การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2548
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2548 เป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปครั้งที่ 21 ของประเทศไทย มีขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ผลที่ตามมาคือชัยชนะอย่างถล่มทลายของพรรคไทยรักไทยของนายกรัฐมนตรี พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร 377 ที่นั่งจากทั้งหมด 500 ที่นั่ง โดยมีอดีตพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคชาติไทยได้ 25 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ได้เพียง 96 ที่นั่งและพรรคมหาชน (ซึ่งเปลี่ยนชื่อจากพรรคราษฎร) ได้ 2 ที่นั่ง ปูมหลังหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 พรรคความหวังใหม่ได้ยุบรวมกับพรรคไทยรักไทย แม้ว่าต่อมา พรรคความหวังใหม่จะตั้งขึ้นใหม่โดยอดีต ส.ส. ของพรรค นายชิงชัย มงคลธรรม แต่ก็ไม่ได้รับความนิยม พรรคชาติพัฒนาและพรรคเสรีธรรมก็ยุบรวมกับพรรคไทยรักไทย ระบบการเลือกตั้งในขณะนั้น สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วย ส.ส. 400 คนจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต และ ส.ส. 100 คนจากปาร์ตี้ลิสต์ตามสัดส่วน การรณรงค์หาเสียงพรรคประชาธิปัตย์พรรคประชาธิปัตย์ นำโดยบัญญัติ บรรทัดฐาน ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคต่อจากชวน หลีกภัย ไม่หวังจะเอาชนะพรรคร่วมทั้ง 2 พรรค แต่หวังว่าจะได้ 201 ที่นั่ง ซึ่งพรรคได้เพียง 96 ที่นั่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งภายในพรรคระหว่างฝ่ายใต้ของบัญญัติกับฝ่ายกรุงเทพฯ ที่นำโดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้เป้าหมายนี้ดูเลือนลางลงไปอีก พรรคประชาธิปัตย์ยังได้พัฒนาวาระประชานิยม โดยสัญญาว่าจะมีงานมากขึ้น การศึกษาฟรี การดูแลสุขภาพ และการต่อสู้กับอาชญากรรมและการทุจริต อย่างไรก็ตาม พรรคปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายของพวกเขา[1] ชัยชนะอย่างถล่มทลายของพรรคไทยรักไทยทำให้เกิดข้อกังขาเกี่ยวกับอนาคตของหัวหน้าพรรค บัญญัติ ลาออกจากหัวหน้าพรรคหลังการเลือกตั้ง มีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่ ซึ่ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ พร้อมกล่าวว่า
พรรคไทยรักไทยพรรคไทยรักไทยพยายามที่จะครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคการเมืองต่าง ๆ ไม่เคยทำได้มาก่อน พรรคการเมืองอื่นและภาคประชาสังคมได้จัดตั้งแนวร่วมเพื่อป้องกันสิ่งนี้ โดยกล่าวหาว่าทักษิณมีอำนาจมากเกินไปและนั่นทำให้เขาเป็นเผด็จการรัฐสภา เสียงข้างมากจะสนับสนุนสิ่งที่พวกเขากล่าวหา นักวิชาการคนสำคัญ เกษม ศิริสัมพันธ์ อดีตเลขาธิการพรรคกิจสังคมและอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวหาทักษิณว่าเป็น "เผด็จการรัฐสภา" และกล่าวว่า "ประชาชนไม่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีมหาเศรษฐีครอบงำประเทศและการเมืองต่อไป" พรรคของทักษิณตอบว่าได้ทำให้ประเทศไทยมีรัฐบาลที่มั่นคง มีความสามารถ และปราศจากการคอร์รัปชัน แม้ว่านักวิจารณ์จะบอกว่าการคอร์รัปชันเพิ่มขึ้นจริงภายใต้การจับตามองของทักษิณ สุรนันทน์ เวชชาชีวะ โฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า "พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคแรกที่สามารถแปลงนโยบายประชานิยมไปสู่การปฏิบัติ ความสำเร็จและวิสัยทัศน์ของนายทักษิณทำให้พรรคมีความชัดเจนและจะได้รับเสียงข้างมากอย่างแน่นอน" พรรคไทยรักไทยแข็งแกร่งที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ยากจนที่สุดและมีประชากรมากที่สุดของประเทศ ซึ่งนโยบายประชานิยมของทักษิณได้รับความนิยมสูงสุด ผลการเลือกตั้ง
การเลือกตั้งใหม่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น |