การเลือกตั้งระบบสัดส่วน
การเลือกตั้งระบบสัดส่วน (อังกฤษ: proportional representation, ย่อ: PR) เป็นระบบการลงคะแนนที่แบ่งจำนวนผู้แทนที่ได้รับเลือกตามสัดส่วนคะแนนที่ได้รับทั่วประเทศ โดยคิดเป็นสัดส่วนของจำนวนที่นั่งในสภา กล่าวคือ วิธีนี้ต้องการลดความแตกต่างระหว่างคะแนนเสียงที่พรรคการเมืองได้รับจากคะแนนเสียงทั่วประเทศกับการจัดสรรที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร[1] เช่น หากพรรคการเมืองที่ได้รับชัยชนะได้รับคะแนนเสียงทั่วประเทศร้อยละ 40 พรรคการเมืองนั้นควรได้ที่นั่งราวร้อยละ 40 ของที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร ส่วนพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงทั่วประเทศอยู่ที่ร้อยละ 10 ควรได้ที่นั่งร้อยละ 10 ของที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเช่นกัน ตัวอย่างเช่น การเลือกตั้งสมาชิกสภายุโรป โดยแต่ละประเทศสมาชิกมีจำนวนที่นั่งเป็นสัดส่วนประชากรในประเทศนั้น (โดยเฉลี่ย) การเลือกตั้งระบบสัดส่วนมีหลายแบบย่อย โดยแบบที่นิยมใช้กันมากได้แก่ ระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อ แบบถ่ายโอนคะแนนเสียง และระบบสัดส่วนผสม[2]
จากรายงานของ ACE Electoral Knowledge Network[5] การเลือกตั้งระบบสัดส่วนถูกใช้ในการเลือกตั้งสภาล่างในระดับชาติทั้งหมด 94 ประเทศ โดยเป็นระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อถึง 85 ประเทศ ในขณะที่ระบบสัดส่วนผสมถูกใช้ในการเลือกตั้งสภาล่างใน 7 ประเทศ และแบบถ่ายโอนคะแนนเสียงถูกใช้ใน 2 ประเทศเท่านั้น คือ ประเทศไอร์แลนด์[6] และประเทศมอลตา[7] นอกเหนือจากสภาล่างยังใช้ในวุฒิสภาของออสเตรเลีย และการเลือกตั้งแบบถ่ายโอนคะแนนเสียงยังสามารถใช้สำหรับการเลือกตั้งแบบไม่แบ่งพรรคการเมืองได้ เช่นในกรณีของสภาเมืองเคมบริดจ์[8] เนื่องจากปัจจัยต่างๆ อาทิเช่น เกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำ และการกำหนดเขตเลือกตั้งขนาดเล็ก รวมถึงวิธีการบิดเบือนผลการเลือกตั้ง เช่น การแยกพรรคการเมือง และการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเอาเปรียบ จึงทำให้สัดส่วนที่สมบูรณ์แบบนั้นยากที่จะเกิดขึ้นได้ในการเลือกตั้งระบบเหล่านี้ แต่อย่างไรก็ตามยังถือว่าเข้าใกล้ความเป็นสัดส่วนมากกว่าระบบอื่นๆ[9] ในบางประเทศได้มีการใช้ที่นั่งชดเชยเพื่อปรับสมดุลให้กับตัวแปรเหล่านี้เพื่อยังคงความเป็นสัดส่วนไว้ให้ได้มากที่สุด ข้อดีและข้อเสียความเป็นธรรมระบบสัดส่วนมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาเรื่องความไม่เป็นธรรมของระบบการลงคะแนนแบบเสียงข้างมากและระบบคะแนนนำซึ่งพรรคขนาดใหญ่นั้นจะได้รับที่นั่งมากเหมือนโบนัสที่ไม่เป็นธรรม และพรรคเล็กนั้นเสียเปรียบอันเนื่องมาจากไม่ได้ที่นั่งตามสัดส่วนคะแนนที่ไรับจริงและในบางกรณีนั้นอาจจะไม่ได้รับเลยสักที่นั่งเดียว (ตามกฎของดูเวอร์เกอร์)[10] [11][12]: 6–7 พรรคการเมืองใหญ่ในสหราชอาณาจักรสามารถที่จะชนะคะแนนเสียงได้อย่างล้นหลามและควบคุมสภาสามัญชนได้โดยใช้คะแนนเสียงแค่เพียงร้อยละ 35 ของคะแนนทั้งหมด (จากการเลือกตั้งทั่วไปในสหราชอาณาจักร ค.ศ. 2005) ในกรณีของการเลือกตั้งทั่วไปในแคนาดา รัฐบาลโดยพรรคร่วมรัฐบาลสามารถจัดตั้งได้โดยมีคะแนนเสียงรวมน้อยกว่าร้อยละ 40 (ในการเลือกตั้งสหพันธรัฐในแคดานา ค.ศ. 2011 และค.ศ. 2015) ในกรณีที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งออกมาใช้สิทธิ์น้อยกว่าร้อยละ 60 เมื่อใด พรรคการเมืองใหญ่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้โดยแค่ต้องการจำนวนคะแนนเสียงสนับสนุนเพียงแค่เศษหนึ่งส่วนสี่ของเขตเลือกตั้งเท่านั้น การเลือกตั้งทั่วไปในสหราชอาณาจักร ค.ศ. 2005 พรรคแรงงาน นำโดยโทนี แบลร์ได้รับเสียงข้างมากในสภาด้วยคะแนนเสียงทั้งหมดเพียงร้อยละ 21.6 ของคะแนนเสียงรวมจากเขตเลือกตั้งทั้งหมด[13]: 3 ซึ่งประเด็นในการผิดสัดส่วนในการจัดสรรผู้แทนนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า "ไม่ใช่แค่เรื่องความเป็นธรรมแล้วแต่เป็นเรื่องสิทธิพื้นฐานของพลเมือง"[14]: 22 อย่างไรก็ตาม การลงคะแนนเสียงในระบบสัดส่วนที่มีการกำหนดคะแนนเสียงขั้นต่ำสูง หรือข้อกำหนดพิเศษที่ลดความเป็นสัดส่วนลงก็ไม่ได้จำเป็นว่าจะให้ความเป็นธรรมได้มากกว่าเท่าใดนัก เช่น ในการเลือกตั้งทั่วไปในตุรกี ค.ศ. 2002 ซึ่งใช้ระบบการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเปิดโดยมีคะแนนเสียงขั้นต่ำที่ร้อยละ 10 นั้นได้ผลลัพธ์เป็นคะแนนเสียงกว่าร้อยละ 46 นั้นเป็นคะแนนเสียเปล่า[3]: 83 ในระบบคะแนนนำ/เสียงข้างมากนั้นยังช่วยให้พรรคการเมืองในท้องถิ่นนั้นสามารถชนะการเลือกตั้งในท้องถิ่นของตนได้จำนวนมากโดยเฉพาะในเขตท้องถิ่นที่ได้รับแรงสนับสนุนมาก แต่ไม่ใช่พรรคระดับประเทศ ในขณะที่พรรคการเมืองอื่น ๆ ที่ได้ความนิยมระดับประเทศและไม่ได้มุ่งเน้นในระดับท้องถิ่น เช่น พรรคกรีน มักจะได้ที่นั่งน้อยมากหรือไม่ได้เลย ตัวอย่างเช่น พรรคบล็อกเกเบกัวในแคนาดาซึ่งชนะกว่า 52 ที่นั่งแค่เพียงในรัฐเกแบ็กในการเลือกตั้งสหพันธรัฐในแคนาดา ค.ศ. 1993 โดยมีคะแนนเสียงรวมเพียงร้อยละ 13.5 ของระดับประเทศ ในขณะที่พรรคอนุรักษ์นิยมก้าวหน้าแห่งแคนาดาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในระดับประเทศ (ได้รับเพียง 2 ที่นั่ง) ด้วยคะแนนเสียงกระจายถึงร้อยละ 16 ของคะแนนทั้งหมด ส่วนพรรคอนุรักษ์นิยมนั้นถึงแม้จะเป็นที่นิยมในระดับประเทศซึ่งมีผู้สนับสนุนอยู่ในภาคตะวันตกแต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ผู้สนับสนุนเปลี่ยนไปเลือกพรรคปฏิรูปแทน ซึ่งพรรคปฏิรูปได้รับที่นั่งเป็นส่วนใหญ่ในแถบตะวันตกของรัฐซัสแคตเชวัน และไม่ได้เลยในรัฐแมนิโทบา[12][15] กรณีคล้ายคลึงกันกับการเลือกตั้งทั่วไปในสหราชอาณาจักร ค.ศ. 2015 ซึ่งพรรคชาติสกอตได้ถึง 52 ที่นั่งจากทั่วสกอตแลนด์ โดยมีคะแนนเสียงในระดับประเทศเพียงแค่ร้อยละ 4.7 ในขณะที่พรรคเอกราชสหราชอาณาจักรได้รับคะแนนเสียงถึงร้อยละ 12.6 แต่ได้แค่เพียงที่นั่งเดียว[16] เอื้อต่อพรรคขนาดเล็กการใช้ระบบเขตเลือกตั้งแบบมีผู้แทนหลายคนสามารถทำให้มีผู้แทนได้หลากหลาย ในเขตเลือกตั้งที่จำนวนผู้แทนมาก และจำนวนคะแนนเสียงขั้นต่ำที่ต้องการนั้นต่ำเท่าไรยิ่งจะช่วยให้พรรคการเมืองขนาดเล็กได้ประโยชน์การระบบสัดส่วนได้มากขึ้น ซึ่งในประเด็นที่ถกเถียงกันในประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นใหม่นั้น การมีพรรคขนาดเล็กจำนวนมากในสภานิติบัญญัติเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับความมั่นคงทางสังคมและเพื่อทำให้กระบวนการประชาธิไตยนั้นแข็งแรงขึ้น[3]: 58 ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วยนั้น ในอีกด้านหนึ่งกล่าวว่าระบบนี้จะเป็นโอกาสให้พรรคหัวรุนแรงสุดโต่งสามารถเข้ามามีที่นั่งในสภาได้ ซึ่งบ้างว่าเป็นสาเหตุของการล่มสลายของสาธารณรัฐไวมาร์ ในระบบสัดส่วนที่กำหนดคะแนนเสียงขั้นต่ำต่ำมากนั้น พรรคการเมืองขนาดเล็ก ๆ หลายพรรคสามารถกลายเป็น "ผู้เลือกกษัตริย์"[17] (King-makers) ได้ง่ายดายโดยเพียงต่อรองกับพรรคการเมืองขนาดใหญ่แลกกับเสียงสนับสนุนเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเป็นข้อต่อรอง ตัวอย่างนี้เกิดขึ้นในอิสราเอล[3]: 59 แต่ปัญหานี้สามารถจำกัดได้ดั่งที่ใช้ในบุนเดิสทาคของเยอรมนีในปัจจุบัน โดยมีกฎให้คะแนนขั้นต่ำของพรรคการเมืองที่ใช้ในการได้ที่นั่งในสภานั้นมีจำนวนสูง (ซึ่งในทางกลับกันทำให้มีปริมาณคะแนนเสียเปล่ามากขึ้น) อีกข้อวิจารณ์คือระบบสัดส่วนทำให้พรรคการเมืองหลักขนาดใหญ่ในระบบคะแนนนำ/เสียงข้างมาก[18]นั้นแตกออกเนื่องจากระบบสัดส่วนจะได้ประโยชน์แก่พรรคการเมืองขนาดเล็ก โดยเห็นในตัวอย่างของอิสราเอล อิตาลี และบราซิลเป็นต้น[3]: 59, 89 แต่อย่างไรก็ตามจากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่ามีการเพิ่มจำนวนของพรรคการเมืองในสภาไม่มากนักจากระบบสัดส่วนนี้ (แต่ละพรรคเล็กได้ที่นั่งมากขึ้น)[19] ในระบบการลงคะแนนแบบบัญชีรายชื่อเปิด (open list) และแบบถ่ายโอนคะแนนเสียงเป็นเพียงแบบย่อยของระบบสัดส่วนที่พรรคการเมืองเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น[20] ทำให้ผู้สมัครอิสระนั้นสามารถได้รับเลือกตั้งโดยง่าย ในไอร์แลนด์ มีผู้สมัครอิสระประมาณหกคนได้รับเลือกเข้าสภาโดยเฉลี่ยทุกสมัย[21] ทำให้ในการหาแนวร่วมในสภานั้นจะต้องนำผู้แทนอิสระนี้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วยเสมอ ในบางกรณีผู้แทนอิสระเหล่านี้อยู่ในสถานะใกล้ชิดกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยรัฐบาลไอริชในการเลือกตั้งปีค.ศ. 2016 นั้นรวมผู้แทนอิสระในรายชื่อของรัฐมนตรีในรัฐบาลเสียงข้างน้อยด้วย รัฐบาลแบบพรรคร่วมการได้รับการเลือกตั้งของพรรคการเมืองขนาดเล็กจำนวนมากกลายเป็นข้อโต้แย้งหลักของระบบสัดส่วนซึ่งจะทำให้เกิดรัฐบาลพรรคร่วมทุกครั้ง[3]: 59 [22] ผู้สนับสนุนระบบสัดส่วนมองพรรคร่วมรัฐบาลเป็นข้อได้เปรียบ โดยทำให้มีการประนีประนอมกันในระหว่างต่างพรรคการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาลพรรคร่วมตรงกลางของสเปกตรัมการเมือง และทำให้มีความต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ ส่วนผู้ต่อต้านระบบนี้เห็นว่าในหลายนโยบายนั้นไม่สามารถจะรอมชอมกันได้ เนื่องจากแต่ละนโยบายไม่สามารถจะจัดแบ่งขั้วได้ง่ายดาย (ตัวอย่างเช่น นโยบายสิ่งแวดล้อม) ดังนั้นนโยบายต่าง ๆ กลายเป็นข้อแลกเปลี่ยนในการร่วมรัฐบาลแทนซึ่งทำให้ผู้ลงคะแนนไม่มีทางรู้ได้เลยว่านโยบายใดจะได้รับการผลักดันจากรัฐบาลที่พวกเขาเลือกมา กล่าวคือผู้ลงคะแนนมีอิทธิพลน้อยต่อรัฐบาล เช่นกัน การร่วมรัฐบาลนั้นจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงกลางเสมอไป และพรรคการเมืองขนาดเล็กก็จะมีอิทธิพลมากโดยต่อรองการร่วมรัฐบาลด้วยข้อแม้ว่านโยบายต่าง ๆ ของพรรคเล็กที่มาจากผู้สนับสนุนจำนวนน้อยจะต้องเป็นผล สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความสามารถที่ผู้ลงคะแนนสนับสนุนพรรคการเมืองถูกตัดทอนลงไป[22] ด้วยข้อเสียต่าง ๆ ดังกล่าวมานี้ ผู้ต่อต้านระบบสัดส่วนโต้แย้งว่าในระบบคะแนนนำ/เสียงข้างมากนั้นช่วยหลีกเลี่ยงประเด็นเหล่านี้ได้ ซึ่งในกรณีนี้การร่วมรัฐบาลนั้นแทบไม่เกิดขึ้น โดยพรรคการเมืองหลักสองพรรคจะต้องแข่งขันกันอยู่ตรงกลางของสเปกตรัมเพื่อคะแนนเสียงทำให้รัฐบาลที่ได้นั้นอยู่จะต้องอยู่ตรงกลาง พรรคฝ่ายค้านที่ได้ก็มีความเข้มแข็งในการตรวจสอบรัฐบาล และรัฐบาลนั้นก็จะต้องรับฟังเสียงของประชาชนอยู่เสมอเพราะสามารถจะสลับขั้วได้โดยการเลือกตั้งเสมอ[22] อย่างไรก็ตามไม่ได้เป็นไปตามกรณีนี้เสมอ ในการเมืองระบบสองพรรคนั้นสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนข้างไปอย่างสุดโต่งออกไปจากตรงกลางได้[23] หรืออย่างน้อยพรรคใดพรรคหนึ่งจะกลายเป็นพรรคนโยบายสุดโต่งได้[24] เหล่าผู้ต่อต้านระบบสัดส่วนยังโต้แย้งอีกว่ารัฐบาลพรรคร่วมในระบบสัดส่วนนั้นไม่มีเสถียรภาพ ซึ่งทำให้มีการเลือกตั้งบ่อยขึ้น ดังตัวอย่างสำคัญคืออิตาลี ซึ่งมีหลายรัฐบาลอันประกอบไปด้วยพรรคเล็กพรรคพรรคน้อยประกอบเป็นพรรคร่วมรัฐบาล อย่างไรก็ตามในอิตาลีนั้นผิดปกติตรงที่ทั้งสองสภานั้นสามารถทำให้สภาล่มได้ ในขณะที่ในประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ระบบสัดส่วนมีเพียงสภาเดียวหรือใช้แค่เพียงสภาเดียวจากสองสภาเป็นหลักเพื่อสนับสนุนรัฐบาล ในอิตาลีนั้นใช้การลงคะแนนระบบผสมระหว่างแบบคะแนนนำแบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดกับระบบสัดส่วนตั้งแต่ปีค.ศ. 1993 อันประกอบด้วยกฎเกณฑ์ซับซ้อนจึงทำให้อิตาลีไม่ใช้ตัวอย่างที่ดีของระบบสัดส่วนที่มีเสถียรภาพ การมีส่วนร่วมของผู้ลงคะแนนในระบบคะแนนนำส่วนมากจะทำให้เกิดรัฐบาลพรรคเดียวที่มีเสียงข้างมากในสภาเนื่องจากพรรคเล็กจะไม่ค่อยได้รับเลือกในระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับระบบสัดส่วนแล้ว โดยระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดนั้นมักจะทำให้การเมืองเหลือเพียงพรรคใหญ่ไม่กี่พรรคและมีโอกาสที่คะแนนเสียงเพียงเล็กน้อยจะพลิกผลการเลือกตั้งได้แบบในกรณีของ "ที่นั่งแกว่ง" ซึ่งสามารถเปลี่ยนเสียงข้างมากในสภาจากพรรคหนึ่งไปอีกพรรคหนึ่งได้ โดยในระบบคะแนนนำผู้ดำรงตำแหน่งปัจจุบันนั้นมักจะครองที่นั่งและมักจะถูกโค่นลงยาก ในสหราชอาณาจักร เป็นต้น เขตเลือกตั้งประมาณครึ่งหนึ่งมักจะเลือกผู้แทนสังกัดพรรคการเมืองเดิมตั้งแต่ค.ศ. 1945[25] ในปีค.ศ. 2012 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีเพียงแค่ 45 เขต (คิดเป็นร้อยละ 10) ที่สามารถถูกเอาชนะโดยพรรคฝ่ายตรงข้ามได้[26] ผู้ลงคะแนนส่วนมากจะรู้ว่าคะแนนเสียงตัวเองต่อผู้สมัครที่มีแนวโน้มจะแพ้นั้นไม่มีแรงจูงใจในการไปลงคะแนน หรือหากไปลงคะแนนก็เทียบกับไม่มีประโยชน์อันใด เพราะคะแนนสูญ (ไม่มีค่า) ถึงแม้จะนำคะแนนมาคิดคะแนนรวมก็ตาม (ป็อปปูลาร์ โหวต) ในระบบสัดส่วน จะไม่เกิดปัญหาเรื่องที่นั่งแกว่ง เพราะคะแนนเสียงทั้งหมดจะมีส่วนในผลการเลือกตั้งทางใดทางหนึ่ง ดังนั้นพรรคการเมืองจะต้องทำการหากเสียงในทุกเขตเลือกตั้ง ไม่เพียงเฉพาะเขตที่ได้รับการสนับสนุนหรือเขตที่ได้เปรียบเท่านั้น โดยพบว่ามีส่วนทำให้พรรคการเมืองมีความรับผิดชอบมากขึ้นต่อผู้ลงคะแนน และส่งผลให้การเลือกตั้งมีความสมดุลมากขึ้นโดยส่งชื่อผู้สมัครที่เป็น"สตรี" หรือผู้สมัครจากชนกลุ่มน้อย เป็นต้น โดยจากค่าเฉลี่ย ประมาณร้อยละ 8 ของสตรีได้รับเลือกมากขึ้นในระบบการลงคะแนนนี้[19] เนื่องจากทุกคะแนนจะมีผลต่อการเลือกตั้ง จึงแทบไม่มีคะแนนสูญเลย จึงทำให้ผู้ลงคะแนนย่อมตระหนักว่าการลงคะแนนมีความหมายและสามารถสร้างความแตกต่างได้ จึงส่งผลให้มีแรงจูงใจในการไปเลือกตั้ง และเกิดปัญหาการเลือกตั้งเชิงกลยุทธ์น้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่ใช้ระบบคะแนนนำนั้น จำนวนผู้มาใช้สิทธิมีสูงกว่า และประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้นในกระบวนการทางการเมือง[3][12][19] อย่างไรก็ดีเหล่าผู้เชี่ยวชาญได้โต้แย้งว่าการเปลี่ยนผ่านจากระบบคะแนนนำไปเป็นระบบสัดส่วนนั้นสามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้สิทธิได้แค่ในเขตเลือกตั้งที่สามารถคาดคะเนผู้ชนะได้ (safe seat) ในขณะที่ระบบคะแนนนำจำนวนผู้ใช้สิทธิจะลดลงในบริเวณที่เคยมีปัญหาที่นั่งแกว่ง[27]
การแบ่งเขตเลือกตั้งแบบไม่เป็นธรรมในระบบคะแนนนำนั้น หัวใจของความเป็นสัดส่วนอยู่ที่การแบ่งเขตเลือกตั้งที่มีผู้แทนหนึ่งคน (single-member districts) โดยขนาดประชากร ซึ่งขั้นตอนนี้มีความเปราะบางต่อการละเมิดโดยอิทธิพลทางการเมือง (การแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเอาเปรียบ หรือ "Gerrymandering") โดยเพื่อจะแก้ปัญหานี้การแบ่งเขตเลือกตั้งจะต้องปรับตามขนาดการขยายตัวประชากรในเขตนั้นอยู่เสมอ โดยแม้แต่จะแบ่งเขตอย่างเป็นธรรมแล้วก็ยังมีความเสี่ยงต่อปัญหานี้อย่างไม่ตั้งใจอันเป็นผลมาจากการรวมกลุ่มของประชากรทางธรรมชาติ[28]: 65 ในระบบสัดส่วนแบบที่มีผู้แทนหลายคนต่อหนึ่งเขตนั้นมีภูมิต้านทานกับปัญหานี้ได้มากกว่าโดยผลการวิจัยระบุว่าเขตเลือกตั้งที่มีผู้แทนห้าคนหรือมากกว่าจะป้องกันปัญหาการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเอาเปรียบได้ดี[28]: 66 เนื่องจากความเท่ากันในขนาดของเขตเลือกตั้งในการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบมีผู้แทนหลายคนนั้นไม่สำคัญ (จำนวนที่นั่งผันแปร) ดังนั้นแต่ละเขตเลือกตั้งสามารถแบ่งตามอาณาเขตทางภูมิศาสตร์ได้โดยง่าย เช่น เมือง เคาน์ตี รัฐ หรือจังหวัด เป็นต้น หากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวกับจำนวนประชากรในอนาคตก็แค่ปรับเพิ่มหรือลดจำนวนผู้แทนในเขตนั้นๆ ตัวอย่างเช่น ในแผนของศาสตราจารย์มอลลิสันในปีค.ศ. 2010 ที่เสนอให้สหราชอาณาจักรใช้ระบบถ่ายโอนคะแนนเสียงนั้นได้แบ่งสหราชอาณาจักรเป็น 143 เขต และกำหนดจำนวนผู้แทนจำนวนแตกต่างกันในแต่ละเขต (โดยรวมทั้งหมด 650 คนเท่าปัจจุบัน) โดยขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้นโดยมีพิสัยค่อนข้างกว้าง (เขตเลือกตั้งแบบมีผู้แทนห้าคนมีเขตที่มีประชากร 327,000 คน และอีกเขตถึง 382,000 คน) โดยในแผนนี้ได้แบ่งเขตเลือกตั้งตามเขตเคาน์ตี และเขตการปกครองส่วนท้องถิ่น โดยพิสูจน์แล้วว่าสามารถทำให้ได้จำนวนสัดส่วนที่ถูกต้องมากกว่าที่ทำโดยคณะกรรมาธิการเขตแดนซึ่งมีหน้าที่ตรงในการแบ่งเขตเลือกตั้งในระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด (FPTP)[25][29] ส่วนในระบบการลงคะแนนแบบผสมนั้นก็ยังมีเสี่ยงต่อการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเอาเปรียบในแบบที่มีการเลือกตั้งในแบบแบ่งเขตเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ในระบบคู่ขนาน ซึ่งเป็นระบบการเลือกตั้งแบบกึ่งสัดส่วนนั้นไม่มีกลไกในการชดเชยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการเอาเปรียบในการแบ่งหน่วยเลือกตั้งได้ ส่วนในระบบสัดส่วนผสม (MMP) เนื่องจากมีกลไกสำคัญคือการชดเชยที่นั่งจึงไม่เป็นปัญหามากนัก อย่างไรก็ตามความมีประสิทธิภาพนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของแต่ละระบบ รวมถึงขนาดของเขตเลือกตั้ง สัดส่วนของจำนวนที่นั่งแบบบัญชีรายชื่อต่อที่นั่งทั้งหมด และปัญหาเรื่องความสมรู้ร่วมคิดที่อาจเกิดขึ้นได้ ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นจาการใช้ประโยชน์อย่างผิดวัตถุประสงค์ในกลไกการชดเชยที่นั่งเกิดขึ้นในการเลือกตั้งทั่วไปในฮังการี ค.ศ. 2014 ซึ่งพรรคการเมืองผู้นำ คือ Fidesz ใช้กลยุทธ์การแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเอาเปรียบร่วมกับบัญชีรายชื่อแบบตัวแทน (decoy list) ทำให้ได้มาซึ่งสองในสามของที่นั่งทั้งหมดในสภาโดยได้รับคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 45 เท่านั้น[30][31] ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระบบสัดส่วนผสมนั้นสามารถทำให้ได้ผลลัพธ์แบบที่ไม่ค่อยเป็นสัดส่วนมากได้คล้ายๆ กับระบบคู่ขนาน การยึดโยงระหว่างผู้แทนกับเขตเลือกตั้งในระบบการเลือกตั้งแบบคะแนนนำ อาทิเช่น ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด (FPTP) และระบบเสียงข้างมาก อาทิเช่น การลงคะแนนแบบหลายรอบในทันที เป็นที่ยอมรับกันกว้างขวางว่ามีความเชื่อมโยงกันทางภูมิศาสตร์ระหว่างตัวผู้แทนกับประชาชนในเขตเลือกตั้งนั้นๆ[3]: 36 [32]: 65 [14]: 21 ข้อเสียของระบบสัดส่วนที่ชัดเจนคือเนื่องจากการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบมีผู้แทนหลายคน ซึ่งมีการจัดเขตภูมิศาสตร์ที่กว้างกว่า ทำให้ความยึดโยงต่อประชาชนในท้องที่นั้นอ่อนแอกว่า[3]: 82 ยิ่งในระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อซึ่งไม่ได้มีการแบ่งเขตเลือกตั้งเลย เช่น ในเนเธอร์แลนด์ และอิสราเอลนั้นความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนในท้องที่กับตัวผู้แทนนั้นเกือบจะไม่มีเลย ยกเว้นเพียงบางพรรคการเมืองเท่านั้น อย่างไรก็ตามมีข้อโต้แย้งในระบบการเลือกตั้งที่มีเขตเลือกตั้งแบบผู้แทนหลายคนเขตเล็กๆ โดยเฉพาะในกรณีใช้ระบบการลงคะแนนแบบถ่ายโอนคะแนนเสียง (STV) ว่ากว่าร้อยละ 90 ของผู้แทนในเขตเลือกตั้งสามารถเข้าถึงผู้แทนที่พวกเขาเลือกตั้งเข้ามาได้ ซึ่งเป็นคนที่เข้าใจปัญหาในท้องถิ่นนั้นๆ จึงกล่าวได้ว่าประชาชนในท้องที่และผู้แทนมีความใกล้ชิด[25][28]: 212 โดยประชาชนผู้มีสิทธิในท้องที่นั้นมีทางเลือกในการเลือกผู้แทนที่สามารถให้คำปรึกษาและแก้ปัญหาในท้องถิ่นนั้นๆ ได้[28]: 212 [33] ส่วนในเขตเลือกตั้งที่มีผู้แทนมากกว่าหนึ่งคนนั้น ผู้สมัครรายที่โดดเด่นมักจะมีโอกาสได้รับเลือกในเขตท้องที่ของตนซึ่งประชาชนรู้จักดีและมั่นใจให้เป็นผู้แทนได้จริง และโอกาสที่จะส่งตัวผู้สมัครไปลงแข่งขันในเขตที่เหมือนเป็นคนแปลกหน้าหน้านั้นย่อมไม่เกิดผลดีต่อทั้งผู้สมัครและประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้น[34]: 248–250 ส่วนในระบบสัดส่วนผสม (MMP) นั้นมีการใช้ข้อดีของการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบผู้แทนคนเดียวซึ่งช่วยเก็บรักษาความสัมพันธ์ระหว่างผู้แทนกับประชาชนในท้องที่ไว้[3]: 95 แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีจำนวนผู้แทนแบบบัญชีรายชื่อมากสุดได้ถึงครึ่งหนึ่งของสภา จึงทำให้เขตเลือกตั้งในแต่ละเขตอาจจะมีขนาดใหญ่กว่าในกรณีของระบบการเลือกตั้งแบบคะแนนนำ ได้ถึงสองเท่าซึ่งผู้แทนแต่ละคนนั้นถือเป็นผู้แทนเพียงคนเดียวของแต่ละเขตเลือกตั้ง กรณีศึกษาที่น่าสนใจเคยเกิดขึ้นเนเธอร์แลนด์ ในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 1994 เมื่อมีพรรคการเมืองใหม่ พรรคพันธมิตรแห่งผู้สูงวัยทั่วไป (General Elderly Alliance) ชนะถึง 6 ที่นั่ง เนื่องจากก่อนหน้านั้นไม่เคยมีพรรคการเมืองใดให้การใส่ใจในประเด็นนี้มาก่อน โดยในการเลือกตั้งครั้งถัดไปนั้น พรรคการเมืองนี้ก็จบบทบาทลงเนื่องจากพรรคการเมืองหลักๆ ได้เริ่มนโยบายรับฟังเสียงของผู้สูงวัยอย่างทั่วถึง ในปัจจุบันนี้มีพรรคการเมืองสำหรับผู้สูงอายุ ไฟฟ์ติคปลึส (50+) ได้มามีบทบาทสำคัญในการเมืองเนเธอร์แลนด์อย่างมีนัยสำคัญ โดยเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าการแบ่งเขตทางภูมิศาสตร์นั้นไม่อาจเป็นตัวชีวัดคะแนนเสียงที่ดีได้ หรือในอีกนัยหนึ่งคือ การลงคะแนนในแบบแบ่งเขตจำกัดผู้ลงคะแนนแค่ในเขตนั้นๆ ในขณะที่การลงคะแนนแบบสัดส่วนนั้นมีผลตามผลลัพธ์คะแนนเสียงทั้งหมด[35] คุณสมบัติของระบบสัดส่วนขนาดของเขตเลือกตั้งเหล่านักวิชาการมีความเห็นตรงกันว่าอิทธิพลที่สำคัญที่สุดในระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนคือขนาดของเขตเลือกตั้ง (district magnitude) ซึ่งคือจำนวนของผู้แทนในเขตเลือกตั้งนั้น ความเป็นสัดส่วนจะดีมากขึ้นหากขนาดเขตเลือกตั้งใหญ่ขึ้นโดยปริยาย[3] โดยผลงานวิจัยโดยนักวิชาการการเมืองส่วนใหญ่มีข้อแนะนำให้แบ่งเขตเลือกตั้งให้มีผู้แทนจำนวนสี่ถึงแปดคนจะดีที่สุด ซึ่งจำนวนประมาณนี้จะถือว่าน้อยในระบบสัดส่วนโดยทั่วไป[36] ในอีกมุมหนึ่ง คือ ระบบการลงคะแนนแบบทวินาม (binomial voting) ซึ่งใช้ในชิลี ช่วงปีค.ศ. 1989 จนถึงค.ศ. 2013[37] เป็นระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อเปิดแบบหนึ่งซึ่งมีผู้แทนเขตละสองคน โดยในระบบนี้ผลการเลือกตั้งมักจะได้ผู้แทนพรรคละหนึ่งคนจากพรรคใหญ่ต่อหนึ่งเขต (ในเขตเลือกตั้งส่วนใหญ่) จึงไม่ถือว่าเป็นสัดส่วนโดยปริยาย[3]: 79 ในอีกกรณีหนึ่ง หากเขตเลือกตั้งทั้งเขตกินอาณาบริเวณเดียวทั้งประเทศ (และมีเกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำน้อย ซึ่งจะทำให้ความเป็นสัดส่วนสูงที่สุด) พรรคการเมืองต่างๆ สามารถได้เปรียบจากการเสริมภาพลักษณ์ของตนได้ง่ายผ่านการส่งผู้สมัครจากชนกลุ่มน้อย หรือผู้แทนสตรี[3]: 83 ภายหลังจากการเริ่มใช้ระบบการลงคะแนนแบบถ่ายโอนคะแนนเสียงในไอร์แลนด์เมื่อค.ศ. 1921 ขนาดของเขตเลือกตั้งได้เริ่มลดลงอย่างช้าๆ จนกลายเป็นเขตละสามคนเกือบทั้งหมด ซึ่งพรรคหลักที่ได้รับประโยชน์โดยตรงคือ พรรค Fianna Fáil จนกระทั่งค.ศ. 1979 เมื่อมีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการอิสระด้านเขตแดน ซึ่งได้ปรับแก้ขนาดของเขตเลือกตั้งใหม่[38] ต่อมาในปีค.ศ. 2010 คณะกรรมาธิการรัฐธรรมนูญในรัฐสภาได้แนะนำให้มีขนาดอย่างน้อยเขตละ 4 คน[39] นอกจากนั้นถึงแม้ว่าไอร์แลนด์จะมีขนาดเขตเลือกตั้งที่ค่อนข้างเล็กแต่ส่วนใหญ่จะได้ผลลัพธ์ที่เป็นสัดส่วนสูงอยู่อย่างสม่ำเสมอ[3]: 73 องค์การ FairVote ซึ่งได้เคยพิจารณาแผนการใช้ระบบการลงคะแนนแบบถ่ายโอนคะแนนเสียงสำหรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ได้เสนอให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีขนาดตั้งแต่ 3-5 คนต่อเขต[40] ในแผนการของศาสตราจารย์มอลลิสันซึ่งได้เคยพิจารณาแผนการใช้ระบบการลงคะแนนแบบถ่ายโอนคะแนนเสียงสำหรับการเลือกตั้งในสหราชอาณาจักรนั้น เขตเลือกตั้งส่วนใหญ่มีขนาด 4-5 คนต่อเขต โดยมีบางเขตที่มี 3 คน และบางเขตมากถึง 6 คน และยังมีบางเขตเพียงสองคน และคนเดียวซึ่งเป็นตามข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ในบางสถานที่[25] เกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำเกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำคือจำนวนคะแนนเสียงที่น้อยที่สุดที่ต้องการเพื่อที่จะได้ 1 ที่นั่ง ยิ่งเกณฑ์ขั้นต่ำน้อย ยิ่งทำให้มีความเป็นสัดส่วนของสภาผู้แทนสูงมากขึ้น และจำนวนของคะแนนสูญน้อยลงเท่านั้น[3] โดยส่วนใหญ่ระบบการลงคะแนนทั้งหลายมักจะมีการกำหนดเกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำไว้ ไม่ว่าจะเป็นตามบทบัญญัติกฎหมาย หรือเป็นจากการคำนวนตัวแปรต่างๆ ของการเลือกตั้ง[3]: 83 เกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำนั้นปกติจะให้พรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงจำนวนหนึ่งเป็นร้อยละ โดยเมื่อถึงเกณฑ์แล้วจะได้รับที่นั่งจากบัญชีรายชื่อ ในเยอรมนี และนิวซีแลนด์ (ทั้งสองประเทศใช้ระบบสัดส่วนผสม) มีเกณฑ์ขั้นต่ำที่ร้อยละ 5 ของคะแนนรวมทั้งประเทศ แต่เกณฑ์นั้นจะไม่บังคับใช้ในพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตจำนวนหนึ่งแล้ว (สามที่นั่งในเยอรมนี และที่นั่งเดียวในนิวซีแลนด์) ตุรกีนั้นกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำที่ร้อยละ 10 เนเธอร์แลนด์ร้อยละ 0.67[3] อิสราเอลได้เพิ่มเกณฑ์ขั้นต่ำจากร้อยละ 1 (ก่อนค.ศ. 1992) เป็นร้อยละ 1.5 (จนถึงปีค.ศ. 2004) และต่อมาร้อยละ 2 (ในปีค.ศ. 2006) และร้อยละ 3.25 ในปีค.ศ. 2014[41] ในระบบการลงคะแนนแบบถ่ายโอนคะแนนเสียง (STV) นั้น หากพรรคการเมืองได้คะแนนเสียงถึงเกณฑ์โควตา (คือ คะแนนเสียง÷จำนวนที่นั่ง+1) ของคะแนนเสียงในลำดับแรกก็จะได้รับเลือก อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครรายสำคัญยอดนิยมของแต่ละเขตเลือกตั้งซึ่งอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีในลำดับที่สองหรือสามเป็นต้น อาจจะได้รับเลือกไปด้วยคะแนนเพียงครึ่งเดียวจากโควตาของลำดับแรก ดังนั้น ในเขตเลือกตั้งที่มีผู้แทนหกคน จะมีเกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำเริ่มที่ร้อยละ 7.14 สำหรับลำดับแรก (คำนวนโดย 100÷(6+1)÷2)[25] ซึ่งการเลือกผู้สมัครในลำดับที่สองนั้นถือเป็นการสนับสนุนระบบฉันทามติได้ดี ขนาดของพรรคในเขตเลือกตั้งขนาดของพรรคในเขตเลือกตั้ง (party magnitude) คือจำนวนผู้แทนที่สังกัดพรรคการเมืองเดียวกันในเขตเลือกตั้งหนึ่ง โดยเมื่อใดที่ขนาดของพรรคในเขตนั้นๆ มีขนาดใหญ่ขึ้นจะทำให้ผู้แทนมีความสมดุลมากขึ้นซึ่งเหมาะที่จะส่งผู้สมัครที่เป็นสตรีและกลุ่มชาติพันธุ์เข้าลงแข่งขัน[42] แต่ในระบบถ่ายโอนคะแนนเสียงนั้นหากส่งผู้สมัครจำนวนมากเกินไปจะทำให้เกิดผลเสียแทน โดยจะเกิดปัญหาเสียงแตกในคะแนนลำดับแรกและจะเป็นเหตุให้ผู้สมัครตกรอบไปก่อนที่จะได้รับโอนคะแนนจากผู้สมัครจากพรรคการเมืองอื่นๆ ตัวอย่างเกิดขึ้นในการเลือกตั้งท้องถิ่นสกอตแลนด์ ค.ศ. 2007 ที่พรรคแรงงานได้ส่งผู้สมัครถึงสามคนโดยชนะเพียงแค่คนเดียวในขณะที่ควรจะชนะได้ถึงสองคนเพราะปัญหาการแย่งคะแนนเสียงกันเอง[25] กรณีเดียวกันเกิดขึ้นในการเลือกตั้งทั่วไปในไอร์แลนด์ ค.ศ. 2011 ซึ่งเป็นผลให้พรรค Fianna Fáil ล่มสลายลงในเวลาต่อมา[43] ความไม่สมดุลในระบบประธานาธิบดีในระบบประธานาธิบดี การเลือกประธานาธิบดีนั้นมีที่มาจากการเลือกตั้งที่เป็นอิสระไม่ขึ้นกับรัฐสภา ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีรัฐบาลที่แบ่งขั้วโดยที่รัฐสภาและประธานาธิบดีมีความเห็นตรงกันข้ามและมีความพยายามที่จะคานอำนาจซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ดีในระบบสัดส่วนนั้นมีผลดีต่อรัฐบาลที่มาจากหลายพรรคเล็กรวมกันซึ่งจำเป็นจะต้องมีการรอมชอมและการเจรจาต่อรอง จึงทำให้การร่วมพรรคการเมืองนั้นจะมีความยากลำบากในการรวมตัวเป็นปึกแผ่นเพื่อคานอำนาจกับประธานาธิบดีซึ่งจะเป็นเหตุให้อำนาจทั้งสองฝ่ายนั้นไม่สมดุล โดยประธานาธิบดีจะใช้อำนาจได้มากกว่าในเรื่องการเมืองบางประเด็นได้ ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นในกรณีของระบบรัฐสภาที่มีนายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมผ่านกลไกรัฐสภา ดังนั้นทำให้กรณีของรัฐบาลแบ่งขั้วนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ถึงแม้ว่ามุมมองทางการเมืองสามารถสลับสับเปลี่ยนได้อยู่ตลอด และอาจทำให้นายกรัฐมนตรีไม่ได้รับการไว้วางใจจากรัฐสภาโดยจะถูกเปลี่ยนตัวได้โดยการลงมติไม่ไว้วางใจโดยในกรณีนี้จึงทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดรัฐบาลแบ่งขั้วได้ในระบบรัฐสภา อื่นๆปัจจัยอื่นๆ ที่อาจมีผลต่อความเป็นสัดส่วนของระบบสัดส่วน ได้แก่ ขนาดของสภา การเลือกใช้ระหว่างบัญชีรายชื่อแบบเปิดหรือปิด การออกแบบบัตรลงคะแนน และวิธีการนับคะแนน มาตรวัดความไม่เป็นสัดส่วนระบบการลงคะแนนแบบสัดส่วนแบบต่างๆระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อเป็นระบบการลงคะแนนที่จำนวนที่นั่งในสภาจะได้รับการจัดสรรปันส่วนให้กับพรรคการเมืองต่างๆ ตามสัดส่วนคะแนนเสียงที่ได้รับ และจึงค่อยเลือกผู้แทนจากลำดับในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้นๆ ระบบนี้ใช้กันในหลายประเทศ รวมถึง ฟินแลนด์ (บัญชีเปิด) ลัตเวีย (บัญชีเปิด) สวีเดน (บัญชีเปิด) อิสราเอล (บัญชีปิด) บราซิล (บัญชีเปิด) เนปาล (บัญชีปิด) เริ่มในปีค.ศ. 2008 เนเธอร์แลนด์ (บัญชีเปิด) รัสเซีย (บัญชีปิด) แอฟริกาใต้ (บัญชีปิด) และยูเครน (บัญชีเปิด) สำหรับการเลือกตั้งสภายุโรป ประเทศสมาชิกส่วนใหญ่ใช้ระบบบัญชีเปิด แต่ประเทศขนาดใหญ่ในสหภาพยุโรปล้วนใช้ระบบบัญชีปิด เพื่อให้คะแนนเสียงข้างมากในสภานั้นแบ่งตามนั้น[44] ส่วนบัญชีท้องถิ่นนั้นเคยใช้ในการเลือกตั้งวุฒิสภาอิตาลีในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ประเภทของบัญชีรายชื่อแบ่งได้ดังนี้
แบบถ่ายโอนคะแนนเสียงระบบลงคะแนนแบบถ่ายโอนคะแนนเสียง (อังกฤษ: single transferable vote, ย่อ STV) หรือเรียกอีกอย่างว่า "การลงคะแนนตามลําดับความชอบ" (อังกฤษ: ranked-choice voting)[51][8] เป็นระบบการลงคะแนนที่ผู้ลงคะแนนออกเสียงเลือกผู้สมัครตามลำดับความชอบ ในเขตเลือกตั้งหนึ่งมักมีผู้แทนตั้งแต่สามถึงเจ็ดคน โดยการนับคะแนนนั้นเกิดขึ้นเป็นรอบๆ โดยเลือกและกำจัดผู้สมัครแต่ละคนในแต่ละรอบ และโอนคะแนนเสียงไปให้ผู้สมัครคนอื่นตามลำดับจนกว่าจะได้ผู้ชนะครบจำนวนที่นั่งในเขตนั้นๆ ผู้สมัครแต่ละรายในรอบๆ หนึ่งที่ได้รับคะแนนเสียงถึงจำนวนโควตาซึ่งเป็นจำนวนคะแนนขั้นต่ำเพื่อชนะการเลือกตั้ง คะแนนเสียงส่วนที่เกินจากโควตาจะถูกถ่ายโอนไปให้ผู้สมัครรายอื่นตามลำดับที่ผู้ลงคะแนนระบุไว้ หากในรอบถัดไปไม่มีผู้สมัครรายได้รวมคะแนนถึงโควตา ผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุดจะถูกกำจัด โดยคะแนนทั้งหมดของผู้สมัครรายที่ตกรอบนั้นจะถูกถ่ายโอนไปให้ผู้สมัครรายอื่นตามที่ระบุไว้ในบัตรเลือกตั้ง และเริ่มนับใหม่รอบถัดไป การคำนวนคะแนนสำหรับการถ่ายโอนคะแนนนั้นมีหลายวิธี บางวิธีใช้การคำนวนอย่างง่าย บางวิธีใช้การถ่ายโอนคะแนนส่วนเกิน หรือถ่ายโอนแค่เป็นเศษส่วนหนึ่งของคะแนนเสียง (นำคะแนนส่วนเกินหารด้วยคะแนนรวมของผู้สมัคร) ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการช่วยนับคะแนน ในแต่ละวิธีอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันในการนับคะแนนใหม่ในแต่ละรอบ และยังมีวิธีที่แตกต่างกันในการจัดการคะแนนเสียงของผู้สมัครที่ชนะไปแล้วหรือตกรอบไปแล้วซึ่งก็ต้องการคอมพิวเตอร์เช่นกัน[52][53] วิธีการลงคะแนนแบบถ่ายโอนคะแนนเสียงทำให้เกิดผู้ลงคะแนนเป็นกลุ่มๆ ในแต่ละเขตเลือกตั้งซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางการเมืองในเขตตามความหลากหลายของผู้แทน โดยส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 ของผู้ลงคะแนนได้ผู้แทนที่มาจากตัวเลือกอันดับหนึ่ง โดยผู้ลงคะแนนเสียงแต่ละคนสามารถออกเสียงเลือกได้ตามความชอบของตนและผลลัพธ์ที่ได้ก็มีความเป็นสัดส่วน[25] จึงทำให้ในระบบนี้พรรคการเมืองกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ในแนวคิดของระบบสัดส่วนอนุมานว่าพรรคการเมืองนั้นย่อมเกิดมาได้จากการความพึงพอใจของผู้ลงคะแนน และจึงเป็นผู้ให้อำนาจแก่พรรคการเมือง[52] ระบบถ่ายโอนคะแนนเสียงเป็นไปตามเกณฑ์ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนในความร่วมมืออย่างเข้มแข็ง (proportionality for solid coalitions) โดยการมีความร่วมมืออย่างเข้มแข็งโดยกลุ่มผู้สมัครนั้นหมายถึงกลุ่มของผู้ลงคะแนนที่เป็นผู้จัดลำดับผู้สมัครเหล่านี้เหนือเหตุผลอื่นใด[52] จึงถือเป็นระบบการมีผู้แทนแบบเป็นสัดส่วนอย่างแท้จริง แต่อย่างไรก็ตามขนาดของเขตเลือกตั้งที่ค่อนข้างเล็กได้ถูกวิจารณ์ว่าทำให้ลดความเป็นสัดส่วนลง โดยเฉพาะเมื่อมีพรรคการเมืองจำนวนมากกว่าที่นั่งที่มี[22]: 50 จึงทำให้ระบบถ่ายโอนคะแนนเสียงนี้บางครั้งถูกตีตราว่าเป็น "ระบบเสมือนสัดส่วน"[54]: 83 โดยคำกล่าวนี้อาจจะเป็นจริงในเขตที่อยู่ห่างไกลแต่ผลลัพธ์โดยรวมจะเป็นสัดส่วน ในไอร์แลนด์ซึ่งมีเขตเลือกตั้งขนาดเล็กจำนวนมากได้ผลลัพธ์ที่มีความเป็นสัดส่วนมาก[3]: 73 [6] ในปีค.ศ. 1997 ค่าเฉลี่ยของขนาดเขตเลือกตั้งอยู่ที่ 4.0 ในขณะที่มีพรรคการเมืองทั้งหมดแปดพรรคที่ได้ที่นั่ง โดยมีสี่พรรคมีผู้ชนะในลำดับแรกได้คะแนนรวมระดับชาติน้อยกว่าร้อยละ 3 นอกจากนี้ยังพบผู้สมัครอิสระหกคนที่ได้รับเลือกตั้ง[38] ระบบถ่ายโอนคะแนนเสียงนี้ได้รับคำชมว่าเป็นระบบที่เป็นสัดส่วนมากที่สุด[54]: 83 และยังช่วยกลั่นกรองผู้สมัครสายสุดโต่งออกไปจากระบบเนื่องจากในการลงคะแนนนั้นผู้สมัครแต่ละรายจะต้องแย่งกันอยู่ในลำดับต้นๆ ตามความชอบของผู้ลงคะแนนโดยจะต้องมีนโยบายที่ผ่อนปรน และนโยบายที่เข้าถึงกลุ่มผู้ลงคะแนนทุกกลุ่มได้โดยง่าย[55][56] ระบบผสมแบบมีการชดเชยระบบการลงคะแนนแบบผสม (อังกฤษ: mixed electoral system) เป็นระบบการลงคะแนนที่รวมเอาวิธีการลงคะแนนแบบคะแนนนำ/เสียงข้างมากกับการคำนวนแบบสัดส่วน[57] และยังใช้ระบบการชดเชยที่นั่งเพื่อปรับให้เป็นสัดส่วนที่สุด อันเป็นผลจากระบบคำแนนนำ/เสียงข้างมาก[58][59] ระบบการลงคะแนนแบบผสมที่ใช้กันมากที่สุดคือ ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนที่มีสมาชิกแบบผสม (อังกฤษ: mixed-member proportional representation; ย่อ: MMP) หรือ "ระบบสัดส่วนผสม" ซึ่งประกอบด้วยการลงคะแนนแบบแบ่งเขตแบบมีผู้แทนเขตละคนโดยผ่านระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด (FPTP) โดยมีระบบการชดเชยที่นั่งจากบัญชีรายชื่อในระดับชาติหรือภูมิภาค ตัวอย่างเช่น สมมติว่าพรรคการเมืองชนะ 10 ที่นั่งจากระบบคะแนนนำ แต่จำเป็นต้องมีทั้งหมดถึง 15 ที่นั่งเพื่อจะให้เท่ากับสัดส่วนคะแนนเสียงรวมในระดับชาติ (ที่นั่งพึงมี) ในกรณีนี้หากใช้ระบบการลงคะแนนแบบสัดส่วนผสมที่มีการชดเชยเต็มรูปแบบนั้นจะมีการเพิ่มที่นั่งชดเชยให้แก่พรรคการเมืองจำนวน 5 ที่นั่งเพื่อให้พรรคการเมืองได้ที่นั่งรวมเป็น 15 ที่นั่งตามจำนวนร้อยละของคะแนนเสียงที่ได้รับจริง ในระบบสัดส่วนผสมนั้นสามารถทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีความเป็นสัดส่วนได้ตั้งแต่ปานกลางจนถึงสูงโดยขึ้นอยู่กับตัวแปรต่างๆ ที่ใช้ในการเลือกตั้ง อาทิเช่น สัดส่วนของที่นั่งที่มาจากระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดต่อที่นั่งแบบบัญชีรายชื่อ การใช้ระบบชดเชยที่นั่งเพิ่มผ่านที่นั่งส่วนขยาย และเกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำ[60][61][62] เป็นต้น ระบบการลงคะแนนนี้คิดขึ้นเพื่อใช้กับสภาบุนเดิสทาคของเยอรมนีในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และต่อมาได้รับไปใช้ในอีกหลายประเทศ เช่น เลโซโท โบลิเวีย นิวซีแลนด์ และในประเทศไทย (ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560) เป็นต้น ในสหราชอาณาจักรมีการใช้ระบบนี้ในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติของเวลส์และสกอตแลนด์ โดยเรียกอีกชื่อว่า ระบบสมาชิกเพิ่มเติม (อังกฤษ: additional member system)[4][2] ในระบบนี้ โดยปกติผู้ลงคะแนนจะมีสองคะแนนเสียง โดยหนึ่งคะแนนสำหรับเลือกผู้แทนแบบแบ่งเขต และอีกหนึ่งสำหรับบัญชีรายชื่อพรรค คะแนนเสียงบัญชีรายชื่อนั้นปกติจะเป็นตัวกำหนดจำนวนที่นั่งในสภา โดยหลังจากที่ได้ตัวผู้ชนะในแบบแบ่งเขตทั้งหมดแล้ว ผู้สมัครในบัญชีรายชื่อจะได้รับเลือกเพื่อเป็นการเติมจำนวนที่นั่งของแต่ละพรรคเพื่อให้ครบกับจำนวนผู้แทนที่พึงมีจากการคำนวนคะแนนเสียงทั้งหมดของพรรค ก่อนการจัดสรรปันส่วนที่นั่งในบัญชีรายชื่อนั้น คะแนนทั้งหมดของบัญชีรายชื่อที่ไม่ถึงเกณฑ์คะแนนขั้นต่ำจะไม่ถูกนำมาคิด หากพรรคการเมืองต่างๆ ที่ถูกกำจัดจากเกณฑ์คะแนนขั้นต่ำจะไม่ได้ที่นั่งและจึงทำให้จำนวนที่นั่งของพรรคการเมืองที่ผ่านเกณฑ์ได้ที่นั่งจำนวนมากขึ้นไปด้วย นอกจากนี้ผู้ชนะการเลือกตั้งนามอิสระ (ไม่สังกัดพรรคการเมือง) จะไม่ถูกนำไปคำนวนในการจัดสรรปันส่วนของบัญชีรายชื่อทั้งหมด ความเป็นสัดส่วนของระบบสัดส่วนผสมอาจมีปัญหาได้หากอัตราส่วนที่นั่งในแบบบัญชีรายชื่อต่อแบบแบ่งเขตนั้นต่ำเกินไป ซึ่งอาจทำให้จำนวนที่นั่งชดเชยไม่พอกับผลการเลือกตั้งจากแบบแบ่งเขตและส่งผลให้ไม่เป็นสัดส่วนขึ้นได้ อีกตัวแปรหนึ่งคือการจัดการเรื่องที่นั่งส่วนขยาย (overhang seats) ซึ่งเกิดขึ้นในกรณีที่พรรคการเมืองชนะเลือกตั้งแบบแบ่งเขตมากกว่าจำนวนคะแนนเสียงรวมของพรรคในแบบบัญชีรายชื่อ (สูงกว่าจำนวนผู้แทนพึงมี) โดยเพื่อที่จะทำให้เป็นสัดส่วนนั้น พรรคการเมืองอื่นๆ จำเป็นจะต้องได้รับที่นั่งเพิ่ม ซึ่งจะขยายขนาดของสภาเป็นจำนวนสองเท่าของจำนวนที่นั่งส่วนขยาย แต่ระบบการเพิ่มที่นั่งโดยขยายขนาดสภาเป็นการชั่วคราวนั้นไม่ได้ถูกรับไปใช้ในทุกประเทศ เช่นในประเทศเยอรมนี ที่เพิ่งเริ่มใช้การขยายขนาดสภาโดยชั่วคราวด้วยการเพิ่มจำนวนที่นั่ง[63] ส่วนในเวลส์ สกอตแลนด์ และเลโซโทไม่พบการขยายขนาดของสภาเลย และในค.ศ. 2012 คณะกรรมาธิการรัฐสภาของนิวซีแลนด์ได้เสนอให้มีการยกเลิกการชดเชยที่นั่งส่วนขยาย และดังนั้นจึงปรับขนาดของสภาไปโดยปริยาย ในขณะเดียวกันก็จะยกเลิกเกณฑ์ขั้นต่ำที่พรรคการเมืองจะต้องชนะการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตอย่างน้อยหนึ่งเขตจึงจะได้ที่นั่งในบัญชีรายชื่อ ซึ่งจะเป็นเหตุหลักที่ทำให้เกิดที่นั่งส่วนขยายและทำให้สภามีขนาดใหญ่ขึ้น และยังเสนอให้มีการปรับลดเกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 4 ซึ่งจะทำให้ได้สัดส่วนมากขึ้น[3][64] ระบบการลงคะแนนแบบผสมอีกระบบหนึ่งคือ ระบบสัดส่วนสมาชิกคู่ (อังกฤษ: dual-member proportional representation; ย่อ: DMP) ซึ่งเป็นระบบการลงคะแนนแบบเสียงเดียวเลือกผู้แทนพร้อมกันเขตละสองคน โดยที่นั่งแรกของแต่ละเขตจะให้ผู้สมัครรายที่ชนะคะแนนนำ คล้ายกับการลงคะแนนในระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด ที่นั่งที่เหลือจะจัดสรรให้โดยการชดเชยเพื่อให้ได้ผลรวมในระดับภูมิภาคมีความเป็นสัดส่วน ระบบสัดส่วนสมาชิกคู่ใช้สูตรคำนวนคล้ายกับระบบสัดส่วนผสมแบบหนึ่งที่ใช้หา "ผู้เกือบชนะที่ดีที่สุด" (best near-winner) ซึ่งใช้ในรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค[65]ของเยอรมนี โดยมีการชดเชยที่นั่งให้แก่ผู้สมัครที่ได้เสียงสนับสนุนจำนวนมากในระดับเขตโดยเปรียบเทียบกับผู้สมัครรายอื่นจากพรรคการเมืองเดียวกัน ความแตกต่างของระบบสัดส่วนคู่ คือแต่ละเขตเลือกตั้งจะมีผู้แทนอย่างมากหนึ่งคนได้รับการชดเชยที่นั่ง หากในเขตเลือกตั้งมีผู้สมัครหลายรายแข่งขันกันแย่งที่นั่งชดเชยนี้ ผู้สมัครรายที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับเลือกและทำให้รายอื่นตกรอบ ระบบสัดส่วนคู่มีความคล้ายคลึงกับระบบถ่ายโอนคะแนนเสียงตรงที่ผู้แทนทั้งหมดรวมถึงประเภทที่มาจากการชดเชยที่นั่งนั้นจะมาจากแบบแบ่งเขตเลือกตั้งทั้งหมด ระบบนี้ถูกคิดค้นขึ้นในปีค.ศ. 2013 สำหรับรัฐแอลเบอร์ตาในแคนาดา และยังได้รับความสนใจจากรัฐพรินซ์เอ็ดเวิร์ดไอแลนด์ในการลงประชามติเมื่อปีค.ศ. 2016 เพื่อหาระบบการลงคะแนนมาแทนที่ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด[66] แต่ถูกตีตกไปในรอบที่สาม อีกทั้งระบบนี้ยังเคยอยู่ในระบบสัดส่วนทั้งสามระบบที่ถูกเสนอชื่อในการลงประชามติปีค.ศ. 2018 สำหรับรัฐบริติชโคลัมเบีย[67][68][69] การแบ่งสรรปันส่วนแบบสัดส่วนคู่ระบบสัดส่วนอื่นๆประเทศที่ใช้การเลือกตั้งระบบสัดส่วน
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
อ่านเพิ่มเติมหนังสือ
บทความ
แหล่งข้อมูลอื่น
|