแปรรูป เช่น เบคอน แฮม รมควัน ทานคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากเยอรมนีและฝรั่งเศส[60][61][62] ดูเพิ่มอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ ลักเซมเบิร์ก
|