ประเทศมองโกเลีย
มองโกเลีย (อังกฤษ: Mongolia; มองโกเลีย: Монгол Улс, อักษรโรมัน: Mongol Uls, มองโกเลียดั้งเดิม: [a] มงกลอุลุส; แปลว่า "ชาติมองโกล" หรือ "รัฐมองโกเลีย") เป็นประเทศในทวีปเอเชียที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลกรองจากประเทศคาซัคสถาน มีพรมแดนทางเหนือติดกับประเทศรัสเซีย และทางใต้ติดกับประเทศจีน มีพื้นที่ที่สามารถใช้สำหรับการเกษตรได้น้อยกว่าร้อยละหนึ่ง มองโกเลียมีประชากรเพียง 3 ล้านกว่าคน แต่มีพื้นที่ใหญ่กว่าประเทศไทยถึงกว่า 3 เท่า ซึ่งทำให้ประเทศมองโกเลียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรน้อยที่สุดในโลก ประชากรส่วนมากนับถือศาสนาพุทธนิกายวัชรยานแบบทิเบต และประชากรร้อยละ 38 อาศัยอยู่ในเมืองหลวงชื่ออูลานบาตาร์ ภูมิศาสตร์ที่ตั้งและอาณาเขต
ภูมิประเทศพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบทะเลทราย ทำให้เป็นประเทศที่มีประชากรเบาบางที่สุดในโลก ภูมิอากาศในฤดูร้อนอากาศไม่ร้อนมาก แต่ในฤดูหนาวอากาศหนาวมากและมีหิมะตก ประวัติศาสตร์สมัยใหม่มองโกเลียเคยเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิมองโกลในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ซึ่งต่อมาได้ยึดอำนาจเข้าปกครองจีนในนามของราชวงศ์หยวนแต่ก็ต้องมาเสียอำนาจเมื่อราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงเข้ามามีอำนาจซึ่งทางมองโกเลียเองต้องอยู่ใต้อำนาจของราชวงศ์ดังกล่าวอีกด้วย ศตวรรษที่ 20มองโกเลียได้รับเอกราชจากสาธารณรัฐจีน เมื่อปี พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) จากการช่วยเหลือของสหภาพโซเวียตแต่ต้องสถาปนาการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ตามแบบประเทศเพื่อนบ้าน ลัทธิคอมมิวนิสต์สิ้นสุดหลังจาก การปฏิวัติประชาธิปไตย เมื่อปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) ปีเดียวกันกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ซึ่งต่อมามองโกเลียได้นำระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภามาใช้กับตน การเมืองการปกครองฝ่ายบริหารประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารและเป็นผู้เสนอชื่อคณะรัฐมนตรี (หลังจากได้ปรึกษากับประธานาธิบดีแล้ว) และรัฐสภา (the State Grate Hural) เป็นผู้รับรองรายชื่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภาเป็นผู้เสนอชื่อผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และได้รับเลือกตั้งโดยวิธีการลงคะแนนเสียง (Popular Vote) วาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี สามารถดำรงตำแหน่งติดต่อกันเป็นวาระที่ 2 การเลือกตั้งครั้งต่อไปมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2013 ตามด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยทั่วไปผู้นำพรรคเสียงข้างมากหรือผู้นำพรรคร่วมรัฐบาลเสียงข้างมากจะได้รับเลือกตั้งจากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี[14] ฝ่ายตุลาการศาลสูงสุดคือ ศาลฎีกา (Supreme Court)[15] การแบ่งเขตการปกครองมองโกเลียแบ่งเขตออกเป็น 21 จังหวัด ซึ่งชาวมองโกลเรียกว่า aymag: ไอมัก (ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า prefecture) แต่เดิม มองโกเลียเป็นมณฑลของจีน จึงมีการแบ่งมองโกเลียเป็นเขตย่อยลงไปอีก แล้วยังคงเป็นเช่นนี้หลังจากที่มองโกเลียเป็นเอกราช ความสัมพันธ์กับไทยไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับมองโกเลีย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2517 โดยกำหนดให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง มีเขตอาณาครอบคลุมมองโกเลีย และแต่งตั้งให้เอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงอูลันบาตอร์อีกตำแหน่งหนึ่ง สำหรับฝ่ายมองโกเลียในช่วงแรกได้แต่งตั้งให้เอกอัครราชทูตมองโกเลีย ณ เวียงจันทน์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทยอีกตำแหน่งหนึ่ง ต่อมาเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2543 มองโกเลียได้เปิดสถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยขึ้น มีนาย Luvsandorj Bayart เป็นเอกอัครราชทูตมองโกเลียคนแรก ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมองโกเลียโดยทั่วไปดำเนินไปอย่างราบรื่น แม้มองโกเลียไม่ใช่ประเทศสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ของไทย และสองฝ่ายยังไม่มีความร่วมมือที่เข้มข้นระหว่างกัน แต่ไทยและมองโกเลียพยายามรักษาการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันเพื่อเป็นช่องทางการหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง โดยไทยให้ความสำคัญในการให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาแก่มองโกเลีย โดยคำนึงว่ามองโกเลียเป็นประเทศด้อยพัฒนาที่ไม่มีทางออกทะเล และนักลงทุนไทยเริ่มรุกเข้าไปลงทุนที่มองโกเลีย โดยเฉพาะในสาขาเหมืองแร่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มองโกเลีย สนับสนุนไทยด้วยดีในเวทีระหว่างประเทศ และให้ความสำคัญต่อประเทศไทย ในฐานะที่เป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และมีบทบาทโดดเด่นในเวทีระหว่างประเทศ จึงประสงค์จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งต้องการให้ไทยเป็นพันธมิตรกับมองโกเลียในกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ด้านการเมืองที่ผ่านมา มีความร่วมมือกันไม่มากนักแต่ได้เริ่มขยายตัวเพิ่มขึ้น เมื่อมองโกเลียได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ในการฝึกคอบร้าโกลด์ เมื่อปี 2545 นอกจากนี้ สภาความมั่นคงแห่งชาติมองโกเลีย ได้เสนอให้มีความร่วมมือกับสภาความมั่นคงแห่งชาติของไทย เพื่อความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และปรึกษาหารือในประเด็นที่อยู่ในความสนใจร่วมกัน โดยได้ส่งร่างบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทั้งสองให้ฝ่ายไทยพิจารณา เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2555 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาไทยกับมองโกเลียมีการแลกเปลี่ยนการเยือน และการพบหารือระดับสูงเพิ่มมากขึ้นและนายกรัฐมนตรี ได้พบหารือกับประธานาธิบดีมองโกเลียในช่วงการประชุมเอเชียยุโรป (ASEM) ครั้งที่ 9 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555 และนายกรัฐมนตรีเยือนมองโกเลียอย่างเป็นทางการ และเข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีของประชาคมประชาธิปไตย (Community of Democracies) ครั้งที่ 7 ระหว่างวันที่ 27-29 เมษายน 2556 สภาความมั่นคงแห่งชาติมองโกเลีย ได้เสนอให้มีความร่วมมือกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติของไทย เพื่อความร่วมมือในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และปรึกษาหารือในประเด็นที่มีความสนใจร่วมกัน โดยทั้งสองฝ่ายเห็นชอบในร่างความร่วมมือดังกล่าวแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาการลงนาม เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2555 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือทวิภาคีกับ นายลูฟซันวันดันโบล์ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้ามองโกเลีย ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศไม่ฝักฝ่ายใด (NAM) ครั้งที่ 16 ที่กรุงเตหะราน ไทยกับมองโกเลีย ยังมีความร่วมมือมากขึ้นในกรอบรัฐสภา ผ่านกลุ่มมิตรภาพรัฐสภาไทย-มองโกเลีย โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 26-30 ตุลาคม 2556 รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 (นายเจริญ จรรย์โกมล) และคณะได้เดินทางเยือนมองโกเลีย ด้านเศรษฐกิจ
การค้าระหว่างไทย-มองโกเลีย ยังมีปริมาณไม่มากนัก แต่ก็มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยการค้าไทย-มองโกเลียตลอดปี 2554 มีมูลค่ารวม 18.05 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าปี 2553 ร้อยละ 30 แบ่งเป็นไทยส่งออก 12.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 5.32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ร้อยละ 32.64 และร้อยละ 26.17 ตามลำดับ ระหว่างเดือนมกราคม - กันยายน 2556 มีมูลค่าการค้ารวม 12.04 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.96 ส่วนในปี 2555 มีมูลค่าการค้ารวม 13.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ไทยส่งออก 13.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 0.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ ผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ สินค้านำเข้าที่สำคัญของไทย ได้แก่ สินแร่โลหะ เศษโลหะ แร่และผลิตภัณฑ์จากแร่ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ชา กาแฟ เครื่องเทศ
ผู้ประกอบการไทยสนใจการลงทุนในมองโกเลียมากขึ้น นอกจากนี้ ระหว่างการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้ามองโกเลีย เมื่อเดือนธันวาคม 2553 ฝ่ายไทยและฝ่ายมองโกเลียได้ร่วมกันจัดกิจกรรมสัมมนาและจับคู่ธุรกิจไทย-มองโกเลีย ที่กรุงเทพฯ ฝ่ายไทยมีความสนใจลงทุนในมองโกเลียในด้านเหมืองแร่ การก่อสร้างและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ธุรกิจท่องเที่ยว สปา ปัจจุบันบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ลงทุนในกิจการเหมืองถ่านหิน และจัดตั้งสำนักงานในมองโกเลีย เมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 ส่วนมองโกเลียไม่มีการลงทุนในไทย การลงทุนของไทยในมองโกเลียนั้นยังมีจำกัด เนื่องจากเป็นตลาดเล็ก ข้อมูลข่าวสารด้านการตลาดจำกัด และไม่มีเที่ยวบินตรงจากไทย อย่างไรก็ดีภาคเอกชนไทย เริ่มสนใจเข้าไปลงทุนในสาขาอุตสาหกรรมเหมืองแร่ อย่างเช่น บริษัทบ้านปู ที่ได้กล่าวเอาไว้ข้างต้น ความตกลงระหว่างประเทศ
เศรษฐกิจโครงสร้างเนื่องจากมองโกเลียอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหภาพโซเวียตมาตั้งแต่ปี 2467 และมีการค้ากับสหภาพโซเวียตประมาณร้อยละ 85 ของมูลค่าการค้าทั้งหมด ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหภาพโซเวียต ส่งผลให้ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศลดลงตั้งแต่ปี 2534 มีผลกระทบทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นในมองโกเลีย วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจดังกล่าว เกิดขึ้นในช่วงที่มองโกเลียกำลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสังคมนิยมมาสู่ระบบตลาดเสรี ทำให้มองโกเลียเร่งเปิดประตูสู่นานาชาติมากขึ้นภายใต้ระบบตลาดเสรีในปัจจุบัน มองโกเลียได้ดำเนินนโยบายเปิดกว้างเพื่อให้เกิดการค้า การลงทุน และการจ้างงานมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปมาก ประชากรศาสตร์เชื้อชาติเป็นชาวมองโกลร้อยละ 90, ชาวคาซัคร้อยละ 4, ชาวรัสเซียร้อยละ 2, ชาวจีนร้อยละ 2 และอื่น ๆ ร้อยละ 2 ภาษาปัจจุบันมีผู้พูดภาษามองโกลร้อยละ 95 ของประชากรในประเทศ (ส่วนมากใช้ภาษามองโกลสำเนียงคัลคา) ศาสนา
วัฒนธรรมวิถีชีวิตชาวมองโกลจะอาศัยอยู่สิ่งที่เรียกว่า "เกอร์" ที่สามารถรื้อถอนได้ง่าย และชาวมองโกลส่วนใหญ่เป็นพวกเร่ร่อน ในปีหนึ่งชาวมองโกลจะย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ ถึง 20 ครั้ง หมายเหตุอ้างอิง
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
|