เกาะคริสต์มาส
10°29′S 105°38′E / 10.483°S 105.633°E ดินแดนเกาะคริสต์มาส (อังกฤษ: Territory of Christmas Island, จีน: 圣诞岛领地, มลายู: Wilayah Pulau Krismas) หรือโดยย่อว่า เกาะคริสต์มาส (อังกฤษ: Christmas Island, จีน: 圣诞岛, มลายู: Pulau Krismas) เป็นเกาะเล็ก ๆ ในมหาสมุทรอินเดีย มีพื้นที่เพียง 135 ตารางกิโลเมตร เป็นดินแดนส่วนนอกของประเทศออสเตรเลีย อยู่ห่างจากเพิร์ท รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 2,360 กิโลเมตร และห่างจากกรุงจาการ์ตาของประเทศอินโดนีเซียไปทางใต้ 500 กิโลเมตร การสำรวจสำมะโนครัวประชากรบนเกาะเมื่อ ค.ศ. 2021 มีประชากรทั้งหมด 1,692 คน[1] โดยมากตั้งถิ่นฐานบริเวณตอนเหนือของเกาะ มีนิคมใหญ่สุดคือฟลายอิงฟิชโคฟ (หรือเดอะเซตเทิลเมนต์) ประชากรราวสองในสามเป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนหรือชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีน แต่ในการสำรวจสำมะโนครัวประชากรครั้งล่าสุดพบว่ามีเพียงร้อยละ 21.2 เท่านั้น[3] รองลงมาเป็นชาวมลายูและชาวออสเตรเลียเชื้อสายยุโรป ส่วนประชากรกลุ่มย่อยได้แก่ ชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย และชาวยูเรเชีย ภาษาหลักที่ใช้คือภาษาอังกฤษ จีน และมลายู ส่วนศาสนาหลักบนเกาะคือศาสนาอิสลามและศาสนาพุทธ ประชากรจำนวนไม่น้อยนับถือศาสนาแต่ไม่ได้ระบุชื่อศาสนาที่นับถือ[3] ชาวยุโรปคนแรกที่พบเกาะแห่งนี้คือริชาร์ด โรว์ (Richard Rowe) จากเรือ ทอมัส เมื่อ ค.ศ. 1615 ส่วนชื่อเกาะคริสต์มาส ตั้งตามวันคริสตสมภพคือวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1643 โดยเรือเอกวิลเลียม ไมนอส์ (William Mynors) แต่เพิ่งมีมนุษย์โยกย้ายเข้าไปตั้งถิ่นฐานช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19[4] ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ เกาะตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวและถูกมนุษย์รบกวนน้อยมาก ทำให้เกาะแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นทั้งพืชและสัตว์อย่างหลากหลาย เป็นที่สนใจแก่นักวิทยาศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยา[5] พื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะหรือร้อยละ 63 เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเกาะคริสต์มาสมีพื้นที่ครอบคลุมป่ามรสุมใหญ่ของเกาะ ประวัติชาวยุโรปมาเยือนครั้งแรกริชาร์ด โรว์ (Richard Rowe) จากเรือ ทอมัส เป็นชาวยุโรปคนแรกที่พบเกาะแห่งนี้เมื่อ ค.ศ. 1615[6] ต่อมาเรือเอกวิลเลียม ไมนอส์ (William Mynors) จากเรือ รอยัลแมรี ของบริษัทอินเดียตะวันออกของบริเตนตั้งชื่อเกาะขณะแล่นผ่านเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1643 ตั้งตามวันคริสตสมภพ[7] เกาะคริสต์มาสปรากฏอยู่ในแผนที่การเดินเรือของอังกฤษและดัชต์ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา ปีเตอร์ โคส (Pieter Goos) นักทำแผนที่ชาวดัตช์ได้ทำแผนที่ฉบับหนึ่งเมื่อ ค.ศ. 1666 โดยระบุชื่อเกาะแห่งนี้ว่า "โมนี" (Mony, Moni)[8] ซึ่งไม่ทราบที่มาหรือความหมายของชื่อ[9] วิลเลียม แดมเพียร์ (William Dampier) นักเดินเรือชาวอังกฤษจากเรือ ซิกเน็ต (Cygnet) จัดทำบันทึกการเดินเรือสำรวจรอบ ๆ เกาะครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1688[8] เขาบันทึกว่าไม่มีมนุษย์ตั้งถิ่นฐาน[10][8] เขาจัดทำบัญชีสิ่งที่พบบนเกาะในหนังสือชื่อ วอยอิจส์ (Voyages)[11] แดมเพียร์พยายามเดินเรือจากนิวฮอลแลนด์ไปยังหมู่เกาะโคโคสด้วยความยากลำบาก ก่อนที่เรือของเขาจะถูกพัดออกนอกเส้นทางแล้วไปถึงเกาะคริสต์มาสในอีก 28 วันต่อมา เขาเทียบฝั่งที่เดลส์ ซึ่งเป็นชายฝั่งตะวันตกของเกาะ เขาและลูกเรืออีกสองคนจึงกลายเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เหยียบย่างบนเกาะคริสต์มาส[12] เรือเอกแดเนียล บีกแมน (Daniel Beeckman) จากเรือ อีเกิล (Eagle) แล่นผ่านเกาะแห่งนี้เมื่อวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1714 เขาได้บันทึกข้อความไว้ลงในหนังสือเมื่อ ค.ศ. 1718 ชื่อ การเดินทางไปกลับเกาะบอร์เนียวในอินเดียตะวันออก (A Voyage to and from the Island of Borneo, in the East-Indies)[13] การสำรวจและถูกผนวกมีความพยายามในการสำรวจเกาะครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1857 โดยทีมงานจากเรือ อะมิทิสต์ (Amethyst) ด้วยพยายามขึ้นไปยังจุดสูงสุดของเกาะ แต่ทว่าไม่ประสบผลสำเร็จ ค.ศ. 1886 เรือเอกจอห์น เมเคลียร์ (John Maclear) จากเรือ เฮชเอ็มเอส ฟลายอิงฟิช (HMS Flying Fish) พบเกาะและจอดเทียบท่าที่อ่าวที่เขาตั้งชื่อให้ว่าฟลายอิงฟิชโคฟ (หรืออ่าวปลานกกระจอก) ตามชื่อเรือของตน พวกเขาจัดงานเลี้ยงฉลองเล็ก ๆ และเก็บตัวอย่างพืชและสัตว์ไปจำนวนหนึ่ง[8] ปีถัดมาเพเลม อัลดริช (Pelham Aldrich) จากเรือ เฮชเอ็มเอส อีเกเรีย (HMS Egeria) ขึ้นมาบนเกาะเป็นเวลา 10 วัน โดยมี โจเซฟ แจ็กสัน ลิสเตอร์ นักสะสมสิ่งของเกี่ยวกับชีววิทยาและแร่วิทยาเดินทางเข้าไปด้วย[8] บรรดาหินที่ถูกส่งให้จอห์น เมอร์เรย์ตรวจสอบ แล้วพบว่าหินเหล่านี้เป็นฟอสเฟตบริสุทธิ์ จากการค้นพบนี้เองทำให้เกาะคริสต์มาสถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1888[14] การตั้งถิ่นฐานหลังถูกผนวกได้ไม่นาน ก็มีการตั้งนิคมขนาดน้อยย่านฟลายอิงฟิชโคฟโดยจอร์จ คลูนีส์-รอสส์ (George Clunies-Ross) เจ้าของหมู่เกาะโคโคสซึ่งอยู่ห่างออกไป 900 กิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงใต้สำหรับเก็บผลิตภัณฑ์ไม้แปรรูปสำหรับอุตสาหกรรมในหมู่เกาะโคโคส ค.ศ. 1897 ชาลส์ วิลเลียม แอนดริวส์ (Charles W. Andrews) เข้ามายังเกาะคริสต์มาสเพื่อทำการวิจัยประวัติศาสตร์ธรรมชาติบนเกาะในนามของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติสหราชอาณาจักร[15] ค.ศ. 1899 เริ่มมีการขุดเหมืองฟอสเฟตครั้งแรกบนเกาะ โดยใช้แรงงานจากสิงคโปร์ มลายา และจีน จอห์น เดวิส เมอร์เรย์ (John Davis Murray) วิศวกรเครื่องกลที่เพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเพอร์ดู ถูกส่งเข้าไปควบคุมงานในนามของบริษัทเหมืองฟอสเฟตและการขนส่ง (Phosphate Mining and Shipping Company) จนได้สมญาว่า "ราชาเกาะคริสต์มาส" กระทั่ง ค.ศ. 1910 เขาแต่งงานและกลับไปตั้งรกรากในลอนดอน[16][17] เกาะคริสต์มาสถูกปกครองร่วมกันระหว่างคณะกรรมาธิการฟอสเฟตสหราชอาณาจักร และเจ้าพนักงานจากสำนักงานอาณานิคมสหราชอาณาจักรแห่งอาณานิคมช่องแคบ ต่อมาได้โอนเป็นอาณานิคมสิงคโปร์ ตามลำดับ มีแรงงานจีนหลายคนเข้ามาทำงานบนเกาะและยังอาศัยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ใน ค.ศ. 1922 นักวิทยาศาสตร์สังเกตสุริยุปราคาบนเกาะ เพื่อทดสอบทฤษฎีสัมพันธภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์[18] ญี่ปุ่นรุกรานสงครามโลกครั้งที่สองแผ่ขยายมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 เกาะคริสต์มาสได้กลายเป็นเป้าหมายที่จักรวรรดิญี่ปุ่นต้องการยึดครอง เพราะเกาะเต็มไปด้วยฟอสเฟต[19] พลปืนจากกองทัพเรือสหราชอาณาจักร พร้อมนายทหารชั้นประทวน 4 นาย และทหารอินเดีย 27 นายเข้าประจำการในพื้นที่[19] 20 มกราคม ค.ศ. 1942 ญี่ปุ่นเริ่มโจมตีครั้งแรกด้วย เรือดำน้ำไอ-159 ยิงตอร์ปิโดใส่เรือขนส่งสินค้าของนอร์เวย์ชื่อ เอดส์โวลด์ (Eidsvold)[20] เรือสูญเสียการควบคุมแล้วจึงล่มบริเวณหาดเวสต์ไวท์ หลังจากนั้นจึงเริ่มมีการโยกย้ายคนงานทั้งยุโรปและเอเชียบนเกาะไปเมืองเพิร์ทออกจากพื้นที่สู้รบ ปลายเดือนกุมภาพันธ์จนถึงต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 1942 มีการทิ้งระเบิดทางอากาศสองครั้ง ทหารญี่ปุ่นจึงให้นายอำเภอออกมาชักธงขาวเมื่อวันที่ 7 มีนาคม[19] หลังกองทัพเรือญี่ปุ่นถอนกำลังออกไปจากเกาะแล้ว ข้าราชการสหราชอาณาจักรจึงชักธงยูเนียนแจ็กแทนที่ทันที[19] วันที่ 10-11 มีนาคมปีเดียวกัน ทหารอินเดียที่ถูกตำรวจซิกข์คุมขังได้ก่อกบฏ พวกเขาสังหารทหารสหราชอาณาจักร 5 นาย และฆ่านักโทษเชื้อสายยุโรปที่เหลืออีก 21 คน[19] รุ่งเช้าของวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1942 เครื่องบินทิ้งระเบิดของญี่ปุ่นได้โจมตีสถานีวิทยุบนเกาะ และในวันเดียวกันนั้นกองทัพเรือญี่ปุ่นจำนวน 9 ลำยกพลขึ้นบกและชาวเกาะยอมจำนน มีทหารญี่ปุ่นจากหน่วยรบพิเศษที่ 21 และ 24 จำนวน 850 นาย พร้อมทหารกองการก่อสร้างจำนวน 102 นายขึ้นบกที่ฟลายอิงฟิชโคฟและทำการยึดครองเกาะ[19] ทหารญี่ปุ่นไล่แรงงานบนเกาะซึ่งส่วนใหญ่หนีไปอยู่ในป่า ญี่ปุ่นจึงเข้าซ่อมแซมเครื่องมือต่าง ๆ สำหรับขุดและส่งออกฟอสเฟต เหลือทหารรบพิเศษที่ 21 จำนวน 20 นายคอยรักษาการณ์[19] วันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1942 มีการโจมตีเรือขนส่งสินค้า นิซเซมารุ (Nissei Maru) ของญี่ปุ่นด้วยตอร์ปิโดบริเวณท่าเรือ[21] ทำให้จำนวนฟอสเฟตที่ส่งไปยังญี่ปุ่นมีน้อยมาก เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1943 ประชากรบนเกาะกว่าร้อยละ 60 ถูกส่งไปยังค่ายกักกันซูราบายา เหลือคนบนเกาะคือชาวจีนและมลายู 500 คน และญี่ปุ่น 15 คน เอาชีวิตรอดด้วยความแร้นแค้น กระทั่งเดือนตุลาคม ค.ศ. 1945 เรือ เฮชเอ็มเอส รอเทอร์ (HMS Rother) เรือรบของสหราชอาณาจักรเข้ามาที่เกาะและยึดเกาะคริสต์มาสกลับมาไว้ในการครอบครองโดยสหราชอาณาจักรอีกครั้งหนึ่ง[22][23][24][25] หลังสิ้นสงครามจึงได้มีการจับกุมกบฏทั้ง 7 คน และถูกดำเนินคดีโดยศาลทหารในสิงคโปร์ ค.ศ. 1947 มีการตัดสินให้ประหารชีวิตกบฏ 5 คน ต่อมารัฐบาลอิสระของอินเดียได้ลดโทษเหลือเพียงจำคุกตลอดชีวิต[19] ขึ้นกับออสเตรเลียประเทศออสเตรเลียทำเรื่องร้องแก่สหราชอาณาจักร เรื่องการโอนอำนาจอธิปไตยของเกาะคริสต์มาสแก่ประเทศของตน ทางรัฐบาลออสเตรเลียได้ชำระเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่อาณานิคมสิงคโปร์เพื่อชดเชยการสูญเสียรายได้ที่ได้จากการทำเหมืองฟอสเฟต[26] มีพระราชโองการว่าด้วยพระราชบัญญัติเกาะคริสต์มาสของสหราชอาณาจักร ลงวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1958 โอนอำนาจอธิปไตยเหนือเกาะคริสต์มาสจากสิงคโปร์ไปยังออสเตรเลียผ่านพระราชโองการที่ประกาศโดยคำแนะนำของคณะองคมนตรี (order-in-council)[27] ร่างพระราชบัญญัติเกาะคริสต์มาสของออสเตรเลียผ่านในเดือนกันยายน ค.ศ. 1958 และเกาะคริสต์มาสกลายเป็นดินแดนของออสเตรเลียอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1958[28] สภาพิจารณาเครือจักรภพ ค.ศ. 1573 ประกาศแต่งตั้งดอนัลด์ อีแวน นิกเกลส์ (Donald Evan Nickels) เป็นผู้อำนวยการฝ่ายบริหารอย่างเป็นทางการของดินแดนเกาะคริสต์มาส เมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1958[29] ค.ศ. 1997 เกาะคริสต์มาสและหมู่เกาะโคโคสถูกรวมเป็นดินแดนมหาสมุทรอินเดียของออสเตรเลีย (Australian Indian Ocean Territories)[30] มีการจัดตั้งนิคมซิลเวอร์ซิตี (Silver City) ช่วง ค.ศ. 1970 ด้วยบ้านเรือนที่สร้างด้วยอะลูมิเนียมเพื่อป้องกันอันตรายจากพายุไซโคลน[31] ช่วงแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย ค.ศ. 2004 เกาะคริสต์มาสไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต หากแต่มีนักว่ายน้ำบางคนถูกกวาดลงไปในทะเลห่างจากชายฝั่ง 150 เมตร ก่อนถูกซัดกลับเข้าฝั่ง ภูมิศาสตร์เกาะคริสต์มาสมีความยาว 19 กิโลเมตร และความกว้าง 14.5 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมด 135 ตารางกิโลเมตร มีแนวชายฝั่งทะเลยาว 138.9 กิโลเมตร เกาะเป็นเนินเขาเตี้ย ๆ ของภูเขาใต้ทะเลที่มีความสูงกว่า 4,500 เมตร[32] เกาะแห่งนี้เดิมเป็นภูเขาไฟ บางที่เป็นหินบะซอลต์พบได้บางแห่งเช่นเดอะเดลส์หรือหาดดอลลี แต่หินที่พบบนพื้นดินส่วนใหญ่เป็นหินปูนที่เกิดจากปะการัง มีคาสต์ที่พบได้ตามถ้ำที่ภายในมีบ่อน้ำทะลุออกมหาสมุทร (Anchialine pool)[33] ประชากรชาติพันธุ์และภาษาจากการสำรวจสำมะโนครัวประชากรออสเตรเลียเมื่อ ค.ศ. 2021 ระบุว่าเกาะคริสต์มาสมีประชากรทั้งหมด 1,692 คน เป็นชาวจีนร้อยละ 22.2 ชาวออสเตรเลียร้อยละ 17 ชาวมลายูร้อยละ 16.1 ชาวอังกฤษร้อยละ 8.9 และชาวอินโดนีเซียร้อยละ 3.8[1] ขณะการสำรวจสำมะโนครัวประชากรเมื่อ ค.ศ. 2016 ระบุว่าเกาะคริสต์มาสมีประชากรทั้งหมด 1,843 คน แบ่งเป็นชาวจีนร้อยละ 21.2 (ค.ศ. 2011 มีร้อยละ 18.3) ชาวออสเตรเลียร้อยละ 12.7 (ค.ศ. 2011 มีร้อยละ 11.7) ชาวมลายูร้อยละ 12 (ค.ศ. 2011 มีร้อยละ 9.3) ชาวอังกฤษร้อยละ 10 (ค.ศ. 2011 มีร้อยละ 8.9) ชาวไอริชร้อยละ 2.3 (เท่ากับเมื่อ ค.ศ. 2011) และอื่น ๆ ร้อยละ 48.1[3] ซึ่งรวมไปถึงชาวอิหร่านร้อยละ 15 ชาวอัฟกานิสถานร้อยละ 5 และชาวอิรักร้อยละ 4 (สถิติเมื่อ ค.ศ. 2011)[34] ทั้งยังมีชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดียและชาวยูเรเชียจำนวนหนึ่ง[35][36] ประชากรส่วนใหญ่เกิดในออสเตรเลียร้อยละ 38.5 รองลงมาเกิดในมาเลเซียร้อยละ 20.1[3] ประชากร 1,596 คน อาศัยอยู่ในฟลายอิงฟิชโคฟ[37] ส่วนสำมะโนครัวประชากรเมื่อ ค.ศ. 2001 พบว่าประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวจีนร้อยละ 70 ชาวยุโรปร้อยละ 20 และชาวมลายูร้อยละ 10[38] ประชากรส่วนใหญ่บนเกาะคริสต์มาสพูดภาษาอังกฤษกับสมาชิกในครอบครัวร้อยละ 27.8 (ค.ศ. 2011 มีร้อยละ 23.9) พูดภาษาจีนกลางร้อยละ 17.2 (ค.ศ. 2011 มีร้อยละ 11.2) พูดภาษามลายูร้อยละ 17.2 (ค.ศ. 2011 มีร้อยละ 13) พูดภาษากวางตุ้งร้อยละ 3.7 (ค.ศ. 2011 มีร้อยละ 6) พูดภาษาหมิ่นใต้ร้อยละ 1.5 (ค.ศ. 2011 มีร้อยละ 1) และพูดภาษาตากาล็อกร้อยละ 1[3] ใน ค.ศ. 2011 มีผู้ใช้ภาษาไทยร้อยละ 0.6[39] ขณะที่การสำรวจเมื่อ ค.ศ. 2001 พบว่าประชากรร้อยละ 60 พูดภาษาอื่นเป็นหลักนอกเหนือจากภาษาอังกฤษ[38] นอกจากนี้ยังชาวยุโรปที่อาศัยบนเกาะบางส่วนเรียนภาษาจีนกลางกับชาวจีนในปูนซ้าน[40] ศาสนา
เกาะคริสต์มาสมีการนับถือศาสนาค่อนข้างหลากหลาย ซึ่งประชาชนทุกคนต่างเปิดกว้างในการยอมรับการดำรงอยู่ของศาสนาต่าง ๆ ได้แก่ ศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋า ลัทธิขงจื๊อ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์[3] และศาสนาฮินดู[41] เดิมประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ใน ค.ศ. 1991 ประชากรร้อยละ 55 เป็นชาวพุทธ[38] และการสำรวจโดยซีไอเอเมื่อ ค.ศ. 1997 ประชากรร้อยละ 25 เป็นมุสลิม[42] การสำรวจสำมะโนครัวประชากรเมื่อ ค.ศ. 2016 พบว่าประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิมร้อยละ 19.4 ส่วนชาวพุทธมีร้อยละ 18.1[3] การสำรวจสำมะโนครัวประชากรครั้งล่าสุด ค.ศ. 2021 พบว่า ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 22.1 ศาสนาพุทธร้อยละ 15.2 ศาสนาคริสต์ (นับเฉพาะคาทอลิก) ร้อยละ 7.3 ไม่นับถือศาสนาร้อยละ 19.7 และไม่ได้ระบุร้อยละ 26.7 ซึ่งจะพบว่าจำนวนผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามและไม่นับถือศาสนามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ศาสนาคริสต์และพุทธก็มีศาสนิกชนลดลงเมื่อเปรียบเทียบจากปีก่อนหน้า[1] มีวัดพุทธ ศาลเจ้าจีน โบสถ์คริสต์ทั่วไปบนเกาะ[43] มีศาลเจ้าเต๋าสิบแห่ง พุทธสถานเจ็ดแห่ง ศาลเจ้าที่นาตุกกงและดาตุกเกอรามัตอีกจำนวนหนึ่ง[44] มัสยิดแห่งหนึ่งในฟลายอิงฟิชโคฟ และยังมีศูนย์ศาสนาบาไฮอีกแห่งหนึ่งบนเกาะ[45] ด้วยเหตุนี้ บนเกาะจึงมีเทศกาลที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาเป็นจำนวนมาก เช่น วันตรุษจีน วันฮารีรายอ วันคริสต์มาส และวันอีสเตอร์[46] วัฒนธรรมเกาะคริสต์มาสมีเอกลักษณ์พิเศษด้านความเป็นแดนพหุลักษณ์ ประชากรส่วนใหญ่มีทั้งชาวจีน มลายู และอินเดีย ซึ่งชนเหล่านี้ส่งอิทธิพลอย่างยิ่งต่อวัฒนธรรมในท้องถิ่น[47] เช่น นักท่องเที่ยวที่ไปเกาะคริสต์มาสควรนุ่งโสร่งหรือปาเรโอ เพื่อปกปิดกางเกงขาสั้น ชุดว่ายน้ำ หรือเสื้อแขนกุด และควรถอดรองเท้าเมื่อเข้าไปบ้านของคนในท้องถิ่น รวมทั้งไม่ควรสัมผัสศีรษะของใคร เป็นต้น อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ เกาะคริสต์มาส
|