โรงพยาบาลพระปกเกล้า
โรงพยาบาลพระปกเกล้า ซึ่งบางครั้งเรียกว่า โรงพยาบาลประชาธิปกบรมราชานุสรณ์ เป็นโรงพยาบาลหลักของจังหวัดจันทบุรี ประเทศไทย และจัดอยู่ในประเภทโรงพยาบาลระดับภูมิภาคของกระทรวงสาธารณสุข โดยมีศูนย์แพทยศาสตรศึกษาโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบทซึ่งจัดอบรมแพทย์ให้แก่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[1][2] ประวัติการก่อสร้างโรงพยาบาลเริ่มขึ้นใน พ.ศ. 2480 โดยหลวงนิรนทร์ ประสาทเวชช์ ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดจันทบุรี อาคารโรงพยาบาลหลังแรกสร้างเสร็จในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2482 โดยมีความจุ 50 เตียง โรงพยาบาลดังกล่าวเปิดเป็นโรงพยาบาลจันทบุรีเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2483 โรงพยาบาลแห่งนี้ใช้เป็นโรงพยาบาลสนามตลอดช่วงกรณีพิพาทอินโดจีน และดูแลคนบาดเจ็บกว่า 300 รายจากยุทธนาวีเกาะช้าง ครั้นใน พ.ศ. 2497 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมเยียน และได้ริเริ่มการขยายโรงพยาบาลเพิ่มเติมผ่านกองทุนของราชวงศ์ กระทั่งใน พ.ศ. 2498 หลังจากสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่แล้วเสร็จ โรงพยาบาลนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลพระปกเกล้าเพื่อรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ โรงเรียนพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัย (ปัจจุบันคือวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า) ได้เปิดดำเนินการที่โรงพยาบาลใน พ.ศ. 2509 และใน พ.ศ. 2519 ทางโรงพยาบาลได้ร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่ออบรมแพทย์ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท (CPIRD)[3] ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลพระปกเกล้า เป็นศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกแห่งแรกของประเทศ โดยเป็นสถาบันสมทบของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประวัติในปี พ.ศ. 2519 ได้มีการเจรจากันระหว่างผู้อำนวยการกองฝึกอบรม กระทรวงสาธารณสุข (นายแพทย์กิติ ตยัคคานนท์) และรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในขณะนั้น (ศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์ทองจันทร์ หงส์ลดารมภ์) เรื่องการผลิตแพทย์เพื่อรับใช้ชาวชนบท โดยกระทรวงสาธารณสุขมีความประสงค์จะได้แพทย์ทำงานในชนบทมากขึ้นจึงได้มีหนังสือจากปลัดกระทรวงสาธารณสุขถึงอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในขณะนั้น (ศาสตราจารย์กิตติคุณ เติมศักดิ์ กฤษณามระ) ขอความร่วมมือให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผลิตแพทย์เพิ่มขึ้น โดยรับนิสิตเพื่อจะได้กลับไปทำงานในต่างจังหวัด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้พิจารณาเรื่องนี้แล้ว เห็นควรร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขในการผลิตแพทย์ดังกล่าว โดยอาศัยแนวคิด อยู่ 2 ประการ คือ
กระทรวงสาธารณสุข และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2520และได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการจากการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2521 [4] จากนั้นจึงมีการจัดตั้งคณะกรรมการซึ่งมีประธานร่วม ได้แก่ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศาสตราจารย์กิตติคุณ เติมศักดิ์ กฤษณามระ) และรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (นายแพทย์อมร นนทสุต) โดยมีกรรมการจากทั้งสองฝ่ายรวมอยู่ด้วย คณะกรรมการชุดนี้ ได้ดำเนินการพิจารณาแผนงาน โดยเสนอชื่อโครงการว่า “โครงการส่งเสริมการศึกษาแพทย์สำหรับชาวชนบท ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกระทรวงสาธารณสุข” (Medical Education for Students in Rural Area Project-MESRAP) ได้วางโครงร่างการดำเนินการ และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 4 คณะ คือ คณะอนุกรรมการพิจารณาเกณฑ์การคัดเลือกนิสิต คณะอนุกรรมการจัดทำหลักสูตร คณะอนุกรรมการแลกเปลี่ยนบุคลากร และคณะอนุกรรมการพิจารณาคัดเลือกสถานที่[5] ซึ่งคณะอนุกรรมการทั้ง 4 คณะได้ดำเนินการพิจารณาโครงสร้างและเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมาย โดยมีกองฝึกอบรม (สถาบันพระบรมราชชนก ในปัจจุบัน) กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ประสานงาน ซึ่งคณะอนุกรรมการได้พิจารณาเลือกโรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี เป็นศูนย์การศึกษาภาคคลินิก ของคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้มีพิธีเปิด “ศูนย์การศึกษาแพทยศาสตร์คลินิก โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี” เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2525 โดยมีศาสตราจารย์ นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน และมีนายแพทย์ชัยสิทธิ์ ธารากุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ และเริ่มจัดการเรียนการสอนนิสิตแพทย์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในปี พ.ศ. 2537 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกับทบวงมหาวิทยาลัย จัดทำโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท (the Collaborative Project to Increase Production of Rural Doctor-CPIRD) [6] เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายตามวัตถุประสงค์ โดยใน พ.ศ. 2540 กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดตั้ง สำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท เก็บถาวร 2022-05-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เพื่อรับผิดชอบโครงการดังกล่าว สำนักงานนี้มีฐานะเทียบเท่ากองในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ใช้ชื่อย่อว่า “สบพช.” ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 ได้มีคำสั่งกระทรวงสาธารณสุข คำสั่งที่ 1168/2541 ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2541ให้จัดตั้งศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกขึ้นในโรงพยาบาลศูนย์ ศูนย์การศึกษาแพทย์ฯ จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลพระปกเกล้า” ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2542 โดยมีนายแพทย์ชัชวาล สมพีร์วงศ์ เป็นผู้อำนวยการคนแรกจนถึงปัจจุบันนี้ ปัจจุบันศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลพระปกเกล้า ดูแลรับผิดชอบการผลิตแพทย์ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท โครงการทุนกระจายแพทย์หนึ่งอำเภอหนึ่งทุนและโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐด้านสาธารณสุข โดยนิสิตแพทย์ในโครงการต่าง ๆ จะศึกษาในชั้นปรีคลินิก ณ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกลับมาศึกษาในชั้นคลินิก ณ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี ก่อนสำเร็จการศึกษานิสิตแพทย์ทุกคนจะต้องสอบเพื่อปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต เมื่อสอบผ่านจะได้รับปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลักสูตรระดับปริญญาตรี
ระยะเวลาในการศึกษาใช้ระยะเวลาในการศึกษาตลอดหลักสูตรรวม 6 ปี ดังนี้
นิสิตแพทย์ (ชั้นปี 1 - 3) จะศึกษา ณ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นิสิตแพทย์ (ชั้นปี 4 - 6) จะศึกษาและฝึกภาคปฏิบัติ ณ ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลพระปกเกล้า การรับนิสิตแพทย์เข้าศึกษาศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลพระปกเกล้านิสิตแพทย์เข้าศึกษาในหลักสูตร แพทยศาสตรบัณฑิต ผ่านโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบทและโครงการกระจายแพทย์หนึ่งอำเภอหนึ่งทุนของ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลักสูตรแพทย์ประจำบ้าน
ดูเพิ่มอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น |