ประชาธิปไตยเสรีนิยม
ประชาธิปไตยเสรีนิยม หรือ ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม (อังกฤษ: Liberal democracy) หรือบ้างเรียก ประชาธิปไตยแบบตะวันตก เป็นทั้งคตินิยมทางการเมืองและระบอบการปกครองรูปแบบหนึ่ง ที่การปกครองแบบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนจะดำเนินการใต้หลักเสรีนิยม คือ การพิทักษ์สิทธิของปัจเจกบุคคล ซึ่งโดยทั่วไปจะระบุไว้ในกฎหมาย ระบอบมีลักษณะเฉพาะ คือ
การนิยามระบบดังกล่าวในทางปฏิบัติ บ่อยครั้งจะกำหนดในรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจประมวลเป็นลายลักษณ์อักษร หรือยังไม่ประมวลขึ้น (เช่น สหราชอาณาจักร) ก็ได้ เพื่อวางเค้าโครงอำนาจของรัฐบาลและประดิษฐานสัญญาประชาคม หลังมีความแพร่หลายมากขึ้นตลอดครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ประชาธิปไตยเสรีนิยมก็ได้กลายเป็นระบบการเมืองที่ใช้กันมากที่สุดในโลก[1] รัฐประชาธิปไตยเสรีนิยมมีหลายรูปแบบ อาจเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ หรือสาธารณรัฐ และอาจเป็นระบบรัฐสภา ระบบประธานาธิบดี หรือระบบกึ่งประธานาธิบดีก็ได้ ระบอบนี้ปกติจะมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนทั่วไป คือให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งแก่ประชากรที่ถึงวัยทุกคนโดยไม่คำนึงถึงชาติพันธุ์ เพศ การถือครองทรัพย์สิน เชื้อชาติ อายุ (สูงสุด) เพศสภาพ รายได้ สถานภาพทางสังคมหรือศาสนา แต่ในอดีตประเทศที่ถูกจัดให้เป็นประชาธิปไตยเสรีนิยมก็เคยมีการจำกัดสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วยเช่นกัน แม้ในปัจจุบัน บางประเทศที่จัดให้เป็นประชาธิปไตยเสรีนิยมก็ไม่ได้มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนทั่วไปอย่างแท้จริง เช่น สหราชอาณาจักรและสหรัฐส่วนใหญ่ตัดสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งแก่ผู้ต้องโทษจำคุกเป็นเวลานาน ข้อมูลของ Coppedge และ Reinicke พบว่าประเทศร้อยละ 85 ในโลกมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนทั่วไป หลายประเทศกำหนดให้ต้องมีเอกสารพิสูจน์รูปพรรณก่อนได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ ในการเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจที่แท้จริงคือผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ออกไปใช้สิทธิ์ ไม่ใช่พลเมืองทุกคน รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมจะนิยามความเป็นประชาธิปไตยของรัฐ จุดประสงค์ของรัฐธรรมนูญบ่อยครั้งมองว่า เพื่อจำกัดอำนาจของรัฐบาล ระบอบนี้ เน้นการแยกใช้อำนาจ ความเป็นอิสระของตุลาการ และระบบดุลอำนาจระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ของรัฐ และมักจะเน้นความสำคัญว่า รัฐต้องทำตามหลักนิติธรรม อำนาจของรัฐบาลจะเป็นเรื่องชอบธรรมก็ต่อเมื่อเป็นไปตามกฎหมายที่เขียน ผ่านการยอมรับ แล้วเปิดเผยเป็นสาธารณะ และเมื่อบริหารตามกฎระเบียบที่วางไว้ ประเทศหลายประเทศใช้ระบบสหพันธรัฐ ซึ่งแยกใช้อำนาจแบบแนวตั้งด้วย เพื่อป้องกันการใช้อำนาจผิด ๆ และเพิ่มส่วนร่วมของประชาชนโดยแบ่งอำนาจระหว่างเทศบาลเมือง สภาจังหวัด และรัฐบาลประเทศ เช่น ในเยอรมนี รัฐบาลกลางมีหน้าที่ออกกฎหมาย แต่รัฐบาลรัฐ (Länder) เป็นผู้บริหารอำนาจหลายอย่าง[ต้องการอ้างอิง] สิทธิเสรีภาพในทางปฏิบัติแล้ว ระบอบประชาธิปไตยก็จำกัดเสรีภาพบางอย่างด้วย มีข้อจำกัดตามกฎหมายต่าง ๆ เช่น เรื่องลิขสิทธิ์และการหมิ่นประมาท อาจจำกัดการพูดต่อต้านประชาธิปไตย ความพยายามบั่นทอนสิทธิมนุษยชน และการโปรโหมตหรือให้เหตุผลเพื่อการก่อการร้าย มีข้อจำกัดเช่นนี้เกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ในสหรัฐช่วงสงครามเย็นซึ่งมากกว่าในยุโรป ปัจจุบันมักจะใช้จำกัดองค์กรที่มองว่า โปรโหมตการก่อการร้ายจริง ๆ หรือยั่วยุให้กลุ่มต่าง ๆ เกลียดชังกัน ตัวอย่างรวมทั้งกฎหมายต่อต้านการก่อการร้าย การปิดการออกอากาศทางดาวเทียมของฮิซบุลลอฮ์ โดยมีผู้คัดค้านว่า การจำกัดอาจมากเกิน และอาจไม่มีการพิจารณาทางตุลาการที่ยุติธรรมและควรได้รับ เหตุผลสามัญสำหรับกฎหมายเหล่านี้ก็คือ เพื่อการอยู่รอดของประชาธิปไตยและเพื่อเสรีภาพเอง ยกตัวอย่างเช่น เสรีภาพในการพูดที่สนับสนุนการสังหารหมู่ จะบั่นทอนสิทธิการมีชีวิตและความปลอดภัย ความเห็นจะต่างกันในเรื่องว่า ระบบจะต้องปกป้องศัตรูของประชาธิปไตยในกระบวนการทางประชาธิปไตยแค่ไหน ถ้าบุคคลจำนวนน้อยถูกจำกัดเสรีภาพเพราะเหตุผลเช่นนี้ ประเทศนั้น ๆ ยังอาจพิจารณาได้ว่า เป็นประชาธิปไตยเสรีนิยม แต่ก็มีคนคัดค้านว่า นี้ต่างกันโดยแค่จำนวนไม่ได้ต่างกันโดยลักษณะ จากอัตตาธิปไตยที่ตามลงโทษศัตรู เพราะเพียงแค่มีคนที่ได้รับผลจำนวนน้อยกว่า และข้อจำกัดรุนแรงน้อยกว่า ส่วนคนอื่น ๆ ก็ย้ำว่า ประชาธิปไตยก็ยังต่าง คืออย่างน้อยโดยทฤษฎี ศัตรูของประชาธิปไตยยังได้รับการพิจารณาทางกฎหมายตามหลักนิติธรรม อย่างไรก็ดี รัฐที่พิจารณาว่าเป็นประชาธิปไตยก็ยังมีข้อจำกัดในการพูดต่อต้านประชาธิปไตย เช่น การปฏิเสธฮอโลคอสต์[ต้องการอ้างอิง] การพูดให้เกลียด การพูดในเรือนจำ ซึ่งมองว่าเป็นกรณีพิเศษเกี่ยวกับเสรีภาพในการพูด สมาชิกองค์กรทางการเมืองที่สัมพันธ์กับระบอบเผด็จการก่อน ๆ (เช่น ลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิฟาสซิสต์ หรือระบอบนาซี) ก็อาจถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้ออกคะแนนเสียงหรือไม่ให้ดำรงตำแหน่งบางอย่าง การเลือกประพฤติอาจถูกห้าม เช่น เจ้าของธุรกิจปฏิเสธไม่ให้บริการบุคคลเนื่องจากเชื้อชาติ ศาสนา ชาติพันธุ์ เพศ หรือรสนิยมทางเพศ ยกตัวอย่างในแคนาดาเช่น สำนักพิมพ์ที่ปฏิเสธไม่ให้บริการต่อกลุ่มรักร่วมเพศทั้งถูกปรับ เสียค่าทนายตัวเอง และต้องเสียค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับกฎหมายของอีกฝ่ายโดยคำสั่งศาล[2] สิทธิที่พิจารณาว่าเป็นรากฐานสำคัญในประเทศหนึ่ง อาจจะเป็นอะไรที่แปลกในอีกประเทศหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญของแคนาดา อินเดีย อิสราเอล เม็กซิโก และสหรัฐ ต่างรับประกันไม่ให้ถูกฟ้องซ้ำทางอาญาเนื่องจากความผิดเดียวกัน (double jeopardy) ซึ่งเป็นสิทธิที่ไม่มีในประเทศอื่น ๆ อนึ่ง ระบบที่เลือกตั้งลูกขุน (เช่น สวีเดน) จะมองระบบตุลาการที่เกี่ยวข้องกับการเมืองบางส่วนว่า เป็นองค์ประกอบหลักสำหรับภาระรับผิดชอบของรัฐบาล แต่นี่เป็นเรื่องแปลกในระบบที่ใช้ลูกขุนพิจารณาคดีเพื่อกันอิทธิพลจากนักการเมือง และคล้าย ๆ กัน คนอเมริกันจำนวนมากพิจารณาสิทธิในการเก็บและถืออาวุธ ว่าเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อป้องกันสิทธิในการปฏิวัติรัฐบาลที่ใช้อำนาจผิด ๆ ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ไม่ยอมรับว่านี่เป็นสิทธิพื้นฐาน และหลายประเทศรวมทั้งสหราชอาณาจักรยังมีกฎหมายที่เคร่งครัดเกี่ยวกับมีปืนส่วนตัว เงื่อนไขเบื้องต้นแม้ว่าจะไม่ใช่ส่วนของระบอบการปกครอง เสรีภาพทั้งส่วนบุคคลและทางเศรษฐกิจพอประมาณ ที่มีผลขยายจำนวนคนชั้นกลางจนกลายเป็นประชาสังคมที่เจริญรุ่งเรืองและแพร่ไปอย่างกว้างขวาง บ่อยครั้งมองว่า เป็นเงื่อนไขเบื้องต้นของประชาธิปไตยเสรีนิยม (Lipset 1959) ในประเทศที่ไม่มีวัฒนธรรมประเพณีการปกครองโดยเสียงส่วนมาก การเลือกตั้งเสรีอย่างเดียวจะไม่พอให้เปลี่ยนจากระบอบเผด็จการไปเป็นประชาธิปไตย จะต้องมีทั้งการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมทางการเมืองที่ใหญ่กว่านั้น และการสร้างสถาบันเพื่อการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีประเทศตัวอย่างหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่นในลาตินอเมริกา ที่ดำรงระบอบประชาธิปไตยได้เพียงแค่ชั่วคราวหรืออย่างจำกัด จนกระทั่งวัฒนธรรมทั่วไปเปลี่ยนแปลงแล้วสร้างสภาวะที่ประชาธิปไตยสามารถเจริญงอกงามได้[ต้องการอ้างอิง] แง่มุมกุญแจสำคัญของวัฒนธรรมประชาธิปไตยก็คือแนวคิดเกี่ยวกับ "ฝ่ายค้านที่จงรักภักดี" คือแม้ว่า ฝ่ายตรงข้ามจะเห็นไม่ตรงกัน แต่ก็ยอมอดทนและยอมรับบทบาทสำคัญทางการเมืองอันเป็นไปตามกฎหมายที่แต่ละฝ่ายมีส่วนได้ ซึ่งเป็นเรื่องเปลี่ยนได้ยากในวัฒนธรรมของประเทศที่การเข้าสู่อำนาจตามประวัติมักจะอาศัยความรุนแรง แก่นสารของหลักนี้ก็คือ ทุกฝ่ายในระบอบประชาธิปไตยต้องเทิดทูนคุณค่าพื้นฐานของมันเหมือน ๆ กัน กฎพื้นฐานของสังคมต้องสนับสนุนให้อดทน สุภาพ และมีมรรยาทในการอภิปรายต่อหน้าธารกำนัล ในสังคมเช่นนี้ ผู้ที่พ่ายแพ้ต้องยอมรับการตัดสินใจของผู้ลงคะแนนเสียงเมื่อการลงคะแนนเลือกตั้งยุติแล้ว และอำนวยให้อำนาจเปลี่ยนมือได้โดยสันติภาพ โดยผู้แพ้ก็จะรู้สึกปลอดภัยด้วยความเข้าใจได้ว่า ตนจะไม่เสียชีวิตหรือเสรีภาพ และจะมีส่วนร่วมทางการเมืองได้ต่อไป คือ พวกเขาไม่ได้จงรักภักดีต่อนโยบายโดยเฉพาะ ๆ ของรัฐบาล แต่ต่อความชอบธรรมตามกฎหมายของรัฐและของกระบวนการประชาธิปไตยเอง กำเนิดประชาธิปไตยเสรีนิยมมีแหล่งกำเนิดและได้ชื่อมาจากยุโรปสมัยคริสต์ทศวรรษที่ 18 ที่เรียกว่ายุคเรืองปัญญา ในเวลานั้น รัฐส่วนมากในยุโรปเป็นราชาธิปไตย โดยพระราชาหรือขุนนางมีอำนาจทางการเมือง แต่ประชาธิปไตยในฐานะระบอบการปกครอง ไม่ได้รับพิจารณาอย่างจริงจังตั้งแต่สมัยคลาสสิกโบราณแล้ว เพราะความเชื่อทั่วไปว่า ประชาธิปไตยไม่เสถียรโดยธรรมชาติและจะสร้างความยุ่งเหยิงในนโยบายของรัฐ เพราะประชาชนจะเปลี่ยนใจไป ๆ มา ๆ และว่า ประชาธิปไตยขัดแย้งกับธรรมชาติมนุษย์ เพราะมองว่า มนุษย์ตามธรรมชาติชั่วร้าย รุนแรง และจำเป็นต้องมีผู้นำที่เข้มแข็งเพื่อควบคุมความหุนหันพลันแล่นที่ก่อความเสียหาย ส่วนพระราชาชาวยุโรปก็ทรงถือว่า อำนาจของพระองค์เป็นสิทธิที่มาจากพระเป็นเจ้า และแม้แต่ความสงสัยต่อสิทธิเพื่อปกครองของพระองค์ก็เท่ากับเป็นการดูหมิ่นศาสนา ความคิดในกรอบเช่นนี้ต่อมาถูกคัดค้านโดยกลุ่มปัญญาชนเล็ก ๆ ในยุคเรืองปัญญาผู้เชื่อว่า
แนวคิดเหล่านี้เริ่มปฏิบัติในประเทศอังกฤษในคริสต์ทศวรรษที่ 17[3] โดยคำร้องขอสิทธิที่ผ่านเป็นกฎหมายในปี 2171 และกฎหมาย Habeas Corpus Act ที่ผ่านในปี 2172 ก็ได้ให้เสรีภาพบางอย่างต่อข้าแผ่นดิน ส่วนไอเดียเกี่ยวกับพรรคการเมือง ได้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเป็นกลุ่มอภิปรายสิทธิการมีผู้แทนทางการเมือง (Putney Debates) ในปี 2190 หลังจากสงครามกลางเมืองอังกฤษระหว่างปี 2185-2194 และการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ปี 2231 บัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมืองก็ผ่านเป็นกฎหมายในปี 2232 ซึ่งเป็นประมวลกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพบางอย่าง บัญญัติบังคับให้มีการเลือกตั้งเป็นประจำ ตั้งกฎเสรีภาพในการพูดในรัฐสภา และจำกัดอำนาจของพระราชา ซึ่งรับรองว่า โดยไม่เหมือนยุโรปโดยมากในยุคนั้น สมบูรณาญาสิทธิราชย์จะไม่มีชัย[4][5] และเปลี่ยนแปลงสังคมอังกฤษอย่างสำคัญเพราะกำหนดฐานะบุคคลในสังคม และเพราะรัฐสภามีอำนาจยิ่งขึ้นเทียบกับพระราชา[6][7] โดยปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 นักปรัชญาชั้นแนวหน้าได้พิมพ์ผลงานที่เผยแพร่ไปทั่วยุโรปและที่อื่น ๆ ไอเดียและความเชื่อเหล่านี้ได้ให้แรงดลใจแก่การปฏิวัติอเมริกันและการปฏิวัติฝรั่งเศส ให้กำเนิดอุดมการณ์เสรีนิยม และสร้างรูปแบบรัฐบาลที่พยายามประยุกต์ใช้หลักของนักปรัชญายุคเรืองปัญญาให้เป็นภาคปฏิบัติ แต่ว่า รูปแบบของรัฐบาลปฏิวัติทั้งสองก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมตามความหมายทุกวันนี้ โดยข้อแตกต่างสำคัญที่สุดก็คือ สิทธิการลงคะแนนเสียงที่ยังจำกัดต่อชนกลุ่มน้อย และความเป็นทาสที่ถูกกฎหมาย อนึ่ง ความพยายามของชาวฝรั่งเศสก็คงอยู่ได้ไม่นาน แม้จะกลายเป็นต้นแบบที่ระบอบประชาธิปไตยต่อ ๆ มาบูรณาการ และเนื่องจากผู้สนับสนุนรูปแบบรัฐบาลเช่นนี้ตอนนั้นเรียกว่า พวกเสรีนิยม (liberal) รัฐบาลของพวกเขาต่อมาก็เลยรู้จักกันว่า ประชาธิปไตยเสรีนิยม (liberal democracy) ช่วงที่ประชาธิปไตยเสรีนิยมกำลังเกิด พวกเสรีนิยมได้ถูกมองว่า เป็นผู้มีแนวคิดสุดโต่งและเป็นคนอันตราย เป็นภัยต่อทั้งสันติภาพและเสถียรภาพในระดับสากล ส่วนพวกราชาธิปไตยนิยมแบบอนุรักษนิยมผู้ต่อต้านทั้งเสรีนิยมและประชาธิปไตย ก็มองตัวเองว่าเป็นผู้ปกป้องประเพณีค่านิยมและกฎธรรมชาติ และข้อวิจารณ์ประชาธิปไตยของพวกเขาก็ได้ข้อพิสูจน์เมื่อนโปเลียน โบนาปาร์ต ขึ้นยึดอำนาจในสาธารณรัฐฝรั่งเศส เปลี่ยนรัฐเป็นจักรวรรดิฝรั่งเศสที่หนึ่ง แล้วออกพิชิตยุโรปโดยมาก เมื่อนโปเลียนพ่ายแพ้ในที่สุด จึงเกิดตั้งพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ในยุโรปเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเสรีนิยมและประชาธิปไตย อย่างไรก็ดีโดยไม่นานนัก อุดมคติประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมก็กลายเป็นเรื่องที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในสาธารณชน และในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ระบบราชาธิปไตยทั่วไปก็ตกเป็นฝ่ายตั้งรับและถอยทัพ ต่อมา ประเทศในเครือจักรภพอังกฤษก็กลายเป็นห้องทดลองประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นไป ในแคนาดา รัฐบาลที่มีภาระรับผิดชอบต่อรัฐสภาก็เกิดขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1840 ตลอดจนในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ส่วนรัฐบาลแบบรัฐสภาที่ประชาชนชายเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงแบบลับ ก็เกิดขึ้นเริ่มต้นที่ทศวรรษ 1850 ส่วนหญิงต่อมาจึงได้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งเริ่มที่ทศวรรษ 1890[8] ทั้งการปฏิรูปและการปฏิวัติช่วยเปลี่ยนประเทศยุโรปโดยมากให้เป็นประชาธิปไตยเสรีนิยม แล้วคติเสรีนิยมก็ยุติเป็นความเห็นสุดโต่งแล้วกลายเป็นเรื่องกระแสหลักทางการเมือง ในขณะเดียวกัน คติแบบไม่เสรีนิยมจำนวนหนึ่งก็ได้พัฒนาขึ้น โดยรับเอาแนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยเสรีนิยมให้เป็นส่วนของคติ อันชี้ว่า พิสัยความคิดทางการเมืองได้เปลี่ยนไปแล้ว คือ ราชาธิปไตยธรรมดากลายเป็นมุมมองสุดโต่ง ในขณะที่ประชาธิปไตยเสรีนิยมกลายเป็นเรื่องธรรมดา โดยที่สุดของศตวรรษที่ 19 ประชาธิปไตยเสรีนิยมก็ไม่ใช่แนวคิด "เสรีนิยม" อีกต่อไป แต่เป็นเรื่องที่สนับสนุนโดยคตินิยมต่าง ๆ มากมาย หลังจาก สงครามโลกครั้งที่ 1 และโดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชาธิปไตยเสรีนิยมก็กลายเป็นเรื่องเด่นในบรรดาทฤษฏีการปกครองทั้งหลาย โดยบัดนี้ก็มีมุมมองทางการเมืองมากมายที่สนับสนุนแนวคิดเช่นนี้ แม้ว่า ประชาธิปไตยเสรีนิยมจะเริ่มมาจากคนเสรีนิยมยุคเรืองปัญญา ความสัมพันธ์ระหว่างประชาธิปไตยกับเสรีนิยมก็เป็นเรื่องถกเถียงกันตั้งแต่ต้น โดยกลายเป็นปัญหาในศตวรรษที่ 20[9] คือ คติของเสรีนิยม โดยเฉพาะในรูปแบบคลาสสิก นิยมความเป็นส่วนตัว (คือ ปัจเจกนิยม) มาก ดังนั้นจึงนิยมจำกัดอำนาจของรัฐเหนือบุคคล โดยเปรียบเทียบกัน บางคนมองประชาธิปไตยว่าเป็นอุดมคติแบบชุมชนนิยม ที่เล็งการเพิ่มอำนาจให้แก่ชุมชน ดังนั้น ประชาธิปไตยเสรีนิยมอาจมองได้ว่า เป็นการออมชอมกันระหว่างปัจเจกนิยมกับกระแสชุมชนนิยมของประชาธิปไตย ผู้เห็นอย่างนี้บางครั้งชี้ไปยังระบบประชาธิปไตยแบบไม่เสรี หรืออัตตาธิปไตยแบบเสรี ว่าเป็นหลักฐานว่า เสรีภาพ/เสรีนิยมที่กำหนดในรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องเชื่อมกับระบอบประชาธิปไตย ในนัยตรงกันข้าม ก็มีมุมมองว่า เสรีภาพ/เสรีนิยมในรัฐธรรมนูญกับระบอบประชาธิปไตยไม่เพียงแค่เข้ากันได้ แต่จำเป็นเพื่อจะมีทั้งสองอย่างได้จริง ๆ เพราะทั้งสองเกิดจากแนวคิดพื้นฐานของความเสมอภาคทางการเมือง มีการยืนยันด้วยว่า ทั้งเสรีภาพและความเสมอภาคจำเป็นในประชาธิปไตยเสรีนิยม[10] ส่วนองค์การนอกภาครัฐ ฟรีดอมเฮาส์ (Freedom House)[11] ปัจจุบันนิยามประชาธิปไตยเสรีนิยมอย่างง่าย ๆ ว่าเป็นประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งที่ปกป้องเสรีภาพของพลเมือง ประชาธิปไตยเสรีนิยมในโลกมีทั้งองค์การและนักรัฐศาสตร์ ที่ทำรายการรัฐที่เสรีและไม่เสรี ทั้งในปัจจุบันและกลับไปในอดีต 2-3 ศตวรรษ โดยที่รู้จักดีที่สุดอาจจะเป็น "ข้อมูลชุดองค์การทางการเมือง (Polity Data Set)"[14] และรายการที่ทำโดย "ฟรีดอมเฮาส์"[11] องค์การต่าง ๆ เช่น "ฟรีดอมเฮาส์" มีมติร่วมกับกลุ่มปัญญาชนว่า รัฐในสหภาพยุโรปและอื่น ๆ รวมทั้ง นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น อาร์เจนตินา บราซิล ชิลี เกาหลีใต้ ไต้หวัน สหรัฐ อินเดีย แคนาดา[15][16][17][18][19] เม็กซิโก อุรุกวัย คอสตาริกา อิสราเอล แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์[20] เป็นประชาธิปไตยเสรีนิยม โดยแคนาดามีแผ่นดินใหญ่สุด และอินเดียมีประชากรมากสุด[21] ประชาธิปไตยเสรีนิยมโดยมากจำกัดอยู่กับประเทศตะวันตก ยกเว้น ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลีใต้ โรมาเนีย ไต้หวัน บัลแกเรีย "ฟรีดอมเฮาส์" พิจารณาว่า รัฐบาลที่โดยทางการเรียกว่า "ประชาธิปไตย" ในแอฟริกาและสหภาพโซเวียตเดิม มีการปฏิบัติที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ปกติเพราะว่ารัฐบาลที่อยู่ในอำนาจมีอิทธิพลต่อผลการเลือกตั้งสูง ประเทศเช่นนี้หลายประเทศไม่เสถียร ส่วนรัฐบาลที่โดยทางการไม่ใช่ประชาธิปไตย เช่น รัฐที่มีพรรคการเมืองเดียวและระบบเผด็จการ จะสามัญมากกว่าในเอเชียตะวันออก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ ประเภทระบอบการปกครองของรัฐต่าง ๆ ในโลก1
ผู้แทนตามคะแนนเสียงที่เหนือกว่า กับผู้แทนตามสัดส่วนการเลือกพรรคระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่า (Plurality voting) จะให้ตำแหน่งแก่ผู้ได้คะแนนเสียงมากสุด คือ พรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ได้คะแนนเสียงมากสุด จะได้ตำแหน่งผู้แทนของท้องถิ่นนั้น แต่ก็มีการเลือกตั้งแบบอื่น เช่น การมีผู้แทนตามสัดส่วน (proportional representation) ซึ่งให้จำนวนตำแหน่งตามสัดส่วนคะแนนแก่พรรคที่ผู้ออกเสียงเลือก โดยอาจนับคะแนนจากทั่วประเทศหรือเพียงในท้องถิ่น ความแตกต่างหลักระหว่างสองระบบนี้ก็คือ จะให้มีผู้แทนของท้องถิ่นในประเทศ หรือจะให้ประชากรทั้งประเทศระบุว่าใครจะเป็นผู้แทน บางประเทศเช่น เยอรมนีและนิวซีแลนด์ แก้ความขัดแย้งของสองระบบนี้ โดยกำหนดจำนวนตำแหน่งเลือกตั้งจากทั้งสองระบบในสภาล่างแห่งประเทศ จำนวนหนึ่งให้แก่บุคคลที่ท้องถิ่นเลือก โดยที่เหลือให้ต่อพรรคต่าง ๆ ตามสัดส่วนที่ประชาชนลงคะแนนทั่วประเทศ ระบบนี้มีชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า mixed member proportional representation (การมีผู้แทนตามสัดส่วนแบบสมาชิกผสม) ส่วนออสเตรเลียใช้ระบบผสมอีกแบบหนึ่ง โดยสภาล่างให้เลือกตั้งแบบ preferential voting (หรือ Ranked voting systems) ที่ผู้เลือกให้คะแนนผู้สมัครรับเลือกตามลำดับ และสภาสูงให้เลือกตั้งแบบมีผู้แทนพรรคตามสัดส่วนที่เลือกในแต่ละรัฐ ผู้สนับสนุนระบบนี้อ้างว่า จะได้รัฐบาลที่เสถียรกว่า และมีพรรคต่าง ๆ หลายหลาก เพื่อทบทวนการดำเนินงานของรัฐบาล ระบบประธานาธิบดีกับรัฐสภาระบบประธานาธิบดีเป็นระบบสาธารณรัฐที่รัฐบาลฝ่ายบริหารจะเลือกตั้งต่างหากจากฝ่ายรัฐสภา เทียบกับระบบรัฐสภาที่มีฝ่ายบริหารขึ้นกับรัฐสภาโดยตรงหรือโดยอ้อม บ่อยครั้งผ่านการลงมติไว้วางใจ ประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดีได้กลายเป็นที่นิยมในลาตินอเมริกา แอฟริกา และส่วนต่าง ๆ ของสหภาพโซเวียตเดิม โดยตามสหรัฐอเมริกาเป็นตัวอย่างหลัก ส่วนราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (โดยรัฐสภาที่ผ่านการเลือกตั้งมีอำนาจกว่า) จะนิยมในยุโรปเหนือและในอดีตอาณานิคมที่ได้อิสรภาพโดยไม่เสียเลือดเนื้อ เช่น ออสเตรเลียและแคนาดา โดยอาณานิคมเดิมของอังกฤษบางแห่งรวมทั้งแอฟริกาใต้ อินเดีย ไอร์แลนด์ และสหรัฐ ได้ถือเอารูปแบบอื่นของรัฐบาลเมื่อได้อิสรภาพ และมีประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ระบบนี้ด้วยรวมทั้งสเปน เอเชียตะวันออก ประเทศไทยเป็นครั้งคราว และประเทศเล็ก ๆ หลากหลาย ส่วนระบบรัฐสภาแบบอื่นจะนิยมในสหภาพยุโรปและประเทศใกล้เคียงอื่น ๆ ปัญหาและข้อขัดแย้งไม่ใช่ประชาธิปไตยโดยตรงเนื่องจากประชาธิปไตยเสรีนิยมเป็นรูปแบบหนึ่งของประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน จึงเป็นระบบที่ไม่เอาใจใส่ความต้องการของประชาชนทั่วไปโดยตรงยกเว้นช่วงเลือกตั้ง เพราะผู้แทนจำนวนน้อยเป็นผู้ตัดสินใจและออกนโยบายการบริหารประเทศ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ปกครองชีวิตประชาชน นักทฤษฎีอภิสิทธิชน (Elite theory) จึงอ้างว่า ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนรวมทั้งประชาธิปไตยเสรีนิยม เป็นเพียงแค่หน้าฉากของคณาธิปไตย[22] และนักทฤษฎีทางการเมืองทรงอิทธิพลก็ได้แสดงประชาธิปไตยเสรีนิยมว่าเป็นพหุธิปไตย (Polyarchy)[23] ซึ่งแปลว่า การปกครองโดยคนหลายคน เทียบกับ Oligarchy (แปลเป็นภาษาไทยว่า คณาธิปไตย) ซึ่งแปลว่า การปกครองโดยคนน้อยคน เพราะเหตุนี้และอื่น ๆ ผู้คัดค้านระบบประชาธิปไตยเสรีนิยม จึงสนับสนุนระบอบการปกครองอื่น ๆ เช่น ประชาธิปไตยโดยตรง ส่วนผู้ที่สนับสนุนประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมหรือแบบมีผู้แทนให้เหตุผล 3 อย่างเพื่อระบอบการปกครองเยี่ยงนี้
ส่วนผู้สนับสนุนประชาธิปไตยโดยตรงก็มีเหตุผลต่าง ๆ ที่โต้แย้ง โดยมีสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศตัวอย่างที่มีองค์ประกอบของระบอบประชาธิปไตยโดยตรงที่ใช้งานได้จริง ๆ[26] ปัจจุบันนี้ ประเทศประชาธิปไตยเสรีนิยมจำนวนมากมีองค์ประกอบของประชาธิปไตยโดยตรง เช่น การออกเสียงประชามติ (referendum), plebiscite, การริเริ่มออกกฎหมาย (initiative), การเลือกถอนตำแหน่ง (recall election), และรูปแบบต่าง ๆ ของ ประชาธิปไตยแบบอภิปราย (deliberative democracy) อนึ่ง รัฐจำนวนหนึ่งในสหรัฐก็มีการดำเนินการที่เป็นประชาธิปไตยโดยตรง ประเทศอุรุกวัยก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง และประเทศอีกหลายประเทศอื่น ๆ ก็มีการออกเสียงประชามติ แม้ในระดับที่น้อยกว่าสวิตเซอร์แลนด์ เป็นเผด็จการของคนมีทรัพย์สินพวกมาร์กซิสต์ พวกคอมมิวนิสต์ นักสังคมนิยม และนักอนาธิปไตยให้เหตุผลว่า ประชาธิปไตยเสรีนิยมภายใต้ทุนนิยมจะสัมพันธ์กับชนชั้นโดยโครงสร้าง และดังนั้น ไม่สามารถเป็นประชาธิปไตยหรือมีส่วนร่วมจากประชาชนได้จริง ๆ และควรเรียกว่าประชาธิปไตยของกระฎุมพี เพราะโดยที่สุดแล้ว นักการเมืองจะต่อสู้เพื่อสิทธิของชนชั้นกระฎุมพีเท่านั้น ตามมาร์กซ การมีผู้แทนที่ดูแลผลประโยชน์ของตน จะขึ้นอยู่กับอิทธิพลที่ชนแต่ละชั้นสามารถซื้อ (เช่น ให้สินบน การโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อมวลชน การขู่กรรโชกทางเศรษฐกิจ การบริจาคให้พรรคการเมืองและเพื่อการหาเสียงเลือกตั้งของพรรค) ดังนั้น ผลประโยชน์ของสาธารณชนในระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม จึงถูกทุจริตอย่างเป็นระบบอาศัยความมั่งคั่งของชนชั้นซึ่งรวยพอที่จะได้การเป็นตัวแทน และเพราะเหตุนี้ ประชาธิปไตยที่มีหลายพรรคภายใต้อุดมคติทุนนิยมจึงจะบิดเบือนและต่อต้านประชาธิปไตยเสมอ โดยดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าของระบบการผลิต ตามมาร์กซ ชนชั้นกระฎุมพีจะรวยยิ่ง ๆ ขึ้นตามความมุ่งมั่นเพื่อยึดเอามูลค่าส่วนเกินจากแรงงานสร้างสรรค์ของชนชั้นกรรมาชีพ ความมุ่งมั่นนี้จะผูกมัดชนชั้นกระฎุมพีให้รวบรวมความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเพิ่มสัดส่วนมูลค่าส่วนเกินที่ได้โดยเอาเปรียบชนชั้นกรรมาชีพ คือกดข้อตกลงและเงื่อนไขสำหรับลูกจ้างให้ใกล้กับระดับความยากจนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (ข้อบังคับนี้ก็จะแสดงอย่างบังเอิญให้เห็นข้อจำกัดอันชัดเจนของเสรีภาพของกระฎุมพี และแม้แต่ข้อจำกัดของชนชั้นกระฎุมพีเอง) ดังนั้น ตามมาร์กซ การเลือกตั้งรัฐสภาเป็นเพียงแต่ความพยายามที่ไร้ความจริงใจและทำอย่างเป็นระบบ เพื่อหลอกลวงประชาชนด้วยการอนุญาตให้เลือกตั้งเป็นบางครั้งบางคราว เพื่อเพียงรับรองตัวแทนที่กำหนดล่วงหน้าก่อนของคนชนชั้นกระฎุมพี เพื่อทำการสนับสนุนผลประโยชน์ของตน เมื่อเลือกตั้งแล้ว รัฐสภาเช่นนี้ โดยเป็นอำนาจเผด็จการของคนชั้นกระฎุมพี ก็จะออกกฎหมายที่สนับสนุนผลประโยชน์ของผู้ที่เลือกตั้งตนจริง ๆ ซึ่งก็คือคนชั้นกระฎุมพี วลาดีมีร์ เลนิน เคยให้เหตุผลว่า ประชาธิปไตยเสรีนิยมใช้เพียงเพื่อให้ภาพลวงตาว่ามีประชาธิปไตย ในขณะที่ดำรงอำนาจเผด็จการของชนชั้นกระฎุมพี โดยสรุปก็คือ การเลือกตั้งของประชาชนไม่ใช่อะไรอื่น แต่เป็นเพียงแค่ภาพลักษณ์ว่า มีอำนาจการตัดสินใจว่าใครในชนชั้นปกครอง จะได้ทำการแบบไม่เป็นตัวแทนให้ประชาชนในรัฐสภา[27] ค่าใช้จ่ายเพื่อหาเสียงในระบอบประชาธิปไตยแบบมีตัวแทนจะเป็นกลไกอำนวยประโยชน์ให้คนรวย โดยเป็นรูปแบบหนึ่งของเศรษฐยาธิปไตย ที่บุคคลจำนวนน้อยมากมีอิทธิพลจริง ๆ ต่อนโยบายของรัฐ ในระบอบประชาธิปไตยของชาวเอเธนส์โบราณ ตำแหน่งราชการบางอย่างจะตั้งประชาชนขึ้นโดยสุ่ม เพื่อสกัดกั้นอิทธิพลของเศรษฐยาธิปไตย อาริสโตเติลกล่าวถึงศาลในเอเธนส์ซึ่งเลือกตุลาการโดยสุ่ม ว่าเป็นประชาธิปไตย[28] ในขณะที่กล่าวถึงการเลือกตั้งว่าเป็นคณาธิปไตย[29] นักสังคมนิยมบางคนยังโจมตีแม้กระทั่งประชาธิปไตยเสรีนิยมด้วยว่า เป็นละครตลกไม่จริงใจมุ่งหมายไม่ให้มวลชนเข้าใจว่า ความต้องการของตนจะไม่มีผลอะไรในกระบวนการทางการเมือง และเป็นการสมรู้ร่วมคิดเพื่อเร้ามวลชนให้วุ่นวายโดยเป็นแผนการทางการเมืองบางอย่าง บางคนก็ยืนยันว่า กระบวนการทางการเมืองเช่นนี้ส่งเสริมให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งทำสัญญากับผู้สนับสนุนที่มั่งคั่ง โดยจะเสนอออกฎหมายอำนวยผลประโยชน์ถ้าตนได้รับเลือก เป็นการสืบสานการสมรู้ร่วมคิดเพื่อผูกขาดส่วนสำคัญทางเศรษฐกิจ ในสหรัฐอเมริกา ได้มีความพยายามทางการเมืองเพื่อแก้ปัญหาเช่นนี้ (Campaign finance reform) ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ถึงกระนั้น ศ. สาขาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยชิคาโกคนหนึ่งก็ได้อ้างในหนังสือของเขาว่า การใช้จ่ายเพื่อหาเสียงไม่สามารถประกันได้ว่าจะได้รับเลือก โดยเปรียบเทียบชัยชนะการเลือกตั้งของคู่ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ได้สมัครแข่งกันเองอย่างซ้ำ ๆ เพื่อตำแหน่งเดียวกัน (ซึ่งมักจะเกิดในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาสหรัฐ) ที่มีการใช้จ่ายระดับต่าง ๆ กัน เขาสรุปว่า "ผู้สมัครรับเลือกตั้งฝ่ายชนะ สามารถตัดการใช้จ่ายครึ่งหนึ่งแล้วจะเสียคะแนนเสียงไปเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ ในขณะเดียวกัน ผู้แพ้ ถ้าเพิ่มการใช้จ่ายเป็นทวีคูณ สามารถหวังคะแนนเสียงเพิ่มเข้าข้างตนเองได้เพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกัน"[30] แต่ก็อาจกล่าวได้ว่า การตอบเช่นนี้ไม่ตรงประเด็นของนักสังคมนิยม คือ ประชาชนที่มีเงินน้อยหรือไม่มีเลย จะไม่มีทางได้ตำแหน่งทางการเมืองได้เลย ซึ่งเป็นประเด็นที่ไม่อาจปฏิเสธได้โดยเพียงข้อสังเกตว่า ไม่ว่าการใช้จ่ายจะเพิ่มเป็นทวีคูณหรือลดลงครึ่งหนึ่ง ก็จะเปลี่ยนโอกาสชนะของผู้สมัครรับเลือกตั้งโดย 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น สื่อแสดงมุมจำกัดผู้วิจารณ์บทบาทของสื่อในระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมอ้างว่า การมีคนจำนวนน้อยเป็นเจ้าของสื่อ ก่อความบิดเบือนที่สำคัญในกระบวนการประชาธิปไตย ในหนังสือ การผลิตความยินยอม - เศรษฐกิจทางการเมืองของสื่อมวลชน (Manufacturing Consent: The Political Economy of the Mass Media) โนม ชอมสกีและผู้ร่วมเขียนได้ให้เหตุผลตามแบบจำลองโฆษณาชวนเชื่อของตนว่า[31] สื่อของธุรกิจจะจำกัดมุมมองที่ต่าง ๆ กัน จึงมีผลเผยแพร่เพียงพิสัยมุมมองที่จำกัดของอภิสิทธิชน นี่เป็นผลโดยธรรมชาติของความเชื่อมต่อกันที่ใกล้ชิดระหว่างธุรกิจทรงอิทธิพลกับสื่อ และดังนั้น สื่อจะแสดงมุมมองที่จำกัดโดยเฉพาะของกลุ่มชนที่พอจ่ายสื่อได้[32] ชอมสกีกับผู้ร่วมเขียนยังได้ชี้ด้วยว่า ผู้บุกเบิกสื่อแรก ๆ ที่ทรงอิทธิพลยังมีมุมมองค้านประชาธิปไตยโดยพื้นฐาน คือต่อต้านไม่ให้ประชาชนทั่วไปมีส่วนออกนโยบายของรัฐ[33] นักข่าวนักวิจารณ์ทางการเมืองอเมริกันผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง (Walter Lippmann) ได้กล่าวในหนังสือ (The Phantom Public) ในปี 2468 ว่าอภิสิทธิชนหาวิธีเพื่อ ขังสาธารณชนไว้เพื่อผู้มีอำนาจจะได้ "เป็นอิสระจากฝูงสัตว์ที่กำลังกระทืบโรงและส่งเสียงร้องอย่างงวยงง"[34] ในขณะที่ "บิดา" ของการประชาสัมพันธ์/การโฆษณาชวนเชื่อ (Edward Bernays) ได้สืบหาวิธีเพื่อ "อบรมฝึกใจของสาธารณชนเท่ากับที่กองทหารอบรมฝึกกายทหาร"[35] ส่วนฝ่ายป้องกันประชาธิปไตยเสรีนิยมก็โต้ตอบให้เหตุผลว่า เสรีภาพในการพูดที่รัฐธรรมนูญคุ้มครอง ทำให้องค์กรทั้งเพื่อผลกำไรและไม่แสวงผลกำไรสามารถอภิปรายประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้ได้ และการรายงานข่าวของสื่อในประชาธิปไตยก็เพียงแค่สะท้อนความนิยมของสาธารณชน ไม่ใช่เพราะถูกตรวจข่าว โดยเฉพาะในรูปแบบใหม่ ๆ ของสื่อเช่นอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีค่าใช้จ่ายไม่มากเพื่อจะเข้าถึงผู้ฟังจำนวนมาก ถ้ามีความสนใจต่อไอเดียที่เสนอ ผู้ลงคะแนนเสียงมาน้อยจำนวนผู้มาออกคะแนนเสียงน้อย ไม่ว่าเพราะเหตุหมดความเชื่อ เฉยเมย หรือพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ อาจมองได้ว่าเป็นปัญหา โดยเฉพาะถ้าไม่สมส่วนกับกลุ่มประชากรนั้น ๆ แม้ว่า ระดับการมาออกคะแนนเสียงจะต่างกันมากระหว่างประเทศประชาธิปไตยในปัจจุบัน และระหว่างการเลือกตั้งหลายแบบหลายระดับภายในประเทศเดียวกัน แต่เมื่อถึงบางจุด ก็อาจจะก่อคำถามว่า นี่เป็นเจตจำนงของประชาชน หรือเป็นตัวบ่งชี้ปัญหาบางอย่างในสังคม หรือในกรณีสุด ๆ เป็นตัวบ่งชี้ความชอบธรรมของการเลือกตั้ง การรณรงค์ให้ออกมาใช้เสียงเลือกตั้ง ไม่ว่าจะโดยรัฐบาลหรือองค์กรอื่น ๆ อาจเพิ่มการออกมาใช้เสียง แต่ควรจะแยกแยะระหว่างการรณรงค์ทั่วไปที่เพิ่มการออกเสียง และการรณรงค์ของพรรคเพื่อสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดคนหนึ่ง พรรค หรือเหตุใดเหตุหนึ่งโดยเฉพาะ หลายประเทศบังคับให้ออกเสียงลงคะแนน โดยมีการปรับลงโทษไม่เหมือนกัน ผู้สนับสนุนให้เหตุผลว่า วิธีนี้เพิ่มความชอบธรรม ดังนั้น จึงเพิ่มการยอมรับการเลือกตั้งของประชาชน ประกันการมีส่วนร่วมทางการเมืองของบุคคลที่ได้รับผล และลดค่าใช้จ่ายในการรณรงค์ให้ออกเสียง ส่วนเหตุผลคัดค้านรวมทั้งการจำกัดเสรีภาพ ค่าใช้จ่ายในการบังคับใช้กฎหมาย การเพิ่มจำนวนบัตรเสียหรือการไม่ลงคะแนน และการลงคะแนนมั่ว[36] ส่วนทางเลือกรวมทั้งการใช้บัตรเลือกตั้งสำหรับผู้ไม่สามารถไป ณ สถานที่เลือกตั้งมากขึ้น หรือวิธีอื่น ๆ ที่ทำให้ลงคะแนนเสียงได้ง่ายขึ้น รวมทั้งการลงคะแนนแบบอิเล็กทรอนิกส์ อำนวยความขัดแย้งทางชาติพันธุ์และศาสนาเพราะเหตุทางประวัติศาสตร์ รัฐหลายรัฐไม่เป็นเนื้อเดียวกันทางวัฒนธรรมหรือชาติพันธุ์ คืออาจจะมีการแบ่งกลุ่มที่ชัดเจนทางชาติพันธุ์ ทางภาษา ทางศาสนา หรือทางวัฒนธรรม โดยบางกลุ่มอาจจะเป็นปฏิปักษ์กันอย่างชัดเจน ดังนั้น ประชาธิปไตย ซึ่งโดยทฤษฎีเปิดให้มวลชลมีส่วนร่วมตัดสินใจ ก็เปิดให้ใช้กระบวนการทางการเมืองเพื่อจัดการศัตรู การล่มสลายของสหภาพโซเวียต และการเกิดประชาธิปไตยแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ในรัฐกลุ่มโซเวียต จึงตามด้วยสงครามในยูโกสลาเวียเดิม ในเขตคอเคซัส และในมอลโดวา อย่างไรก็ดี บางคนก็เชื่อว่า การล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์และการเพิ่มจำนวนรัฐประชาธิปไตย ก็ติดตามมาด้วยการลดจำนวนสงครามเบ็ดเสร็จ สงครามระหว่างรัฐ สงครามชาติพันธุ์ และสงครามปฏิวัติอย่างน่าทึ่ง โดยลดจำนวนผู้อพยพลี้ภัยและผู้ที่ถูกขับออกจากบ้านเรือนของตน (นับทั่วโลก ไม่จำกัดเพียงประเทศในกลุ่มโซเวียตเดิม) แต่แนวโน้มเช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่า มาจากการยุติสงครามเย็น หรือความหมดสภาพของสงครามเช่นนั้นเอง ซึ่งเป็นสงครามที่สหรัฐและสหภาพโซเวียตได้เป็นผู้ให้เชื้อโดยมาก[37]
ในหนังสือ โลกติดไฟ - การส่งออกประชาธิปไตยแบบตลาดเสรีได้ให้กำเนิดการเกลียดชังทางชาติพันธุ์และการไร้เสถียรภาพของโลกได้อย่างไร (World on Fire: How Exporting Free Market Democracy Breeds Ethnic Hatred and Global Instability) ศ. นิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเยลได้ยกประเด็นคือ
อำนวยระเบียบจุกจิกของราชการและกฎหมายข้อวิจารณ์ระบอบประชาธิปไตยที่คงยืนจากพวกอิสรนิยมและกษัตริย์นิยมก็คือ ระบบสนับสนุนให้ผู้แทนที่ได้รับเลือกเปลี่ยน/ออกกฎหมายโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะที่ทำอย่างน้ำท่วมป่า ซึ่งมองว่า เป็นอันตรายหลายอย่าง กฎหมายใหม่อาจจำกัดสิ่งที่เคยเป็นเสรีภาพส่วนบุคคล กฎหมายที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วทำให้คนพร้อมเชื่อฟังกฎหมายทั่วไปทำตามกฎหมายได้ยาก ซึ่งอาจเชื้อเชิญให้หน่วยบังคับกฎหมายต่าง ๆ ใช้อำนาจผิด ๆ การเพิ่มความซับซ้อนกฎหมายเรื่อย ๆ ตามที่อ้าง ขวางกฎธรรมชาติที่เรียบง่ายและเป็นจริงตลอดกาล แม้จะไม่มีมติในบรรดาผู้สนับสนุนแนวคิดนี้ว่า กฎธรรมชาติที่ว่านี้คืออะไร แต่ผู้สนับสนุนประชาธิปไตยก็ชี้ถึงระเบียบซับซ้อนจุกจิกของราชการและของกฎหมายที่เกิดขึ้นในระบอบเผด็จการ เช่นที่พบในรัฐคอมมิวนิสต์ก่อน ๆ ระบบราชการของประชาธิปไตยเสรีนิยมบ่อยครั้งถูกตำหนิว่า ชักช้าและซับซ้อนเมื่อต้องตัดสินใจ สนใจแค่เรื่องใกล้ ๆตามนิยามปัจจุบันแล้ว ระบอบจะอำนวยให้เปลี่ยนรัฐบาลได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสร้างข้อวิจารณ์ว่า รัฐบาลสนใจแต่เรื่องใกล้ ๆ เพราะภายใน 4-5 ปีก็จะเลือกตั้งใหม่ ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องหาวิธีชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งสนับสนุนให้ออกนโยบายที่ให้ประโยชน์ในระยะสั้น ๆ แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (หรือแก่นักการเมืองที่ทำประโยชน์ให้ตัวเอง) ก่อนจะเลือกตั้งครั้งต่อไป แทนนโยบายที่ไม่นิยมแต่มีประโยชน์ในระยะยาว แต่ข้อวิจารณ์นี้สมมุติว่า เป็นไปได้ที่จะพยากรณ์อนาคตระยะยาวของสังคม ซึ่งนักปรัชญาบางท่าน (เช่น Karl Popper) วิจารณ์ว่าเป็นแนวคิดแบบประวัติศาสตร์นิยม ซึ่งไม่ควรเชื่อถือ นอกจากเพราะการเลือกตั้งเป็นประจำ ความสนใจแต่เรื่องใกล้ ๆ อาจเป็นผลของการคิดร่วมกันเป็นกลุ่ม ยกตัวอย่างเช่น ลองคิดถึงการรณรงค์เพื่อนโยบายลดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมที่จะเพิ่มความว่างงานในระยะสั้น ๆ (ว่าจะให้ผ่านดีหรือไม่) แต่ความเสี่ยงเช่นนี้ก็มีทั่วไปในระบอบการปกครองอื่น ๆ ด้วย นักทุนนิยมแบบอนาธิปไตยคนหนึ่ง (Hans-Herman Hoppe) อธิบายเหตุของการมองแค่ใกล้ ๆ ของรัฐบาลประชาธิปไตย ว่าเป็นการเลือกทำอย่างสมเหตุผลของกลุ่มผู้มีอำนาจปัจจุบัน ในการหาผลประโยชน์เกินควรจากทรัพยากรธรรมชาติที่จำกัด เพื่อให้สมาชิกของกลุ่มได้ประโยชน์มากที่สุด เขาเทียบกันราชาธิปไตยแบบสืบพระราชสกุล ที่พระราชาจะทรงสนใจรักษาคุณค่าของสมบัติ (คือ ประเทศ) ของพระองค์ในระยะยาว ซึ่งถ่วงดุลพระประสงค์ที่จะได้รายได้มากที่สุดในระยะสั้น เขาให้หลักฐานคือบันทึกอัตราภาษีตามประวัติศาสตร์ของพระราชตระกูลอังกฤษบางสกุลที่ 20-25%[39] เทียบกับประเทศประชาธิปไตยเสรีนิยมบางประเทศที่ 30-60% ซึ่งดูจะยืนยันเหตุผลนี้[40] ประชาชนไม่มีอิทธิพล จึงไม่รู้เรื่องการเมืองทฤษฎีทางเลือกของสาธารณชน (Public choice theory) เป็นสาขาหนึ่งของเศรษฐศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งการตัดสินใจของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง นักการเมือง และข้าราชการจากมุมมองของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ งานหนึ่งศึกษาปัญหาว่า ผู้ลงคะแนนเสียงแต่ละคนมีอิทธิพลน้อยมาก และดังนั้น อาจไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับประเด็นปัญหาทางการเมืองต่าง ๆ อย่างสมเหตุผล เพราะความพยายามเพื่อจะรู้มีค่าสูงกว่าประโยชน์ที่ได้จากความรู้ [ต้องการอ้างอิง] ซึ่งอาจทำให้กลุ่มรณรงค์กฎหมายเพื่อผลประโยชน์เฉพาะเรื่อง ได้การสนับสนุนจากรัฐบาลหรือได้กฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อตนแต่เป็นความเสียหายต่อสังคม[ต้องการอ้างอิง] อย่างไรก็ดี กลุ่มเช่นนี้ก็อาจมีอิทธิพลเท่าหรือมากกว่าในสังคมที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย[ต้องการอ้างอิง]
นิยมเสียงข้างมาก สามารถกดขี่ชนกลุ่มน้อย
เผด็จการโดยเสียงข้างมากเป็นแนวคิดแสดงความกลัวว่า รัฐบาลประชาธิปไตยโดยตรง ซึ่งออกกฎหมายสะท้อนความเห็นของคนส่วนมาก สามารถกดขี่ข่มเหงคนส่วนน้อยกลุ่มหนึ่งได้โดยเฉพาะ เช่นคนที่มั่งคั่ง มีทรัพย์สิน มีอำนาจ หรือคนส่วนน้อยทางด้านเชื้อชาติ ทางชาติพันธุ์ ทางชนชั้น หรือทางสัญชาติ โดยทฤษฎีก็คือ คนส่วนมากหมายถึงคนส่วนใหญ่ของประชาชนประเทศนั้น ๆ ทั้งหมด แต่ถ้าไม่บังคับโดยกฎหมายให้ลงคะแนนออกเสียง ก็จะเป็นส่วนมากของคนที่เลือกออกเสียง ดังนั้น ถ้ากลุ่มผู้ออกเสียงเป็นคนกลุ่มน้อย ก็จะสามารถกดขี่คนกลุ่มน้อยอีกกลุ่มหนึ่งในนามของคนกลุ่มมาก แต่ว่า เหตุผลเช่นนี้สามารถอ้างได้ในประชาธิปไตยทุกประเภท เทียบกับระบอบประชาธิปไตยโดยตรงที่บังคับให้ประชาชนทุกคนลงคะแนนเสียง ในระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม ความมั่งคั่งและอำนาจมักรวมอยู่ในมือของชนชั้นอภิสิทธิ์ส่วนน้อย ผู้มีอำนาจอย่างสำคัญครอบงำกระบวนการทางการเมือง ดังนั้นจึงอ้างว่า ในประเทศประชาธิปไตยแบบมีตัวแทน คนกลุ่มน้อยนี้เป็นผู้ออกนโยบายโดยมาก และอาจกดขี่คนกลุ่มน้อย หรือแม้แต่กดขี่คนกลุ่มมากในนามของคนกลุ่มมากเอง ประเทศเผด็จการโดยพฤตินัยหลายประเทศก็บังคับให้ลงคะแนนเลือกตั้งที่ "ไม่เสรีและไม่ยุติธรรม" เพื่อเพิ่มความชอบธรรมของระบอบการปกครอง เช่น เกาหลีเหนือ[41][42] ตัวอย่างของคนกลุ่มน้อยที่ถูกกดขี่โดยหรือในนามของคนกลุ่มมากอาจรวมทั้ง
ส่วนผู้สนับสนุนแสดงว่า มีมาตรการความปลอดภัยหลายอย่างในรัฐประชาธิปไตยเพื่อป้องกัน "เผด็จการโดยเสียงข้างมาก" เช่น การมีกฎรัฐธรรมนูญที่ป้องกันสิทธิของประชาชนทั้งหมด โดยทั่วไปแล้ว การเปลี่ยนรัฐธรรมนูญจะต้องได้การตกลงจากเกินกว่าครึ่งของผู้แทน ได้การตกลงจากตุลาการและลูกขุนที่เห็นด้วยว่ามาตรฐานทางหลักฐานและกระบวนการได้ทำอย่างสมบูรณ์ ได้การลงคะแนนเสียงเห็นด้วยสองครั้งโดยผู้แทนจากการเลือกตั้งสองครั้ง หรือบางครั้งได้การออกเสียงประชามติ และบ่อยครั้ง ข้อแม้เหล่านี้ต้องทำอย่างผสม การแยกใช้อำนาจเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ก็จะทำให้คนส่วนน้อยทำตามอำเภอใจได้ยากขึ้น ซึ่งหมายความว่า แม้คนส่วนมากจะยังสามารถบังคับคนส่วนน้อยอย่างถูกกฎหมาย (โดยอาจจะไม่ถูกต้องตามจริยธรรม) แต่คนส่วนน้อยนี้จะเป็นคนกลุ่มเล็กมากโดยทางปฏิบัติ เพราะการเร้าให้คนส่วนใหญ่ตกลงร่วมใจปฏิบัติการเยี่ยงนั้นเป็นเรื่องยาก เหตุผลอีกอย่างก็คือ คนส่วนมากและคนส่วนน้อยอาจไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกันในประเด็นต่าง ๆ กัน คือ บุคคลอาจจะเห็นร่วมกับคนส่วนมากในบางเรื่อง เห็นร่วมกับคนส่วนน้อยในบางเรื่อง และความเห็นก็อาจเปลี่ยนได้ ดังนั้น สมาชิกของคนส่วนมากอาจจำกัดการกดขี่คนส่วนน้อย เพราะตัวอาจจะเป็นคนส่วนน้อยเองในอนาคต เหตุผลสามัญที่สามก็คือ แม้จะเสี่ยง การปกครองโดยเสียงข้างมากก็ยังดีกว่าระบบอื่น ๆ และดีกว่าเผด็จการโดยคนกลุ่มน้อย อนึ่ง ปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าวก็ล้วนสามารถเกิดในรัฐที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยได้ โดยมีปัญหาเพิ่มว่า คนกลุ่มน้อยสามารถกดขี่ข่มเหงคนส่วนมากได้ ผู้สนับสนุนประชาธิปไตยอ้างว่า หลักฐานเชิงประสบการณ์ทางสถิติแสดงอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลประชาธิปไตยในระดับสูงกว่า ใช้ความรุนแรงและการสังหารหมู่ภายในประเทศน้อยกว่า ซึ่งบางครั้งเรียกว่ากฎของรัมเมล (Rummel's Law) อันอ้างว่า ประชาชนมีเสรีภาพแบบประชาธิปไตยยิ่งน้อยเท่าไร ผู้ปกครองก็มีโอกาสฆ่าประชาชนสูงยิ่งขึ้นเท่านั้น สร้างเสถียรภาพทางการเมืองเหตุผลอีกอย่างหนึ่งของประชาธิปไตยก็คือ เป็นระบบที่ประชาชนสามารถเปลี่ยนผู้ดำเนินการของรัฐได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนมูลฐานทางกฎหมายเกี่ยวกับรัฐบาล ดังนั้น ระบบประชาธิปไตยจึงสามารถลดความไม่แน่นอนและความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และให้ความมั่นใจแก่ประชาชนได้ว่า แม้ตนอาจจะไม่เห็นด้วยกับนโยบายปัจจุบัน แต่ก็จะได้โอกาสเปลี่ยนคนที่อยู่ในอำนาจ หรือเปลี่ยนนโยบายที่ตนไม่เห็นด้วย ซึ่งดีกว่าระบบที่ต้องใช้ความรุนแรงเปลี่ยนสถานภาพ บางคนก็คิดว่า เสถียรภาพทางการเมืองอาจเกินไปถ้ากลุ่มที่อยู่ในอำนาจเป็นพวกเดียวกันเป็นเวลานาน แต่ว่า นี่ก็สามัญกว่าในระบบที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ลักษณะที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของประชาธิปไตยเสรีนิยมก็คือ ผู้ต่อต้านระบอบ (คือ ผู้ต้องการเลิกล้มระบอบ) ไม่ค่อยชนะการเลือกตั้ง ซึ่งผู้สนับสนุนใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่า ประชาธิปไตยเสรีนิยมมีเสถียรภาพในตัว และจะล้มล้างได้ก็ต่อเมื่อใช้อำนาจนอกกฎหมาย ในขณะที่ผู้คัดค้านอ้างว่า ระบบตั้งซ้อนทับบุคคลผู้ไม่เห็นด้วยจนขยับไม่ได้ แม้จะมีการอ้างว่าระบอบมีความเป็นกลาง ในอดีต เคยกลัวกันว่า ผู้นำที่ต้องการอำนาจเผด็จการและสามารถได้รับเลือกตั้ง อาจชักใยระบบได้ง่าย ๆ แต่ว่า จำนวนรัฐประชาธิปไตยเสรีนิยมที่เลือกนักเผด็จการขึ้นสู่อำนาจมีน้อยมาก และเมื่อเกิดขึ้น ก็มักจะเกิดหลังวิกฤติการณ์สำคัญทีทำให้คนจำนวนมากไม่มั่นใจในระบบ หรือเกิดในประชาธิปไตยที่เพิ่งตั้งขึ้นหรือยังดำเนินการได้ไม่ดี ตัวอย่างรวมทั้ง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และนโปเลียน ผู้ตอนแรกได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของจักรวรรดิฝรั่งเศสที่สอง แล้วในที่สุดก็จักรพรรดิ ไม่มีประสิทธิผลช่วงสงครามโดยนิยาม ประชาธิปไตยเสรีนิยมหมายความว่าอำนาจไม่ได้รวมศูนย์ ดังนั้น นี่อาจเป็นข้อเสียเปรียบในช่วงสงคราม เมื่อจำเป็นต้องตอบสนองอย่างรวดเร็วและเป็นใจเดียวกัน ฝ่ายนิติบัญญัติปกติจะต้องยินยอมก่อนจะเริ่มยุทธการรุกรานทางทหาร แม้ว่าบางที ฝ่ายบริหารก็สามารถทำได้แต่ต้องแจ้งฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ถ้าถูกโจมตี ปกติไม่จำเป็นต้องได้ความยินยอมเพื่อเริ่มยุทธการป้องกันตัว อนึ่ง ประชาชนอาจจะลงคะแนนเสียงไม่ให้มีการเกณฑ์ทหาร อย่างไรก็ดี งานวิจัยกลับแสดงว่า ประชาธิปไตยมีโอกาสชนะสงครามมากกว่ารัฐที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย คำอธิบายหนึ่งยกเหตุให้ "ความโปร่งใสของระบบการปกครองและเสถียรภาพของสิ่งที่ต้องการ เมื่อกำหนดได้ ระบอบประชาธิปไตยจะสามารถร่วมมือกับพันธมิตรในการทำสงครามได้ดีกว่า" งานวิจัยอื่นยกเหตุให้แก่การระดมทรัพยากรได้ดีกว่า หรือการเลือกสงครามที่มีโอกาสชนะสูง[47] นักวิชาการทางรัฐศาสตร์คู่หนึ่งให้ข้อสังเกตว่า การเน้นความเป็นตัวของตัวเองในสังคมประชาธิปไตยหมายความว่า ทหารจะต่อสู้โดยมีความริเริ่มและความเป็นผู้นำดีกว่า[48] เพราะว่า นายทหารในระบอบเผด็จการมักจะแต่งตั้งตามความจงรักภักดีทางการเมือง ไม่ใช่สมรรถภาพทางการทหาร และอาจมาจากชนชั้นที่เล็กมาก หรือจากกลุ่มศาสนา/ชาติพันธุ์ที่สนับสนุนการปกครอง ผู้นำของรัฐที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยอาจตอบสนองอย่างรุนแรงต่อคำวิจารณ์หรือความไม่เชื่อฟัง ซึ่งอาจทำให้ทั้งพลทหารและนายทหารกลัวที่จะคัดค้านหรือทำการโดยไม่ได้รับคำสั่งโดยตรง การไร้ความริเริ่มเช่นนี้ อาจเสียหายเป็นพิเศษในสงครามยุคปัจจุบัน ทหารฝ่ายตรงข้ามอาจจะยอมแพ้อย่างง่าย ๆ กว่าต่อรัฐประชาธิปไตย เพราะหวังการปฏิบัติที่ดีโดยเปรียบเทียบได้มากกว่า เปรียบเทียบกับนาซีเยอรมนีที่ประหารทหารโซเวียต 2 ใน 3 ที่จับได้ และเกาหลีเหนือที่ประหารทหารอเมริกันที่จับได้ในช่วงสงครามเกาหลีถึง 38% มีข้อมูลและการแก้ปัญหาที่ดีกว่าระบอบประชาธิปไตยอาจให้ข้อมูลเพื่อออกนโยบายได้ดีกว่า เพราะว่า ระบอบเผด็จการอาจเพิกเฉยข้อมูลที่ไม่ชอบใจได้ง่ายกว่า แม้ข้อมูลจะเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่ามีปัญหา ระบอบประชาธิปไตยยังมีระเบียบการเปลี่ยนผู้นำหรือนโยบายซึ่งไร้ประสิทธิภาพ ดังนั้น ในระบอบอัตตาธิปไตย ปัญหาอาจดำเนินไปได้ยาวกว่า และวิกฤติการณ์ในรูปแบบต่าง ๆ อาจสามัญกว่า[49] ช่วยลดคอร์รัปชันงานวิจัยของธนาคารโลกแสดงว่า หลักการเมืองสำคัญอย่างยิ่งยวดเพื่อจำกัดคอร์รัปชัน หลักรวมทั้ง ระบอบประชาธิปไตยในระยะยาว รัฐสภา ความเสถียรภาพทางการเมือง และเสรีภาพของสื่อข่าว ซึ่งล้วนแต่สัมพันธ์กับคอร์รัปชันที่น้อยกว่า[50] กฎหมายเสรีภาพในการได้ข้อมูลข่าวสาร เป็นสิ่งสำคัญต่อภาระรับผิดชอบและความโปร่งใสของรัฐ ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายสิทธิเพื่อได้ข้อมูล (Right to Information Act) ของอินเดีย "ได้ก่อให้เกิดขบวนการของมวลชนในประเทศ ซึ่งกำลังทำระบบราชการที่บ่อยครั้งทุจริตให้พ่ายแพ้อย่างราบคาบ แล้วเปลี่ยนดุลอำนาจโดยสิ้นเชิง"[51] การก่อการร้ายน้อยกว่างานศึกษาหลายงาน[ต้องการอ้างอิง] ได้สรุปว่า การก่อการร้ายสามัญที่สุดในประเทศที่มีเสรีภาพทางการเมืองในระดับกลาง ๆ โดยหมายถึงประเทศที่กำลังเปลี่ยนจากระบอบเผด็จการไปสู่ประชาธิปไตย เพราะประเทศที่มีรัฐบาลเผด็จการที่เข้มแข็ง ตลอดจนรัฐที่ให้เสรีภาพทางการเมืองมากกว่า มีก่อการร้ายน้อยกว่า[52] เศรษฐกิจดีกว่า และวิกฤติการณ์ทางการเงินน้อยกว่าโดยสถิติแล้ว รัฐประชาธิปไตยสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ต่อประชากรที่สูงกว่า อย่างไรก็ดี ก็มีข้อขัดแย้งว่า ควรให้เครดิตเรื่องนี้ต่อระบอบประชาธิปไตยได้แค่ไหน คือ ข้อสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ ประชาธิปไตยจะแพร่หลายก็ต่อเมื่อเกิดการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมและการเริ่มระบบทุนนิยม ในนัยตรงกันข้าม การปฏิวัติทางอุตสาหกรรมได้เกิดก่อนในอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในเวลานั้นภายในอาณาเขตของตน (แม้ว่า ประชาธิปไตยจะจำกัดมากและไม่ได้ใช้ในอาณานิคมซึ่งเป็นแหล่งสร้างความร่ำรวย) งานทางสถิติหลายงานสนับสนุนทฤษฎีว่า ทุนนิยมระดับสูงกว่า วัดโดยวิธีต่าง ๆ เช่น ดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจ (Index of Economic Freedom) แบบต่าง ๆ ซึ่งงานวิจัยที่เป็นอิสระเป็นร้อย ๆ งานได้ใช้[53] เพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพิ่มความมั่งคั่งโดยทั่วไป ลดความยากจน และเป็นเหตุต่อการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย แต่นี่เป็นความโน้มเอียงทางสถิติ ดังนั้น จึงมีข้อยกเว้นเป็นกรณี ๆ เช่น ประเทศมาลี ซึ่งจัดว่า "เสรี" โดยฟรีดอมเฮาส์ แต่กลับเป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด หรือกาตาร์ซึ่งโต้แย้งได้ว่ามีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อประชากรสูงสุด แต่ไม่เคยเป็นประชาธิปไตย ยังมีงานศึกษาอื่น ๆ ที่แสดงว่า ประชาธิปไตยเพิ่มเสรีภาพทางเศรษฐกิจ และมีบางงานที่ไม่พบผลลบหรือพบผลลบที่น้อยมาก[54][55][56][57][58][59] ข้อโต้แย้งอย่างหนึ่งก็คือ ประเทศต่าง ๆ เช่น สวีเดนและแคนาดาปัจจุบันมีคะแนนต่ำกว่าชิลีและเอสโตเนียในเรื่องเสรีภาพทางเศรษฐกิจ แต่ทั้งสวีเดนและแคนาดากลับมี GDP ต่อประชากรที่สูงกว่า แต่นี่เป็นความเข้าใจผิด เพราะงานศึกษาต่าง ๆ แสดงผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และดังนั้น GDP ต่อประชากรในอนาคตจะสูงกว่าถ้ามีเสรีภาพทางเศรษฐกิจที่สูงกว่า อนึ่ง ตามดัชนี สวีเดนและแคนาดาเป็นประเทศทุนนิยมระดับสูงสุดในโลก เนื่องจากปัจจัยเช่นหลักนิติธรรม สิทธิทางทรัพย์สินที่เข้มแข็ง และข้อจำกัดต่อการค้าเสรีที่น้อยมาก ส่วนผู้คัดค้านอาจอ้างว่า ดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจและวิธีการอื่น ๆ ไม่ได้วัดระดับทุนนิยมจริง ๆ บางท่านอ้างว่า เศรษฐกิจที่เติบโตจากการให้อำนาจแก่ประชาชน จะช่วยเปลี่ยนประเทศต่าง ๆ เช่นคิวบา ให้เป็นประชาธิปไตย แต่บางคนก็โต้แย้งเรื่องนี้ คือ แม้การเติบโตทางเศรษฐกิจจะได้ก่อให้เกิดประชาธิปไตยในอดีต แต่ก็อาจจะไม่เป็นอย่างนี้ในอนาคต เพราะผู้เผด็จการอาจจะรู้จักเลี้ยงเศรษฐกิจให้เติบโตโดยไม่ให้เสรีภาพทางการเมืองเพิ่มขึ้น[60][61] การส่งออกน้ำมันหรือแร่ระดับสูงสัมพันธ์กับระบอบการปกครองที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างมีกำลัง ซึ่งเป็นทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในตะวันออกกลาง คือผู้เผด็จการที่ร่ำรวยเยี่ยงนี้สามารถจับจ่ายเพื่อความมั่นคงและเพื่อให้ประโยชน์ที่ลดการจลาจลของประชาชน ดังนั้น ความมั่งคั่งเช่นนี้จะไม่ติดตามด้วยการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม แต่ในเศรษฐกิจที่เจริญเพราะเหตุอื่น ความมั่งคั่งอาจเปลี่ยนแปลงสังคม[62] งานวิเคราะห์อภิมานปี 2549 พบว่า ระบอบประชาธิปไตยไม่มีผลโดยตรงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีผลโดยอ้อมที่สำคัญและมีกำลัง คือ ประชาธิปไตยสัมพันธ์กับการสะสมทรัพย์ที่สูงกว่า ภาวะเงินเฟ้อที่น้อยกว่า เสถียรภาพทางการเมืองที่ดีกว่า และดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจที่สูงกว่า แต่ก็มีหลักฐานด้วยว่ามันสัมพันธ์กับรัฐบาลที่ใหญ่กว่า และกับข้อจำกัดต่อการค้าระหว่างประเทศมากกว่า[63] ถ้าไม่นับเอเชียตะวันออก ใน 45 ปีที่ผ่านมา รัฐประชาธิปไตยที่ยากจนมีเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น 50% เร็วกว่ารัฐที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย เช่น ประเทศประชาธิปไตยในเขตทะเลบอลติก บอตสวานา คอสตาริกา กานา เซเนกัล ได้เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วกว่าประเทศที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยรวมทั้งแองโกลา ซีเรีย อุซเบกิสถาน และซิมบับเว[49] ในความวิบัติทางการเงินที่แย่ที่สุด 80 เหตุการณ์ เพียงแค่ 5 เหตุการณ์เท่านั้นที่เกิดในประเทศประชาธิปไตย และเช่นกัน รัฐประชาธิปไตยที่ยากจนมีโอกาสครึ่งหนึ่งของรัฐที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ GDP ต่อประชากรจะลดลง 10% ภายในปีเดียว[49] มีทุพภิกขภัยและผู้อพยพลี้ภัยน้อยกว่าศ. อมรรตยะ เสน ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ให้ข้อสังเกตว่า รัฐประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพไม่เคยมีปัญหาทุพภิกขภัยขนาดใหญ่[64] วิกฤติการณ์ผู้อพยพลี้ภัยได้เกิดในรัฐที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยเกือบทั้งหมด เมื่อตรวจดูกรณีผู้อพยพลี้ภัยภายใน 20 ปีที่ผ่านมา โดย 87 กรณีแรกเกิดในอัตตาธิปไตย[49] พัฒนามนุษย์ได้ดีกว่า ยากจนน้อยกว่า เป็นต้นประชาธิปไตยสัมพันธ์กับค่าดัชนีการพัฒนามนุษย์ที่สูงกว่า และกับค่าดัชนีความยากจนมนุษย์ที่ต่ำกว่า ประชาธิปไตยมีโอกาสให้ระบบการศึกษาที่ดีกว่า การคาดหมายคงชีพที่ยืนนานกว่า จำนวนเสียชีวิตทารกที่ต่ำกว่า น้ำที่ดื่มได้ และบริการสุขภาพที่ดีกว่าระบอบเผด็จการ ซึ่งไม่ใช่จากการช่วยเหลือของต่างประเทศ หรือการให้งบประมาณสูงกว่าเทียบกับ GDP แต่เป็นการบริหารทรัพยากรที่มีอยู่ได้ดีกว่า[49] ตัวบ่งชี้ทางสุขภาพหลายตัว (การคาดหมายคงชีพ จำนวนเสียชีวิตของทารก จำนวนเสียชีวิตของมารดา) มีค่าสหสัมพันธ์และนัยสำคัญทางสถิติกับประชาธิปไตย เหนือกว่ากับ GDP ต่อประชากร กับขนาดของรัฐบาล หรือกับความไม่เสมอภาคกันทางรายได้[65] ในประเทศคอมมิวนิสต์ก่อน ๆ หลังจากที่เสื่อมลงในระยะต้น ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดได้เพิ่มการคาดหมายคงชีพมากที่สุด[66] ทฤษฎีสันติภาพเหตุประชาธิปไตยงานวิจัยหลากหลายที่ใช้ข้อมูลต่าง ๆ กัน นิยามต่าง ๆ กัน และการวิเคราะห์ทางสถิติต่าง ๆ กัน ต่างพบหลักฐานสนับสนุน ทฤษฎีสันติภาพเหตุประชาธิปไตย (Democratic peace theory) [ต้องการอ้างอิง] งานศึกษาเบื้องต้นสุดพบว่า รัฐประชาธิปไตยเสรีนิยมไม่เคยทำสงครามกับกันและกัน งานวิจัยต่อ ๆ มาได้ขยายทฤษฎีนี้โดยพบว่า รัฐประชาธิปไตยมีจำนวนข้อพิพาทระหว่างรัฐที่ใช้กำลังทหารระดับ MID (ที่เป็นเหตุให้เสียชีวิตน้อยกว่า 1,000 คนในการสู้รบ) น้อยกว่า อนึ่ง MID ที่เกิดระหว่างรัฐประชาธิปไตยเป็นเหตุแห่งความตายน้อยกว่า และรัฐประชาธิปไตยก็มีสงครามกลางเมืองน้อยกว่า[67][68] มีข้อโต้แย้งหลายอย่างต่อทฤษฎีนี้ รวมทั้งการมีหลักฐานปฏิเสธอย่างน้อยก็เท่า ๆ กับหลักฐานที่ยืนยันทฤษฎี, มีกรณีที่ต่างจากปกติถึง 200 กรณี, ไม่ปฏิบัติต่อ "ประชาธิปไตย" โดยเป็นแนวคิดหลายมิติ, และสหสัมพันธ์ไม่ได้หมายความว่าเป็นเหตุ[69] การสังหารหมู่โดยรัฐน้อยกว่าศ. อเมริกันคนหนึ่ง (ผู้สนับสนุนทฤษฎีสันติภาพเหตุประชาธิปไตย) อ้างว่า รัฐบาลประชาธิปไตยสังหารหมู่ประชาชนน้อยกว่า[70] และเช่นกัน ก็ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และสังหารหมู่เหตุการเมือง น้อยกว่าด้วย[71] ดูเพิ่มเชิงอรรถและอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|