บริการสุขภาพในประเทศไทยกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานควบคุมดูแลการสาธารณสุขและวิชาชีพสาธารณสุข ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอื่น รายจ่ายด้านสาธารณสุขของประเทศไทยคิดเป็นร้อยละ 4.3 ของจีดีพีในปี 2552 องค์การอนามัยโลกระบุว่าประเทศไทยมี "มีประวัติศาสตร์การพัฒนาสุขภาพยาวนานและสำเร็จ" และมีการสถาปนาระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าตั้งแต่ปี 2545[1] โครงสร้างพื้นฐานภาครัฐเป็นผู้ให้บริการสาธารณสุขส่วนใหญ่ในประเทศไทย โดยมีโรงพยาบาล 1,002 โรง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (เดิมเรียก "สถานีอนามัย") 9,765 แห่ง ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามีสามโครงการ ได้แก่ (1) ระบบสวัสดิการข้าราชการแก่ข้าราชการและครอบครัว (2) ประกันสังคมแก่ลูกจ้างเอกชน และ (3) ระบบหลักประกันสุขภาพ (เรียก "บัตรทอง" หรือ "30 บาทรักษาทุกโรค") ซึ่งตามทฤษฎีมีให้แก่คนไทยทุกคน โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งเข้าร่วมโครงการดังกล่าว แต่ส่วนใหญ่ได้เงินจากการจ่ายของผู้ป่วยและประกันเอกชน ข้อมูลของธนาคารโลก ระบุว่า ภายใต้แผนสุขภาพของประเทศไทย ประชากรร้อยละ 99.5 มีการคุ้มครองสุขภาพ[2] กระทรวงสาธารณสุขควบคุมดูแลนโยบายสาธารณสุขของประเทศ และดำเนินการสถาบันสุขภาพของรัฐส่วนใหญ่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดสรรเงินทุนแก่โครงการหลักประกันสุขภาพ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอื่น ได้แก่ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) มูลนิธิสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) แม้มีนโยบายระดับชาติสนับสนุนการกระจายอำนาจ แต่การนำไปปฏิบัติยังเผชิญการต่อต้าน และกระทรวงฯ ยังควบคุมระบบสาธารณสุขส่วนใหญ่โดยตรงอยู่ ประเทศไทยริเริ่มการปฏิรูปหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในปี 2544 นับเป็นประเทศรายได้ปานกลางต่ำไม่กี่ประเทศที่กระทำเช่นนั้น บริการสุขภาพที่ใช้เครื่องมือทดสอบความจำเป็น (means test) ถูกแทนที่ด้วยแผนประกันใหม่และครอบคลุมมากกว่า ซึ่งเดิมเรียก "โครงการ 30 บาท" ร่วมกับการร่วมจ่ายเล็กน้อยที่คิดค่าบริการให้กับการรักษา บุคคลที่เข้าร่วมแผนนี้จะได้รับบัตรทอง ซึ่งทำให้พวกเขาเข้าถึงบริการในเขตสุขภาพของตน และในกรณีที่จำเป็น สามารถส่งตัวเพื่อรับการรักษาของแพทย์เฉพาะทางที่อื่น[2] การคลังสุขภาพปริมาณมากมาจากรายได้ของภาครัฐ โดยทุนได้รับจัดสรรแก่หน่วยคู่สัญญาของบริการระดับปฐมภูมิรายปีตามจำนวนประชากร ข้อมูลของ WHO ระบุว่า ร้อยละ 65 ของรายจ่ายบริการสุขภาพของไทยในปี 2547 มาจากรัฐบาล ส่วนอีกร้อยละ 35 มาจากเอกชน ประเทศไทยบรรลุความครอบคลุมถ้วนหน้า (universal coverage) โดยมีรายจ่ายด้านสาธารณสุขค่อนข้างต่ำ แต่ระบบเผชิญกับความท้าทายสำคัญ คือ ราคาที่สูงขึ้น ความเหลื่อมล้ำ และการทรัพยากรซ้ำซ้อน[3] แม้การปฏิรูปดังกล่าวได้รับการวิจารณ์พอสมควร แต่ได้รับความนิยมในหมู่คนไทยยากจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบท และยังหลงรอดจากการเปลี่ยนรัฐบาลหลังรัฐประหารเมื่อปี 2549 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้นเลิกการร่วมจ่าย 30 บาทและทำให้แผนดังกล่าวไม่เสียค่าใช้จ่าย[4][5][6] ในปี 2552 รายจ่ายประจำปีของบริการสุขภาพคิดเป็น 345 ดอลลาร์ระหว่างประเทศต่อคนในความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ (PPP) รายจ่ายทั้งหมดคิดเป็นประมาณร้อยละ 4.3 ของจีดีพี ในจำนวนนี้ ร้อยละ 75.8 มาจากภาครัฐ และร้อยละ 24.2 มาจากภาคเอกชน ความหนาแน่นของแพทย์คิดเป็น 2.98 คนต่อประชากร 10,000 คนในปี 2547 และเตียงโรงพยาบาล 22 เตียงต่อประชากร 100,000 คนในปี 2545[7] ข้อมูลการใช้ประโยชน์ของบริการสุขภาพในปี 2551 มีดังนี้ มีความชุกของการคุมกำเนิดร้อยละ 81, ความครอบคลุมการฝากครรภ์อย่างน้อยสี่ครั้งร้อยละ 80, การคลอดร้อยละ 99 มีบุคลากรสาธารณสุขผู้มีทักษะเข้าร่วม, ในเด็กหนึ่งขวบ มีความครอบคลุมการได้รับวัคซีนร้อยละ 98 และความสำเร็จของการรักษาวัณโรคที่สเมียร์เป็นบวกร้ยอละ 82[8] โรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ดำเนินการโรงพยาบาลส่วนใหญ่ โรงพยาบาลเอกชนมีกองการประกอบโรคศิลป์ (Medical Registration Division) เป็นผู้วางระเบียบ หน่วยงานอื่นของรัฐและองค์การสาธารณะเป็นผู้ดำเนินการโรงพยาบาลบางส่วน รวมทั้งกองทัพ มหาวิทยาลัย องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นและสภากาชาด น้ำและการสุขาภิบาลในปี 2551 ประชากรร้อยละ 98 สามารถเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาด และร้อยละ 96 เข้าถึงการสุขาภิบาลที่ถูกสุขอนามัย[1] เขตสุขภาพมีการจำแนกจังหวัดเป็นเขตสุขภาพต่าง ๆ แบ่งตามภาค เขตสุขภาพหนึ่งเขตรับผิดชอบประชากรประมาณ 3-6 ล้านคน มีเป้าหมายเพื่อให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพดีขึ้นแก่พลเมืองในภูมิภาคนั้น ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในแง่การโอนผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอื่นหากขาดแคลนสมรรถภาพการดูแลภายในเขตนั้น ๆ ในเดือนสิงหาคม 2560 เขตสุขภาพในประเทศไทยมีการจัดระเบียบออกเป็นหมวดดังนี้[9][10]
ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้นประเทศไทยใช้อาสาสมัคร (ที่มักเรียก "อาสากู้ชีพ") เป็นผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้น (first responder หรือ FR) ในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งต่างจากประเทศอื่น ร้อยละ 65 ของผู้ป่วยฉุกเฉินในกรุงเทพมหานครมีอาสาสมัครเป็นผู้จัดการ จะมีการส่งรถพยาบาลที่มีเจ้าหน้าที่วิชาชีพและอุปกรณ์ครบเฉพาะเมื่อจำเป็นเท่านั้น[11] มีการช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์สามระดับในประเทศไทย ตั้งแต่ระดับผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้นจนถึงการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (basic life support หรือ BLS) และการช่วยชีวิตขั้นสูง (advanced life support หรือ ALS) อาสาสมัครส่วนใหญ่ได้ระดับ FR พวกเขาอยู่ในมูลนิธิและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น[12] ศูนย์สายด่วนการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทยตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ประมาณ 1.5 ล้านครั้งต่อปี ทีม FR ที่เกี่ยวข้องประมาณหนึ่งล้านทีมทำหน้าที่ส่งผู้ป่วยยังสถานพยาบาล ส่วนทีม BLS และ ALS รับผิดชอบผู้ป่วยอย่างละประมาณ 200,000 ราย[12] ศูนย์การแพทย์เอราวัณและมูลนิธิร่วมกตัญญูเป็นศูนย์ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้นไม่เสียค่าใช้จ่ายที่ใหญ่ที่สุดสององค์การในกรุงเทพมหานคร โดยอาศัยการบริจาคจากเอกชนเป็นหลัก แต่บางทีอาสาสมัครต้องออกเงินซื้อยานพาหนะ น้ำมัน เครื่องแบบและอุปกรณ์การแพทย์เอง อาสาสมัครไม่ได้รับอนุญาตให้รับเงินจากโรงพยาบาลหรือผู้ป่วย อาสาสมัครกล่าวว่าพวกตนทำไปเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ หรือเพื่อประกอบกรรมดี สำหรับชาติหน้า[11] อาสาสมัครได้รับการฝึกเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กำลังเพิ่มการฝึกขั้นต่ำเป็น 40 ชั่วโมง แต่ทีแรกถูกองค์กรเครือข่ายกู้ชีพกู้ภัยแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นสมาคมผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้น คัดค้าน[12] แต่ไม่ใช่ว่าองค์การผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินทั้งหมดทำโดยไม่หวังผล บางทีเงินจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยสังเกตได้จากการแย่งผู้ป่วยระหว่างองค์การนำไปสู่ข้อพิพาทและการแสดงอาวุธปืน[13] การบริการคนรวยและคนจนสืบเนื่องจากรัฐบาลอนุญาตให้มีโรงพยาบาลเอกชนที่ทำกำไรจากการบริการได้ จึงมีความแตกต่างระหว่างความเจ็บป่วยของคนรวยและคนจนในประเทศไทย นักวิชาการ ภาคประชาชน และสื่อมวลชน มีข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับโรงพยาบาลเอกชน ดังนี้ 1. บางแห่งการคิดค่าบริการเกินจริง[14] 2. การเสนอเงินตอบแทนเพื่อดึงเอาแพทย์จากโรงพยาบาลของรัฐบาลไปทำงานให้โรงพยาบาลเอกชน[15] 3. การปฏิเสธการรักษาผู้ป่วย UCEP โดยเรียกเงิน ex1. ให้วางเป็นค่าใช้จ่าย 6 หลัก[16] ex.2 ปฏิเสธการให้บริการ[17] ทั้งนี้ หากป่วยด้วยโรคเรื้อรังและรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนนานอาจมีค่าใช้จ่ายระดับ 9 หลักได้[18] สำหรับสิทธิ์รักษาพยาบาลถ้วนหน้า ประกอบด้วย สิทธิ์บัตรทอง ประกันสังคม และข้าราชการ เป็นบริการที่รัฐจัดให้ มีความสะดวกสบายน้อยกว่าผู้จ่ายเงินเองหรือมีประกัน ที่ใช้บริการของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน อย่างไรก็ตาม มีปัญหาลักลั่นในการใช้สิทธิ์รักษาพยาบาลถ้วนหน้า เช่น สิทธิ์บัตรทองบางด้านดีกว่าสิทธิ์อื่น[19] สิทธิ์ประกันสังคมมีตัวเลือกการใช้ยาและการตรวจวินิจฉัยบางอย่างด้อยกว่าบัตรทอง[20] สิทธิ์ราชการจะยากลำบากที่สุดหากต้องหาเตียง[21] เป็นต้น วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 ศาสตราจารย์ นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ระบุในประเด็น "เตียงที่ไม่มีวันพอ" ของระบบโรงพยาบาล[22] การบริการคนต่างชาติเนื่องจากประเทศไทยมีการบริการคนต่างชาติ หรือ เมดิคัลฮับ มีการดึงทีมแพทย์เฉพาะทางจากโรงเรียนแพทย์และโรงพยาบาลรัฐอื่นๆ ไปอยู่ในโรงพยาบาลเอกชนกลุ่มต่างๆ เป็นจำนวนมาก[23] ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ระบุว่าผลข้างเคียงที่สำคัญของเมดิคัลฮับก็คือ ดึงบุคคลออกไปจากโรงพยาบาลของรัฐ กระทบบริการต่อคนจน เพิ่มความเหลื่อมล้ำ[24] นอกจากนี้ การวิเคราะห์ SWOT พบว่า การดำเนินนโยบายเมดิคัลฮับจะทำให้ค่ารักษาพยาบาลในภาคเอกชนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง[25] ผู้สังเกตการณ์ชาวต่างชาติเห็นว่า "Doctors in Thailand have become so busy with foreigners that Thai patients are having trouble getting care" หมอในประเทศไทยรักษาคนต่างชาติ ขณะที่คนไทยเข้าไม่ถึงการรักษา[26] ดูเพิ่มอ้างอิง
|