จังหวัดร้อยเอ็ด
ร้อยเอ็ด (เดิมสะกดว่า ร้อยเอ็จ)[4] เป็นจังหวัดบริเวณลุ่มแม่น้ำชีในภาคอีสานตอนกลางของประเทศไทย ประวัติ เคยเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยปรากฏชื่อในตำนานอุรังคธาตุว่า สาเกตนคร หรือ เมืองร้อยเอ็ดประตู อันเนื่องมาจากเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรื่องโดยที่มีเมืองขึ้นจำนวนมาก การตั้งชื่อเมืองว่า "ร้อยเอ็ดประตู" นั้น น่าจะเป็นการตั้งชื่อเชิงอุปมาอุปไมยให้เป็นศิริมงคลและแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของเมืองมากกว่าการที่เมืองจะมีประตูเมืองอยู่จริงถึงร้อยเอ็ดประตู ซึ่งการตั้งชื่อเพื่อแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองผ่านการมีประตูเมืองจำนวนมากนั้น น่าจะได้รับอิทธิพลหรือแบบอย่างมาจากเมืองหรืออาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองในสมัยโบราณอย่างทวารวดีซึ่งมีความหมายว่าเมืองที่มีประตูล้อมรอบเป็นกำแพง หรืออย่างเมืองหงสาวดีที่มีประตูเมืองรายล้อมกำแพงเมืองอยู่ยี่สิบประตู ซึ่งแต่ละประตูนั้นจะตั้งชื่อตามเมืองขึ้นของตน เช่น เชียงใหม่ อโยธยา จังหวัดนครราชสีมา เป็นต้น นอกจากนั้นการตั้งชื่อเมืองให้ดูยิ่งใหญ่เกินจริงเพื่อความเป็นสิริมงคลก็ถือเป็นธรรมดาของการตั้งชื่อเมืองหรืออาณาจักรในสมัยโบราณ ส่วนข้อสันนิษฐานที่ว่าเมืองร้อยเอ็ดน่าจะมีเพียงสิบเอ็ดหัวเมือง อันเนื่องมาจากการเขียนจำนวนตามแบบภาษาลาวโบราณ โดยเลขสิบเอ็ดจะประกอบไปด้วยเลขสิบกับเลขหนึ่ง (10+1 =101) ทำให้เกิดการอ่านที่ผิดเพี้ยนเป็นคำว่าร้อยเอ็ดนั้น น่าจะเป็นสมมุติฐานที่คลาดเคลื่อน เพราะจากการตรวจสอบข้อความตัวอักษรธรรมในต้นฉบับใบลานเรื่องอุรังคธาตุไม่ปรากฏว่ามีจุดไหนที่เขียนชื่อเมืองร้อยเอ็ดเป็นตัวเลข แต่กลับมีการเขียนถึงเมืองร้อยเอ็ดเป็นตัวอักษรทุกจุด (มีทั้งหมด 59 จุด) และไม่มีข้อความตอนใดที่บรรยายแจกแจงรายชื่อหัวเมืองทั้ง 11 แห่ง (อ่านเพิ่มเติมที่ ร้อยเอ็ด คือ ร้อยเอ็ด มิใช่สิบเอ็ด หรือ 10 + 1 โดย สุวัฒน์ ลีขจร)[5] ประกอบกับตามธรรมดาของการตั้งชื่อต่างๆไม่ว่าจะคนหรือเมืองนั้น จะต้องมีการออกเสียงก่อนถึงจะมีการเขียนเป็นตัวอักษรหรือตัวเลข ซึ่งหากชื่อเมืองแต่เดิมชื่อว่าเมืองสิบเอ็ดประตูแล้ว จึงมีการจารึกชื่อเป็นตัวเลขอย่าง 101 นั้น คำว่าสิบเอ็ดก็ไม่น่าจะออกเสียงเพี้ยนจนมาเป็นคำว่าร้อยเอ็ดอย่างในปัจจุบันได้ ดังนั้นชื่อเมืองร้อยเอ็ดหรือเมืองร้อยเอ็ดประตูจึงน่าจะเป็นชื่อเมืองที่มีมาอยู่แต่แรกเริ่มดังปรากฏในหลักฐานสำคัญ คือ ตำนานอุรังคธาตุฉบับกรมศิลป์ฯ สรุปความหมาย ก็คือ มีคำ 2 คำที่ต้องทำความเข้าใจ คำแรก คือคำว่า ร้อยเอ็ด แปลว่าจำนวนที่มากมายจนนับไม่ถ้วน และ อีกคำหนึ่ง ก็คือ คำว่า เมืองร้อยเอ็ดประตู ซึ่งมีนักวิชาการ ได้ตีความว่าน่าจะหมายถึง ทวารวดี เพราะ ทวาร แปลว่า ช่อง, รู, ประตู วติ หรือ วดี แปลว่า เขต หรือ รั้ว ทวารดี จึงแปลว่า เมืองที่มีประตูเป็นรั้ว ซึ่งเปรียบเทียบแล้วน่าจะมีความหมายที่ใกล้เคียงกับคำว่าเมืองร้อยเอ็ดประตูที่สุด ประวัติศาสตร์สมัยก่อนประวัติศาสตร์พบหลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ทั่วไปในเขตจังหวัดร้อยเอ็ด มีการขุดพบแหล่งโบราณคดีบ้านเมืองบัวซึ่งสันนิษฐานว่า ชุมชนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ค้นพบมีอายุประมาณ 1,800-2,500 ปีมาแล้ว และมักมีถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มน้ำกับใกล้แหล่งเกลือสินเธาว์[ต้องการอ้างอิง][6][7] อิทธิพลของพุทธศาสนาภายใต้วัฒนธรรมทวารวดีได้เข้ามาเมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ 12-15 มีหลักฐานสมัยทวารวดีที่สำคัญ เช่น คูเมืองร้อยเอ็ด เจดีย์เมืองหงส์ในเขตอำเภอจตุรพักตรพิมาน กลุ่มใบเสมาบริเวณหนองศิลาเลขในเขตอำเภอพนมไพร และพระพิมพ์ดินเผาปางนาคปรกที่เมืองไพรในเขตอำเภอเสลภูมิ วัฒนธรรมจากอาณาจักรขอมได้แพร่เข้ามาในพุทธศตวรรษที่ 16 ปรากฏหลักฐานอยู่มาก เช่น สถาปัตยกรรมในรูปแบบของปราสาทหิน เช่น กู่กาสิงห์ในเขตอำเภอเกษตรวิสัย ปรางค์กู่ในเขตอำเภอธวัชบุรี กู่พระโกนาในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ และประติมากรรมที่เป็นรูปเคารพทางศาสนาที่เป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่ทำจากหินทรายและโลหะเป็นจำนวนมาก สมัยทวารวดีการตั้งถิ่นฐานของชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ต่อเนื่องถึงสมัยทวารวดี เมืองที่สร้างขึ้นมีรูปร่างและที่ตั้งไม่แน่นอน แต่มีลักษณะที่สำคัญคือ มีคูน้ำและคันดิน ล้อมรอบชุมชน ร่องรอยที่ยังเห็นอยู่ของคูเมืองและคันดินได้แก่บริเวณด้านตะวันออกของวัดบูรพาภิราม ด้านใต้ของเมืองบริเวณโรงเรียนสตรีศึกษา นอกจากนี้ยังพบอยู่ในอำเภอต่าง ๆ ของร้อยเอ็ด ได้แก่ บ้านเมืองไพร (เขตอำเภอเสลภูมิ) บ้านเมืองหงส์ (เขตอำเภอจตุรพักตรพิมาน) บ้านสีแก้ว (เขตอำเภอเมืองร้อยเอ็ด) หนองศิลาเลข บ้านชะโด (เขตอำเภอพนมไพร) และบ้านดงสิงห์ (เขตอำเภอจังหาร)[ต้องการอ้างอิง] สมัยลพบุรีพบโบราณสถานและโบราณวัตถุสมัยลพบุรีหรือละโว้ที่เป็นที่รู้จักดี ได้แก่ ปราสาทหินกู่กาสิงห์ในเขตอำเภอเกษตรวิสัย กู่พระโกนาในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ ปรางค์กู่ในเขตอำเภอธวัชบุรี กู่โพนระฆัง กู่โพนวิท กู่บ้านเมืองบัวในเขตอำเภอเกษตรวิสัย กู่คันทนามในเขตอำเภอโพนทราย สำหรับโบราณวัตถุ ได้แก่ รูปเคารพและเครื่องมือเครื่องใช้ในศาสนา เช่นพระพุทธรูป เทวรูป ศิวลึงค์ ภาชนะดินเผา คันฉ่องสำริด กำไลสำริด เป็นต้น สมัยอาณาจักรล้านช้างได้ปรากฏชื่อเมืองร้อยเอ็ดในเอกสารของลาวว่า พระเจ้าฟ้างุ้มเมื่อดำรงตำแหน่งเป็นบุตรเขยเมืองขอม ได้นำไพร่พลมารวมกำลังกันอยู่ที่เมืองร้อยเอ็ด ก่อนยกกำลังไปยึดเมืองเชียงทอง (หลวงพระบาง) ได้สำเร็จแล้วจึงได้สถาปนาอาณาจักรล้านช้าง หลักฐานเกี่ยวกับเมืองร้อยเอ็ดขาดหายไปประมาณ 400 ปี จนถึงประมาณปี พ.ศ. 2231 เมืองเวียงจันทน์เกิดความไม่สงบ พระครูโพนสะเม็ดพร้อมผู้คนประมาณ 3,000 คนได้เชิญเจ้าหน่อกษัตริย์อพยพลงมาตามแม่น้ำโขง แล้วมาตั้งมั่นอยู่ที่บริเวณเมืองจำปาศักดิ์ ผู้ปกครองเมืองจำปาศักดิ์มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระครูโพนสะเม็ด จึงได้นิมนต์ให้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและปกครองเมืองจำปาศักดิ์ ต่อมาเจ้าหน่อกษัตริย์ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์พระนามว่า เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร ได้ขยายอิทธิพลไปในดินแดนต่าง ๆ เหนือสองฝั่งแม่น้ำโขง ได้ตั้งเมืองใหม่ขึ้นหลายแห่งและส่งบริวารไปปกครอง เช่น เมืองเชียงแตง เมืองสีทันดร เมืองรัตนบุรี เมืองคำทอง เมืองสาละวัน และเมืองอัตตะปือ เป็นต้น ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2256 เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรได้มอบหมายให้เจ้าจารย์แก้วหรือเจ้าแก้วมงคล เจ้านายผู้มีเชื้อสายแห่งราชวงศ์ลาวล้านช้าง[8][9] ควบคุมไพร่พลประมาณ 3,000 คน มาสร้างเมืองขึ้นใหม่ในดินแดนภาคอีสานตอนกลาง เป็นเมืองหน้าด่านสำคัญของอาณาจักรล้านช้างจำปาสัก เรียกว่า เมืองท่งศรีภูมิ ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ ตั้งอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำเสียว โดยมีแม่น้ำชีเป็นเขตแดนด้านตะวันออก (เขตนครหลวงจำปาสัก) และแม่น้ำมูลเป็นเขตแดนด้านทิศใต้ กั้นระหว่างเขตเมืองนครราชสีมา (เมืองในเขตอาณาจักรอยุธยา) (ปัจจุบันพื้นที่แม่น้ำชีตกแม่น้ำมูลซึ่งเป็นปลายอาณาเขตของเมืองท่งที่อยู่ทางทิศตะวันออกและทิศใต้สุด ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่รอยต่อระหว่าง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ อำเภอวารินชำราบ และอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี) ด้านทิศเหนือชนแดนเขตอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ บริเวณเมืองผาขาว (บ้านผ้าขาว ตำบลม่วงไข่ อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร) เมืองพันนา (บ้านพันนา ตำบลพันนา อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร) สนามหมากหญ้า (เขตรอยต่อ จังหวัดอุดรธานี จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดขอนแก่นในปัจจุบัน) ภูเม็ง (เขตอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น) ฝายพญานาค (รอยต่ออำเภอหนองเรือ และอำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่นในปัจจุบัน) หรือกล่าวโดยสรุปคือ เมืองท่งศรีภูมิเคยมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมากโดยครอบคลุมพื้นที่กลุ่มจังหวัดร้อยแก่นสารสินธ์ุ แทบจะทั้งหมด และบางส่วนของจังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ ยโสธร อุบลราชธานี ชัยภูมิ อุดรธานี โดยมีพื้นที่ทั้งหมดโดยประมาณ 31,000 ตารางกิโลเมตร[10] อนึ่งเจ้าแก้วมงคลยังเป็นปฐมบรรพบุรุษของเจ้าเมืองทั่วภาคอีสานที่ส่งลูกหลานไปปกครองหัวเมืองอีสานกว่า 20 หัวเมือง ภาคเหนือ 1 หัวเมือง และสปป.ลาว 1 หัวเมือง ได้แก่ เมืองสุวรรณภูมิราชบุรียประเทศราช (เมืองสุวรรณภูมิ) เมืองร้อยเอ็ด เมืองชลบทวิบูลย์ เมืองขอนแก่น เมืองเพี้ย เมืองรัตนนคร เมืองมหาสารคาม เมืองศีร์ษะเกษ เมืองโกสุมพิสัย เมืองกันทรวิชัย (เมืองโคกพระ) เมืองวาปีปทุม เมืองหนองหาน (เมืองหนองหานน้อย) เมืองโพนพิสัย เมืองพุทไธสง (เมืองผไทสมัน) เมืองบุรีรัมย์ (เมืองแปะ) เมืองเกษตรวิสัย เมืองพนมไพรแดนมฤค เมืองธวัชบุรี เมืองพยัคฆภูมิพิสัย (เมืองเสือ) เมืองจตุรพักตรพิมาน (เมืองหงษ์) เมืองขามเฒ่า เมืองเปือยใหญ่ (บ้านค้อ) เมืองนันทบุรี (เมืองน่าน) เมืองรัตนบุรี (เมืองศรีนครเตา) เมืองเดชอุดม เมืองราษีไศล (เมืองคง) เมืองรัตนวาปี เมืองสนม และเมืองประชุมพนาลัย (เมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว) เจ้าแก้วมงคลปกครองเมืองท่งอยู่ได้นาน 12 ปีก็ถึงแก่พิราลัย ในปีพ.ศ. 2268 เจ้าแก้วมงคลมีโอรสสองคน อันเกิดจากพระชายาคนที่ 2 ที่อพยพติดตามกันมาด้วย ได้แก่ เจ้ามืดคำดลและเจ้าสุทนต์มณี พระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรจึงทรงแต่งตั้งเจ้ามืดผู้พี่เป็นเจ้าเมืองท่ง ท่านที่ 2 และเจ้าทนเป็นอุปราช เมื่อเจ้ามืดถึงแก่พิราลัย ในปีพ.ศ. 2306 เจ้าทนจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองท่งแทนพี่ชาย เจ้ามืดมีโอรส 3 คน คือ เจ้าเชียง เจ้าสูน และเจ้าอุ่น (ภายหลังถูกส่งไปทำราชการและไปเป็นกรมการเมืองที่เมืองขุขันธ์) ต่อมาในปีพ.ศ. 2308 เจ้าเชียง เจ้าสูน ทั้งสองคนไม่พอใจที่ไม่ได้เป็นเจ้าเมืองสืบแทนบิดา จึงได้คบคิดกับกรมการเมืองที่เป็นสมัครพรรคพวกของตน เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 (พระที่นั่งสุริยามรินทร์หรือเจ้าฟ้าเอกทัศน์ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี) แห่งกรุงศรีอยุธยาและได้นำทองคำแท่งจำนวนมากไปถวายในคราวเข้าเฝ้า พร้อมกับทูลขอกองทัพจากกรุงศรีอยุธยาไปช่วยรบกับเจ้าทน สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้พระยาพรหมกับพระยากรมท่าเป็นแม่ทัพเดินทางมาพร้อมกับเจ้าเชียงและเจ้าสูน เมื่อเดินทางใกล้ถึงเมืองท่ง เจ้าทนทราบข่าว จึงพาครอบครัวและไพร่พลอพยพไปอยู่ ณ บ้านกุดจอก (ในพื้นที่อำเภออาจสามารถ) เมื่อพระยาพรหมและพระยากรมท่าเข้าเมืองแล้ว ได้ติดตามไปนำตัวเจ้าทนมาว่ากล่าวตักเตือนให้คืนดีกันกับเจ้าเชียงและเจ้าสูนผู้เป็นหลาน เจ้าเชียงกับเจ้าสูนก็ได้ครองเมืองท่งและเมืองท่งจึงขาดจากการปกครองของนครจำปาศักดิ์ มาขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่บัดนั้น สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ปี พ.ศ. 2318 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยากรมท่าและพระยาพรหมเดินทางมาดูแลหัวเมืองในภาคอีสาน ท้าวทนจึงได้เข้ามาขออ่อนน้อม พระยาทั้งสองจึงมีใบบอกไปยังกรุงธนบุรีขอตั้งท้าวทน (ต้นตระกูล ณ ร้อยเอ็จ) เป็นเจ้าเมือง โดยยกบ้านกุ่มฮ้างขึ้นเป็น เมืองร้อยเอ็ด ตามนามเดิม แยกอาณาเขตออกจากเมืองสุวรรณภูมิ ท้าวทนได้รับแต่งตั้งเป็นพระขัติยะวงษา นับว่าเป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนแรก ส่วนเมืองท่งศรีภูมินั้นบรรดากรมการเมืองเห็นว่าเป็นชัยภูมิที่ไม่เหมาะสม จึงได้ย้ายไปตั้งบริเวณดงท้าวสาร และให้ชื่อว่า เมืองสุวรรณภูมิ ในปีพ.ศ. 2315 (ซึ่งต่อมา ในสมัย ร.1 เปลี่ยนชื่อเป็น เมืองสุวรรณภูมิราชบุรินทร์หรือเมืองสุวรรณภูมิราชบุรียประเทศราช) นับแต่นั้นมาทั้งเมืองร้อยเอ็ดและเมืองสุวรรณภูมิต่างมีฐานะเป็นเมืองประเทศราชขึ้นตรงต่อกรุงธนบุรีเช่นเดียวกัน (กรณีเมืองสุวรรณภูมิราชบุรินทร์การแต่งตั้งเจ้าเมืองจะถูกจารึกด้วยพระสุพรรณบัฏ)[11][12] โดยเมืองร้อยเอ็ดกับเมืองสุวรรณภูมิได้มีการปักปันเขตแดนกันทั้งหมด ดังนี้ ตั้งแต่ปากน้ำลำพาชี (น้ำชี) ตกลำน้ำมูลขึ้นมาตามลำน้ำพาชี ถึงปากห้วยดางเดียวขึ้นไปทุ่งลาดไถ ไปบ้านดงขี้เหล็ก บ้านแก่งทรายหินตั้งแต่ถ้ำเต่า เหวฮวด ดงสวนอ้อย บึงกุย ศาลาอีเก้ง ภูเม็ง หนองม่วงคลุ้ม กุ่มปัก ศาลาหักมูลเค็ง ประจบปากน้ำลำพาชีตกลำน้ำมูลเป็นเขตเมืองสุวรรณภูมิ (มีพื้นที่โดยประมาณ 16,500 ตารางกิโลเมตร)[10] ตั้งแต่ลำน้ำยัง ตกลำน้ำพาชีขึ้นไปภูดอกซ้อน หินทอดยอดยัง ดู่สามต้น อ้นสามขวาย สนามหมากหญ้า ผาขาวพันนา ฝายพญานาค ภูเม็ง มาประจบหนองแก้ว ศาลาอีเก้งมาบึงกุยเป็นอาณาเขตเมืองร้อยเอ็ด (มีพื้นที่โดยประมาณ 14,500 ตารางกิโลเมตร)[10] พ.ศ. 2321 เจ้าโสมพมิตร นำไพร่พลอพยพข้ามภูพานจากบ้านพรรณา (ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร) เข้ามาตั้งถิ่นฐานในอาณาเขตของเมืองร้อยเอ็ด (พื้นที่จังหวัดกาฬสินธ์ุในปัจจุบัน) ตั้งเป็นบ้านแก่งสำโรงซึ่งขณะนั้นยังคงเป็นเขตแดนของเมืองร้อยเอ็ด พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีแห่งใหม่ ทำให้เมืองร้อยเอ็ดและบรรดาหัวเมืองอีสานล้วนต้องขึ้นตรงต่อกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนเมืองร้อยเอ็ดก็ได้มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องจนมีฐานะทางการเมืองและความสำคัญเหนือเมืองสุวรรณภูมิในเวลาต่อมา พ.ศ. 2326 พระขัติยะวงษา (ท้าวทน) ถึงแก่กรรม ท้าวสีลังบุตรคนโตได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระขัติยะวงษา เจ้าเมืองร้อยเอ็ดสืบแทน ต่อมาในปีพ.ศ. 2336 พระขัติยะวงษา (สีลัง ธนสีลังกูร) ได้ให้การช่วยเหลือแเก่เจ้าโสมพมิตรโดยการนำพาเข้าเฝ้าฯ ถวายสวามิภักดิ์ ต่อ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือ รัชกาลที่ 1 บ้านแก่งสำโรงจึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเมืองกาฬสินธุ์[13] ส่งผลให้เมืองร้อยเอ็ดยกเขตแดนทางทิศเหนือ (บริเวณ ลำน้ำยังตกลำน้ำพาชี ภูดอกซ้อน หินทอดยอดยัง ดู่สามต้น อ้นสามขวาย) ให้แก่เมืองกาฬสินธ์ุ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พ.ศ. 2340 เพี้ยเมืองแพนกรมการเมืองสุวรรณภูมิ นำไพร่พลขอแยกตัวออกจากเมืองสุวรรณภูมิ ไปตั้งเมืองขึ้นใหม่ ขึ้นเป็นเมืองขอนแก่น ซึ่งตั้งเมืองในเขตแดนของเมืองร้อยเอ็ด ส่งผลให้เมืองร้อยเอ็ดยกเขตแดนทางฟากตะวันตก (บริเวณ สนามหมากหญ้า ฝายพญานาค กู่แก้ว ภูเม็งประจบหนองแก้ว) ให้กับเมืองขอนแก่นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ต่อมาในปี พ.ศ. 2369 เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ เมื่อกองทัพกบฏถูกตีแตกถอยร่นกลับมา กำลังทหารจากเมืองร้อยเอ็ดได้เข้าโจมตีซ้ำเติมจนพวกกบฏแตกพ่าย พระขัติยะวงษา (สีลัง) มีความดีความชอบได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยาขัติยะวงษาพิสุทธิบดี พระยาชั้นพานทอง ในปี พ.ศ. 2408 รัชกาลที่4 โปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านลาดกุดยางใหญ่ ในแขวงเมืองร้อยเอ็ด ขึ้นเป็น เมืองมหาสารคาม ขึ้นกับเมืองร้อยเอ็ด ให้ท้าว มหาไชย (กวด) บุตรอุปฮาด (สิงห์) แห่งเมืองร้อยเอ็ด เป็น “พระเจริญราชเดช” เจ้าเมืองมหาสารคามท่านแรก พ.ศ. 2412 แยกเมืองมหาสารคามให้ไปขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร ในปี พ.ศ. 2418 เกิดสงครามปราบฮ่อที่เวียงจันทน์และหนองคาย เจ้าเมืองอุบลได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้ายกกำลังไปปราบ โดยเกณฑ์กำลังพลจากหัวเมืองตะวันออกเฉียงเหนือไปช่วยปราบกบฏ เมื่อกองทัพยกมาถึงเมืองร้อยเอ็ด พระขัติยะวงษา (สาร) และราชวงศ์ (เสือ) ได้สมทบกำลังไปปราบฮ่อด้วย เมื่อเสร็จศึก ราชวงศ์ (เสือ) ได้รับแต่งตั้งเป็นพระขัติยะวงษา เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูปการปกครองในระบบมณฑลเทศาภิบาล จึงให้รวมหัวเมืองอีสานเข้าด้วยกัน แล้วแบ่งออกเป็น 4 กองใหญ่ แต่ละกองมีข้าหลวงกำกับการปกครองกองละ 1 คน และมีข้าหลวงใหญ่กำกับราชการอีกชั้นหนึ่งอยู่ที่เมืองจำปาศักดิ์ กองใหญ่ทั้ง 4 กอง ได้แก่ หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ และหัวเมืองลาวฝ่ายกลาง เมืองร้อยเอ็ดเป็นหัวเมืองเอกในจำนวน 12 เมืองของหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ มีศูนย์การบริหารหัวเมืองอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี ในปี พ.ศ. 2437 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราระบบการปกครองเทศาภิบาลขึ้นใช้ปกครองส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ หัวเมืองลาวกาวจึงเปลี่ยนฐานะเป็นมณฑลลาวกาว ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ และมณฑลอีสานตามลำดับ ในปี พ.ศ. 2443 เมืองร้อยเอ็ดได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นบริเวณร้อยเอ็ด โดยแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 5 เมือง คือเมืองร้อยเอ็ด เมืองสุวรรณภูมิ เมืองมหาสารคาม เมืองกมลาไสย และเมืองกาฬสินธุ์ ในปี พ.ศ. 2451 มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองเป็นแบบเทศาภิบาล มีการยุบเมืองต่างๆเป็น จังหวัด อำเภอ ตำบล และในปีเดียวกัน มีการยุบเมืองกาฬสินธุ์ เป็น อำเภออุทัยกาฬสินธุ์ ยุบเมืองกมลาไสย เป็น อำเภอกมลาไสย และเมืองสุวรรณภูมิ เป็น อำเภอสุวรรณภูมิ พร้อมด้วยเมืองขึ้นทั้งหมดของทั้ง 3 เมือง ให้ยุบเป็นอำเภอ อันได้แก่ อำเภอพนมไพร,อำเภอเกษตรวิสัย,อำเภอจตุรพักตรพิมาน,อำเภออาจสามารถ,อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย,อำเภอเสลภูมิ,อำเภอท่าขอนยาง,อำเภอกันทรวิชัย,อำเภอภูแล่นช้าง,อำเภอสหัสขันธุ์ และ อำเภอกุฉินารายณ์ ให้มาขึ้นกับเมืองร้อยเอ็ด ในปี พ.ศ. 2456 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทรงเห็นด้วยกับข้อเสนอของเทศาภิบาลข้าหลวงมณฑลอีสานว่า ควรแยกมณฑลอีสานออกเป็น 2 มณฑล คือ มณฑลอุบลราชธานีและมณฑลร้อยเอ็ด พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้เป็นไปตามที่เสนอ ส่งผลให้เมืองร้อยเอ็ดได้รับการถูกยกฐานะขึ้นเป็นมณฑล พร้อมกันนั้นได้มีการแยกอำเภออุทัยกาฬสินธุ์,อำเภอกมลาไสย,อำเภอหัสขันธ์,อำเภอกุฉินารายณ์,อำเภอภูแล่นช้าง ของเมืองร้อยเอ็ด ยกฐานะขึ้นเป็นเมืองกาฬสินธุ์ มีการโอนอำเภอท่าขอนยาง,อำเภอกันทรวิชัยและอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย ของเมืองร้อยเอ็ด ให้ไปขึ้นกับเมืองมหาสารคาม โดย มณฑลร้อยเอ็ดมีเขตปกครอง 3 เมืองคือ เมืองร้อยเอ็ด เมืองมหาสารคาม และเมืองกาฬสินธุ์ ในปี พ.ศ. 2459 มีการเปลี่ยนเเปลงรูปเเบบการปกครองเปลี่ยนจากการใช้คำว่า เมือง เปลี่ยน เป็น จังหวัด ทั่วทั้งประเทศ ดังนั้นส่งผลให้ เมืองร้อยเอ็ดเเปรสภาพเป็นจังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. 2465 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้รวมมณฑลร้อยเอ็ด มณฑลอุบล และมณฑลอุดร เป็นภาคเรียกว่า ภาคอีสาน มีอุปราชประจำภาคอยู่ที่เมืองอุดรธานี ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2468 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกภาคอีสาน แล้วปรับเปลี่ยนเป็นการปกครองระบบมณฑลตามเดิม ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2469 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยุบมณฑลร้อยเอ็ด และ มณฑลอุบล แล้วให้เปลี่ยนชื่อเป็นจังหวัด ขึ้นต่อมณฑลนครราชสีมา ในปี พ.ศ. 2445 ได้เกิดกบฏผีบุญขึ้นในจังหวัดร้อยเอ็ดอันมีสาเหตุมาจากการยกเลิกการปกครองแบบดั้งเดิม โดยยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง แล้วแต่งตั้งข้าราชการจากส่วนกลางไปปกครอง ทำให้เกิดการต่อต้านจากกลุ่มเจ้าเมืองเดิมและทายาท กบฏผีบุญเกิดขึ้นจากการมีผู้อ้างตัวเป็นผู้วิเศษตามท้องถิ่นต่าง ๆ ในภาคอีสาน ในที่สุดก็ถูกทางราชการปราบได้ราบคาบ ในปี พ.ศ. 2469 อำมาตย์เอก พระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ (ทอง จันทรางศุ) ข้าหลวงจังหวัดร้อยเอ็ด เห็นว่า บึงพลาญชัย (เดิมใช้ว่าบึงพระลานชัย) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองร้อยเอ็ดตื้นเขิน ถ้าปล่อยทิ้งไว้บึงก็จะหมดสภาพไป จึงได้ชักชวนชาวบ้านจากทุกอำเภอมาขุดลอกบึงเพื่อให้มีน้ำขังอยู่ได้ตลอดปี ได้ดำเนินการขุดลอกบึงทั้งกลางวันและกลางคืนอยู่ 2 ปี มีชาวบ้านมาร่วมขุดลอกบึงถึง 40,000 คน นับว่าเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของไทยที่ควรจารึกไว้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกหลานไทยต่อไปชั่วกาลนาน ต่อมาก็ได้มีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจนเป็นมรดกที่สำคัญของจังหวัดร้อยเอ็ดมาตราบเท่าทุกวันนี้ ทำเนียบเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด
ภูมิศาสตร์ที่ตั้งและอาณาเขตจังหวัดร้อยเอ็ดตั้งอยู่ตอนกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างละติจูดที่ 15 องศา 24 ลิปดาเหนือ ถึง 16 องศา 19 ลิปดาเหนือ และลองจิจูดที่ 103 องศา 16 ลิปดาตะวันออก ถึง 104 องศา 21 ลิปดาตะวันออก อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร โดยทางรถยนต์ประมาณ 512 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งสิ้น 8,299.46 ตารางกิโลเมตร หรือ 5,187,156 ไร่ มีเขตแดนติดต่อกับจังหวัดอื่นดังนี้
ลักษณะภูมิประเทศจังหวัดร้อยเอ็ด ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นที่ราบสูง สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 120-160 เมตร มีภูเขาทางตอนเหนือซึ่งติดต่อจากเทือกเขาภูพาน บริเวณตอนกลางของจังหวัด มีลักษณะเป็นที่ราบลูกคลื่น บริเวณตอนล่างมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำมูลและสาขา ได้แก่ ลำน้ำชี ลำน้ำพลับพลา ลำน้ำเตา เป็นต้น บริเวณที่ราบต่ำอันกว้างขวาง เรียกว่า ทุ่งกุลาร้องไห้ มีพื้นที่ประมาณ 80,000 ไร่ มีลักษณะเป็นที่ราบแอ่งกระทะ ลักษณะภูมิอากาศจังหวัดร้อยเอ็ดได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ สภาพภูมิอากาศอยู่ในประเภทฝนเมืองร้อน ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,196.8 ลูกบาศก์มิลลิเมตร ฝนตกชุกในเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม อากาศร้อนแห้งแล้งในเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม[14] การคมนาคม
ให้บริการระหว่างท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานร้อยเอ็ด
รวมวันละ 6 เที่ยวบิน และ สายการบินไทยสมายล์ ให้บริการระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานร้อยเอ็ด
การเมืองการปกครองการปกครองส่วนภูมิภาคจังหวัดร้อยเอ็ดแบ่งออกเป็น 20 อำเภอ 192 ตำบล 2,446 หมู่บ้าน
การปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ดมีองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด 203 แห่ง แบ่งออกเป็น 1 เทศบาลเมือง 72 เทศบาลตำบล 1 องค์การบริหารส่วนจังหวัด และ 129 องค์การบริหารส่วนตำบล โดยมีรายชื่อเทศบาลดังนี้
ประชากรศาสตร์มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 1,310,259 คน แยกเป็นชาย 654,508 คน หญิง 655,751 คน โดยมีอำเภอที่มีประชากรมากที่สุดได้แก่ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด 118,789 คน รองลงมาได้แก่ อำเภอเสลภูมิ มีจำนวน 108,063 คน และอำเภอสุวรรณภูมิ มีจำนวน 106,451 คน สำหรับอำเภอที่มีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุด คือ อำเภอจังหาร โดยมีอัตราความหนาแน่น 295 คนต่อตารางกิโลเมตร รองลงมาได้แก่ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด มีอัตราความหนาแน่น 240 คนต่อตารางกิโลเมตร และอำเภอเชียงขวัญมีอัตราความหนาแน่น 215 คนต่อตารางกิโลเมตร โดยอัตราความหนาแน่นโดยเฉลี่ยของจังหวัดอยู่ในระดับ 158 คนต่อตารางกิโลเมตร โดยประชากรมีกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
นอกจากนั้นยังมีกลุ่มคนอพยพเข้ามาอาศัยในจังหวัดร้อยเอ็ดในภายหลัง ได้แก่ กลุ่มชาวจีน, ชาวเวียดนาม, แขก การศึกษาการศึกษาในจังหวัดร้อยเอ็ดได้ริเริ่มอย่างแบบตะวันตกนั้นได้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2453 โดยพระครูเอกุตรสตาธิคุณ (โมง) เจ้าอาวาสวัดศรีมงคล (ปัจจุบันคือวัดสระทอง) อำเภอเมืองร้อยเอ็ด ตรงกับช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มขยายการศึกษาไปสู่หัวเมืองต่าง ๆ ในปี พ.ศ. 2454 รัฐบาลจึงได้มอบหมายให้ราชบุรุษจันทร์มาเปิดโรงเรียนอย่างเป็นทางการที่วัดศรีมงคลโดยได้ตั้งชื่อว่า โรงเรียนวัดศรีมงคล ปลาย พ.ศ. 2456 จึงได้ย้ายมาทำการสอนที่อาคารที่ว่าการอำเภอเก่าริมคูเมือง พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนประจำมณฑลร้อยเอ็ด และตั้งเป็นโรงเรียนประจำมณฑลร้อยเอ็ด (ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และกาฬสินธุ์) ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย เนื่องจากโรงเรียนประจำมณฑลร้อยเอ็ดเปิดสอนเฉพาะนักเรียนชาย จึงได้มีการจัดตั้งโรงเรียนประจำมณฑลหญิงขึ้นในปี พ.ศ. 2462 โดยได้แยกออกมาทำการเรียนการสอนบริเวณนอกคูเมืองทางทิศใต้ ซึ่งปัจจุบันคือ โรงเรียนสตรีศึกษา ต่อมารัฐก็ได้พยายามส่งเสริมการศึกษาระดับมัธยมศึกษามากขึ้น โดยได้จัดตั้งโรงเรียนวิสามัญประอำเภอจนครบทุกอำเภอในปี พ.ศ. 2513 จนกระทั่งปัจจุบันจังหวัดร้อยเอ็ดมีการจัดการศึกษาในทุกระดับการศึกษาทั้งระดับอุมศึกษา อาชีวศึกษา การศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษานอกโรงเรียน ทั้งในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดูที่ รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดร้อยเอ็ด ระดับอุดมศึกษา
สัญลักษณ์
แหล่งท่องเที่ยวบึงพลาญชัยบึงพลาญชัยตั้งอยู่บริเวณกลางเมืองร้อยเอ็ด ถือเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัด มีลักษณะเป็นเกาะอยู่กลางบึงน้ำขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 2 แสนตารางเมตร เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ตกแต่งเป็นสวนไม้ดอกขนาดใหญ่ มีพรรณไม้ต่าง ๆ ร่มรื่น และในบึงน้ำมีปลาชนิดต่าง ๆ หลายพันธุ์ มีเรือจักรยานน้ำและเรือพายไว้บริการประชาชนพายเล่นในบึง นอกจากนั้นยังใช้เป็นสถานที่จัดงานเทศกาลของจังหวัด รวมทั้งจัดมหรสพต่าง ๆ ภายในบึงพลาญชัยยังมีสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจคือ
หอโหวดร้อยเอ็ดหอชมเมืองร้อยเอ็ด หรือ หอโหวด ๑๐๑ (Roi Et Tower) เป็นหอคอยชมเมืองที่ตั้งอยู่ใจกลางของเมืองร้อยเอ็ด ตั้งอยู่ภายในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ร้อยเอ็ด บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัดและบึงพลาญชัย เปิดทำการเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2563 มีพื้นที่ใช้สอยจริงจำนวน 12 ชั้น เทียบเท่าความสูงของตึก 35 ชั้น มีความสูง 123 เมตร นับได้ว่าเป็นหอคอยชมเมืองที่สูงที่สุดในภาคอีสาน ของประเทศไทย ณ.ปัจจุบัน รวมพื้นที่ทั้งหมด 3,621 ตารางเมตร หอชมเมืองสร้างตามยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองร้อยเอ็ด 4.0 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชื่อ "โครงการสามเหลี่ยมการท่องเที่ยวสาเกตนคร" โดยมีการเชื่อม 3 อำเภอเข้าด้วยกัน ได้แก่ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด อำเภอธวัชบุรี และอำเภอหนองพอก หอชมเมืองหรือหอโหวด ๑๐๑ ตั้งชื่อตามเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสาน "โหวด" ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีประจำจังหวัดและถูกนำมาออกแบบเป็นรูปทรงของอาคาร และชื่อจังหวัด "๑๐๑" ภายในอาคารประดับตกแต่งโดยสอดแทรกเรื่องราวท้องถิ่นกับความร่วมสมัย เช่น ดอกอินทนิลบก ดอกไม้ประจำจังหวัด ที่ทำจากคริสตัล เป็นต้น โดยพื้นที่ภายในอาคารของแต่ละชั้นจะมีดังนี้
พระมหาเจดีย์ชัยมงคลพระมหาเจดีย์ชัยมงคล ตั้งอยู่บริเวณวัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วราราม ตำบลโคกสว่าง อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด ระยะทางจากตัวเมืองร้อยเอ็ดประมาณ 80 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ที่วิจิตรพิสดาร ใช้ศิลปกรรมร่วมสมัยระหว่างภาคกลางและภาคอีสานเป็นการผสมกันระหว่างพระปฐมเจดีย์และพระธาตุพนม ใช้งบประมาณก่อสร้างถึงปัจจุบันกว่า 3,000 ล้านบาท ดำเนินการสร้างโดย “พระอาจารย์ศรี มหาวิโร” ซึ่งเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระมหาเจดีย์นี้ออกแบบโดยกรมศิลปากรเป็นสีขาวตกแต่งลวดลายตระการตาด้วยสีทองเหลืองอร่าม รายล้อมด้วยเจดีย์องค์เล็กทั้ง 8 ทิศ สร้างในเนื้อที่ 101 ไร่ กว้าง 101 เมตร ยาว 101 เมตร ความสูง 101 เมตร รวมยอดทองคำเป็น 109 เมตร ใช้ทองคำหนัก 4,750 บาท หรือประมาณ 60 กิโลกรัม ภายในองค์พระมหาเจดีย์เหมือนอยู่บนวิมานแดนสวรรค์
ทุ่งกุลาร้องไห้ทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นที่ราบขนาดใหญ่มีพื้นที่ประมาณ 2 ล้านไร่ อยู่ในเขตจังหวัดสุรินทร์ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดร้อยเอ็ด การที่ได้ชื่อว่าทุ่งกุลาร้องไห้ มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า ชนเผ่ากุลาซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยจากเมืองเมาะตะมะ ประเทศพม่า ได้เดินทางมาค้าขายผ่านทุ่งแห่งนี้ ต้องใช้เวลาเดินทางหลายวัน ไม่พบหมู่บ้านใด ๆ เลย น้ำก็ไม่มีดื่ม ต้นไม้ก็ไม่มีที่จะให้ร่มเงา มีแต่ทุ่งหญ้าเต็มไปหมด พื้นดินเป็นทราย เดินทางยากลำบากเหมือนอยู่กลางทะเลทราย ทำให้คนพวกนี้ถึงกับร้องไห้ ในอดีตทุ่งกุลาร้องไห้ในฤดูแล้ง พื้นที่ส่วนใหญ่จะแห้งแล้งมาก ส่วนในฤดูฝนน้ำจะท่วมทุกปี ใต้พื้นดินลงไปเป็นน้ำเค็ม ไม่สามารถทำการเกษตรได้ หลังจากที่ได้มีการพัฒนาที่ดินแล้ว ทุ่งกุลาร้องไห้ได้กลายเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่สำคัญของประเทศ และกลายเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่มีชื่อเสียงของไทย น้ำตกถ้ำโสดาเป็นน้ำตกจากหน้าผาสูง50เมตร ลดหลั่นหลายชั้น มีความสวยงานตระการตา บริเวณหน้าผามีม่านน้ำตกสวยงาม และเป็นชะง่อนถ้ำ มีพระพุทธรูปใว้สักการะบูชา พระพุทธรูปที่สูงที่สุดอันดับที่สองของประเทศไทย ตั้งอยู่ในวัดบูรพาภิราม อำเภอเมือง ประเพณี วัฒนธรรมประเพณีบุญผะเหวดงานบุญพระเวสสันดรชาดก หรือบุญผะเหวดในภาษาอีสาน เป็นบุญประเพณีที่มีการเทศน์มหาชาติเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ของจังหวัดร้อยเอ็ด โดยเฉพาะจังหวัดได้กำหนดให้เป็นงานประเพณีประจำปีของจังหวัดและจัดได้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามฮีต 12 คือหมายถึงเดือนสี่มีการทำบุญผะเหวดดังคำกล่าวไว้ในฮีตว่า
ประเพณีบุญบั้งไฟสุวรรณภูมิ (ลายศรีภูมิ)เป็นงานบุญประเพณีที่สำคัญของจังหวัด อีกหนึ่งงาน ที่มีการจัดอย่างต่อเนื่องและมีความเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย (ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2256 เป็นต้นมา) อีกทั้งยังเป็นงานประเพณีบุญบั้งไฟ 1 ใน 4 แห่งที่มีชื่อเสียงและมีการจัดงานยิ่งใหญ่ในระดับประเทศ โดยมีเอกลักษณ์ คือ ประกวดแข่งขัน การเอ้ บั้งไฟ ประเภท ลายกรรไกรตัด หรือ "บั้งไฟลายศรีภูมิ" เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย โดย ทั่วไปพื้นที่อื่นๆ การตกแต่งตัวบั้งไฟ จะใช้ลายสับ ทั้งนี้ ในเขตเทศบาลตำบลสุวรรณภูมิ และอำเภอสุวรรณภูมิ มีช่างเอ้ ช่างตัดลายบั้งไฟที่มีชื่อเสียง และถ่ายทอดภูมิปัญญา มาไม่น้อยกว่า 310 ปี และที่มีบันทึกทางวิชาการ ลวดลายกระดาษ โดยช่างมีฝีมือ ที่มีหลักฐานสืบต้นทางวิชาการ ที่มีพัฒนาการและนวัตกรรม การตัดลายกระดาษ "ลายศรีภูมิ" ระหว่าง 70 - 90 ปี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานบั้งไฟลายศรีภูมิ นั้น เป็นที่ทราบกันดีของช่างบั้งไฟเอ้ ทั่วจังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดในภาคอีสาน ว่า งานประเพณีบุญบั้งไฟสุวรรณภูมิ เป็นงาน ที่รวบรวมช่างฝีมือการเอ้บั้งไฟและการตกแต่งเครื่องล่าง มาร่วมแข่งขันบั้งไฟเอ้สวยงามขนาดใหญ่ มากที่สุดในประเทศไทย โดย การจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟสุวรรณภูมิ จะจัดทุกวัน เสาร์ อาทิตย์แรก ของเดือนมิถุนายน ของทุกปี โดยตั้งเเต่ งานประเพณีบุญบั้งไฟสุวรรณภูมิ 2567 เป็นต้นไป จะมีขบวนแห่รำเซิ้งสวยงาม ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะมีการถูกจัดขึ้นเป็นครั้งเเรกในปี พ.ศ. 2567 ให้สมเกียรติกับดินเเดนที่มีการจัดงานบุญบั้งไฟอย่างยิ่งใหญ่ เป็นเอกลักษณ์เเละมีความเก่าเเก่เเละต่อเนื่องมาอย่างยาวนานมากที่สุดเเห่งหนึ่งของภาคอีสานเเละของประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นงานประเพณีที่ดึงดูดเเละเป็นศูนย์รวมให้ลูกหลานเมืองศรีภูมิหรือเครือข่ายลูกหลานเจ้าเเก้วมงคล (บรรพชนกลุ่มใหญ่ของภาคอีสาน) ที่มีอยู่ทั่วภาคอีสานเเละประเทศไทยให้กลับมาเยี่ยมเยือนถิ่นเก่าของบรรพชน ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็น เมืองบรรพบุรุษของชาวอีสาน ก่อนที่ภายหลังจะมีการอพยพเเยกกันออกไปสร้างเมืองเเละชุมชนต่างๆมากมายทั่วภาคอีสาน นับได้ว่าเป็นศูนย์รวมทางจิตใจให้เเก่ลูกหลานชาวอีสานได้มากมายเลยทีเดียว ประเพณีบุญบั้งไฟพนมไพรเป็นงานประเพณีบุญบั้งไฟ 1 ใน 4 แห่งที่มีชื่อเสียงและมีการจัดงานยิ่งใหญ่ในระดับประเทศ ในการจัดการแข่งขันบั้งไฟมีขบวนแห่ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาสยามบรมราชกุมารี และมีการจัดตามฮีตสิบสองคองสิบสี่ โดยยึดวัน ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 เป็นการจัดงานในทุกปี และมีการจุดบั้งไฟถวย (ถวาย) องค์พระมหาธาตุวัดกลางอุดมเวทย์ ซึ่ง มีบั้งไฟแสน รวมบั้งไฟขนาดอื่นๆ รวมกันมากกว่า 1,000 บั้ง และมีการจุดมากที่สุดในประเทศไทย ประเพณีบุญบั้งไฟโพนทรายประเพณีลอยกระทง (สมมาน้ำ คืนเพ็ง เส็งประทีป)เป็นงานประเพณีลอยกระทงที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสานและติด 1 ใน 5 ของงานประเพณีลอยกระทงที่มีอัตลักษณ์และจัดได้ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ[16][17] ถือเป็นตัวแทนจัดงานลอยกระทงของภาคตะวันออกเฉียงเหนือใช้ชื่อว่า “สมมาน้ำ คืนเพ็ง เส็งประทีป” มีการแห่กระทงประทีป 12 หัวเมือง การประกวดกระทงอนุรักษ์ธรรมชาติ ฯลฯ[18] งานประเพณีลอยกระทง "สมมาน้ำ คืนเพ็ง เส็งประทีป” เป็นเอกลักษณ์ เป็นการขอขมาพระแม่คงคาในคืนวันเพ็ญเดือน 12 โดยจัดขึ้นที่บึงพลาญชัยและสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ร้อยเอ็ด อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด ภายในงานสามารถร่วมลอยกระทงรวงข้าวซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของงานลอยกระทงของจังหวัดร้อยเอ็ดเนื่องด้วยจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน และร่วมชมประทีปพระราชทาน การประกวดกระทงอนุรักษ์ การประกวดขบวนแห่ การประกวดกระทงประทีปใหญ่ชิงถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ การประกวดธิดาสาเกตนคร และการแสดงแสง เสียงตำนานเมืองร้อยเอ็ด (สาเกตนคร)[19][20] บุคคลที่มีชื่อเสียงบุคคลในประวัติศาสตร์
พระภิกษุสงฆ์
ข้าราชการ/นักการเมือง/นักเคลื่อนไหวทางการเมือง/นักกฎหมาย
นักกีฬา
นักร้อง/นักดนตรี
นักแสดง
นายเเบบ/นางเเบบ/นางงาม
ผู้กำกับภาพยนตร์
นักประพันธ์เพลง
ผู้ดำเนินรายการ/ผู้สื่อข่าว
นักธุรกิจ
นักเขียน/กวี
วีรบุรุษ
ศิลปินแห่งชาติ
นักวิชาการ ปราชญ์ชุมชน พื้นบ้าน
อ้างอิง
ดูเพิ่มแหล่งข้อมูลอื่น
16°03′N 103°39′E / 16.05°N 103.65°E
|