ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ (เกิด 4 มิถุนายน พ.ศ. 2518) ชื่อเล่น เต้น เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวไทย ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี (แพทองธาร ชินวัตร) อดีตผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์พีทีวี อดีตผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้ และอดีตรองโฆษกพรรคไทยรักไทย ประวัติณัฐวุฒิเกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2518 ที่อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรคนสุดท้อง ของสำเนา และปรียา ใสยเกื้อ[1] มีพี่ชายคือเจตนันท์ ใสยเกื้อ ชื่อเล่น เต้น ส่วนคุณปู่ชื่อเปี่ยม ใสยเกื้อ และคุณตาชื่อชอบ นาคแก้ว ณัฐวุฒิจบการศึกษาระดับประถมที่โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ เมื่อปี พ.ศ. 2530 ระดับมัธยม ที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ. 2536 จบปริญญาตรีนิเทศศาสตร์ สาขาวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต จากนั้นสำเร็จการศึกษาปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการภาครัฐและเอกชนสำหรับผู้บริหาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เมื่อ พ.ศ. 2548 ชีวิตครอบครัว ณัฐวุฒิสมรสกับ สิริสกุล ใสสะอาด ชื่อเล่น แก้ม มีบุตรชายหนึ่งคนคือ นปก (นะ-ปก) ซึ่งแปลว่า "ฟ้าคุ้มครอง"[2] แต่มีที่มาจากชื่อย่อของแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ คือ นปก. และบุตรสาวอีกหนึ่งคนคือ ชาดอาภรณ์ ซึ่งแปลว่า "เสื้อแดง"[3] วงการโทรทัศน์นักพูดและรายการสภาโจ๊กณัฐวุฒิเริ่มมีชื่อเสียงในวงการนักพูด ด้วยการเป็นนักโต้วาทีผู้แทนโรงเรียน จนเป็นแชมป์รายการโต้คารมมัธยมศึกษา ทางไทยทีวีสีช่อง 3 โดยในรอบรองชนะเลิศ พบกับทีมโรงเรียนเทพศิรินทร์ ซึ่งมีสุพจน์ พงษ์พรรณเจริญ ชื่อเล่น ทุเรียน และสมเกียรติ จันทร์พราหมณ์ ชื่อเล่น เสนาลิง ร่วมแข่งขันด้วย ต่อมาจึงเริ่มต้นอาชีพนักพูด โดยเป็นนักอบรมการพูด กับบริษัท อดัมกรุ๊ป จำกัด ของอภิชาติ ดำดี จากนั้นก็ร่วมโต้วาทีในรายการทีวีวาที ทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท.เป็นบางโอกาส และต่อมาเป็นดารา ประจำรายการสภาโจ๊ก และรัฐบานหุ่น ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี โดยเป็นเงาเสียงของไตรรงค์ สุวรรณคีรี ผู้บริหารพีทีวี-ผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้เมื่อปี พ.ศ. 2549 ณัฐวุฒิร่วมกับวีระ มุสิกพงศ์ จตุพร พรหมพันธุ์ จักรภพ เพ็ญแข ก่อแก้ว พิกุลทอง และอุสมาน ลูกหยี ก่อตั้งบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด เพื่อดำเนินกิจการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพีทีวี โดยเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานีฯ นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ร่วมดำเนินรายการ "เพื่อนพ้องน้องพี่ พีทีวีเพื่อประชาชน" ร่วมกับวีระ จตุพร และจักรภพด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2551 ณัฐวุฒิเป็นผู้ร่วมดำเนินรายการความจริงวันนี้ ซึ่งผลิตโดย บจก.เพื่อนพ้องน้องพี่ และออกอากาศสดทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ร่วมกับวีระ และจตุพร แต่เมื่อรัฐบาลสมชาย มอบหมายให้ณัฐวุฒิ เข้าดำรงตำแหน่งโฆษกรัฐบาล ก่อแก้ว พิกุลทองจึงเข้ามาเป็นผู้ดำเนินรายการแทน แต่เมื่อพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 แล้ว ณัฐวุฒิก็กลับมาดำเนินรายการอีกครั้ง จนต้องยุติการดำเนินรายการทางเอ็นบีที เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ปีเดียวกัน จากนั้นเมื่อปี พ.ศ. 2552 รายการนี้กลับมาออกอากาศอีกครั้ง ทางสถานีประชาธิปไตย (19 มกราคม – 25 มีนาคม) และสถานีประชาชน (15 กรกฎาคม – 12 มีนาคม พ.ศ. 2553) ตามลำดับ ฝ่าวงล้อม ทางเอเชียอัปเดตหลังการประกันตัวจากข้อกล่าวหาก่อการร้าย ที่ได้รับจากช่วงการชุมนุมเดือนมีนาคม–พฤษภาคม พ.ศ. 2553 แล้ว ณัฐวุฒิเข้าเป็นผู้ดำเนินรายการ "ฝ่าวงล้อม" (30 มีนาคม – 21 เมษายน) ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเชียอัปเดต จนกระทั่งมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร เขาจึงยุติรายการนี้ เพื่อไปลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ปีเดียวกัน เข้าใจตรงกันนะ ทางพีซทีวีหลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 ณัฐวุฒิเข้าเป็นผู้ร่วมดำเนินรายการ "เข้าใจตรงกันนะ" ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมพีซทีวี โดยเริ่มออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557 ในทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 21:00-22:00 น. (ต่อมา หลังจากมีคำสั่งศาลปกครองให้พีซทีวีออกอากาศต่อไปได้หลังเพิกถอนใบอนุญาต รายการก็ปรับเวลามาเป็น วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18:20-19:10 น. แทนที่รายการมองไกลของนายจตุพร พรหมพันธุ์) โดยระยะแรกจะเป็นการสนทนาโดยมีพิธีกรทำหน้าที่ดำเนินรายการ ต่อมาในต้นปี พ.ศ. 2558 ได้ปรับรูปแบบโดยณัฐวุฒิดำเนินรายการด้วยตนเอง โดยเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ข่าวสารในแต่ละวัน โดยบางครั้ง นายณัฐวุฒิจะดำเนินรายการผ่านทางโทรศัพท์โดยมีพิธีกรทำหน้าที่ในห้องส่งในบางวัน หรือบางครั้งจะจัดรายการสดจากบ้านพักของนายณัฐวุฒิผ่านทางหน้าเพจเฟซบุ๊กส่วนตัวและนำมาออกอากาศในช่วงเวลาของรายการ จนกระทั่งยุติรายการลงในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ตามนโยบายลดรายการวิจารณ์การเมืองของสถานีฯเพื่อให้สอดรับกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2562 ช่วงต้นปี พ.ศ. 2559 นายณัฐวุฒิได้จัดตั้งโครงการ "ด้วยรักและแบ่งปัน" เพื่อช่วยเหลือเยาวชนที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์โดยเปิดโอกาสให้เยาวชนส่งภาพถ่ายและเรื่องราวชีวิตมายังอีเมลและไปรษณีย์ โดยนายณัฐวุฒินำเรื่องราวของเยาวชนเหล่านี้รวมถึงข่าวจากสื่อมวลชนที่นำเสนอความเดือดร้อนของเยาวชนที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ มาอ่านออกอากาศในรายการเข้าใจตรงกันนะวันละ 2 เรื่อง (ภายหลังเพิ่มเป็น 3 เรื่อง) รวมถึงนำเสนอผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัวของนายณัฐวุฒิอีกด้วย โดยทุกเรื่องที่ส่งเข้ามาและได้รับการเผยแพร่จะได้รับทุนการศึกษามูลค่า 5,000 บาท ผ่านบัญชีธนาคาร และเปิดโอกาสให้ร่วมบริจาคเพื่อสนับสนุนโครงการดังกล่าว งานทอล์กโชว์ "ด้วยรักและแบ่งปัน : ครั้งนี้พี่ขอ"เมื่อมีเยาวชนที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ขอรับการช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก นายณัฐวุฒิมีแนวคิดจะระดมทุนช่วยเหลือ โดยเตรียมการจัดทอล์กโชว์ระดมทุนขึ้น โดยใช้ชื่อว่า "ด้วยรักและแบ่งปัน : ครั้งนี้พี่ขอ" ในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 โดยแรกเดิมจะจัดที่หอประชุมกองทัพอากาศ[4] แต่ต่อมา พลอากาศเอก จอม รุ่งสว่าง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้ออกมาตำหนิการจัดงานดังกล่าวโดยอ้างว่ากองทัพอากาศไม่อนุญาตให้จัดกิจกรรมทางการเมืองในพื้นที่ของกองทัพอากาศ[5] นายณัฐวุฒิจึงได้ชี้แจงกับฝ่ายความมั่นคงผ่านเวทีปรองดอง ณ กระทรวงกลาโหม ถึงความจำเป็นในการจัดกิจกรรม และเปลี่ยนสถานที่จัดงานเป็นชั้น 6 ห้างสรรพสินค้าอิมพิเรียลสำโรง ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ แต่กำหนดการจัดยังคงเดิม [6] โดยงานก็สามารถจัดได้อย่างเรียบร้อย โดยไม่มีการขัดขวางจากเจ้าหน้าที่รัฐแต่อย่างใด และมีการออกอากาศเทปบันทึกภาพในวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560 ทางช่อง พีซทีวี ในช่วงเวลาของรายการ "พีซทีวีเวทีทัศน์" ศิลปินและแขกรับเชิญบทบาททางการเมืองพรรคชาติพัฒนาณัฐวุฒิเริ่มเล่นการเมือง โดยเข้าสังกัดพรรคชาติพัฒนา และลงสมัครรับเลือกตั้ง ในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 จากการชักชวนของธีรศักดิ์ นาคแก้ว ผู้เป็นน้าชาย แต่ได้คะแนนเป็นอันดับสอง โดยพ่ายแพ้คู่แข่งจากพรรคประชาธิปัตย์เพียง 4,000 เสียง พรรคไทยรักไทยต่อมา ณัฐวุฒิเข้าสังกัดพรรคไทยรักไทย โดยร่วมทีมปราศรัยล่วงหน้าของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และได้รับแต่งตั้งเป็นหนึ่งในคณะทำงานโฆษกพรรคไทยรักไทย ต่อมา พรรคคัดเลือกให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 และได้รับเลือกเป็น ส.ส.[7] แต่เกิดการรัฐประหาร 19 กันยายนขึ้นเสียก่อน แกนนำ นปช.เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2549 ณัฐวุฒิ ร่วมกับวีระ มุสิกพงศ์ และจตุพร พรหมพันธุ์ เดินทางมาพบกันยังที่ทำการพรรคไทยรักไทย เพื่อแถลงข่าวต่อต้านการรัฐประหาร ต่อมาช่วงต้นปี พ.ศ. 2550 สถานีโทรทัศน์พีทีวีถูกปิดกั้นสัญญาณดาวเทียม จนไม่สามารถออกอากาศได้ ผู้บริหารและผู้จัดรายการจึงออกมาปราศรัยที่ท้องสนามหลวง จนกระทั่งร่วมกับหลายองค์กรประชาธิปไตยภาคประชาชน จัดตั้งขึ้นเป็นองค์กรหลักภายใต้ชื่อ แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ในเวลาต่อมา โดยณัฐวุฒิเข้ารับตำแหน่งเป็นแกนนำคนหนึ่ง และขึ้นปราศรัยต่อต้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ มาโดยตลอด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีราวกลางปี พ.ศ. 2550 ณัฐวุฒิเข้าสังกัดพรรคพลังประชาชน พร้อมลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ระบบสัดส่วน กลุ่มที่ 8 พื้นที่จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง จากนั้นจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็น รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลที่นำโดยสมัคร สุนทรเวช และหลังจากที่สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ณัฐวุฒิก็ได้รับการแต่งตั้งเป็น โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลชุดนี้ เลขาธิการและโฆษก นปช.แดงทั้งแผ่นดินหลังจากรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์สิ้นสุดลง นปก.จึงเปลี่ยนชื่อองค์กรใหม่เป็น แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ และเปลี่ยนชื่อย่อเป็น นปช. โดยณัฐวุฒิยังเป็นแกนนำอยู่ตามเดิม และหลังเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2552 ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี พ.ศ. 2552 ซึ่งณัฐวุฒิถูกควบคุมตัว พร้อมกับวีระ มุสิกพงศ์ นายแพทย์เหวง โตจิราการ และแกนนำคนอื่นๆ ในข้อหาก่อการร้าย[8] พรรคเพื่อไทย (รอบที่ 1)ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 ณัฐวุฒิได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ ในสังกัดพรรคเพื่อไทย และเป็นที่คาดหมายว่าจะได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ดูแลสื่อมวลชน)[9] แต่ในการแต่งตั้งรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม กลับไม่มีชื่อของณัฐวุฒิในตำแหน่งใด ๆ ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 19[10] รัฐมนตรีณัฐวุฒิได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (2) เมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555[11] แทนนายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ครม.ยิ่งลักษณ์ 3)[12] พรรคไทยรักษาชาติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 เขาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคไทยรักษาชาติ ลำดับที่ 7 แต่พรรคไทยรักษาชาติ ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคก่อนวันเลือกตั้ง[13] พรรคเพื่อไทย (รอบที่ 2)ในปี พ.ศ. 2565 เขาได้ย้ายกลับมาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย และได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย โดยแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัว ได้จัดงานเปิดตัวณัฐวุฒิที่ The Jam Factory เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน[14] โดยมีบทบาทสำคัญคือการทำหน้าที่ผู้ช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 ซึ่งขึ้นปราศรัยโจมตีพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติมาโดยตลอด แต่หลังจากพรรคเพื่อไทยนำพรรครวมไทยสร้างชาติเข้าร่วมรัฐบาล ณัฐวุฒิได้ประกาศยุติบทบาทผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ในรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ ของสรยุทธ สุทัศนะจินดา เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2566[15] อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2567 แพทองธารในฐานะนายกรัฐมนตรี ก็ได้แต่งตั้งให้ณัฐวุฒิให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี พร้อมกับธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี[16] ข้อวิพากษ์วิจารณ์
ผลงานหนังสือ
ผลงานเพลงประพันธ์เนื้อร้องและขับร้อง
ประพันธ์เนื้อร้อง
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ วิกิคำคมมีคำคมเกี่ยวกับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
|