คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ
คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เป็นคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นจากการสั่งการของเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ในการประชุมคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63 นัดแรก เพื่อขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ภายในประเทศ ตามนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ ของพรรคเพื่อไทย โดยมีเศรษฐาในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ, แพทองธาร ชินวัตร เป็นรองประธานกรรมการ และสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยเศรษฐาได้ออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 230/2566 แต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2566[1] และมีการประชุมนัดแรกเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม[2] นอกจากนี้ยังมีการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ในด้านต่าง ๆ นำเสนอต่อคณะกรรมการชุดใหญ่อีกด้วย โดยมีแพทองธารเป็นประธานกรรมการ[3] และตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2567 ได้มอบหมายให้สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง เป็นหน่วยงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย[4] อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติชุดเดิมสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2567 เนื่องจากเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[5] ต่อมาเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนถัดมา ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 367/2567 แต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติชุดที่ 2 โดยแพทองธารในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ขยับขึ้นเป็นประธานกรรมการแทน[6] ทั้งนี้ หลังจากพระราชบัญญัติส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ พ.ศ. ... มีผลบังคับใช้ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติจะแปรสภาพเป็น คณะกรรมการนโยบายส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์แห่งชาติ และกำกับดูแลสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติจะรักษาการคณะกรรมการนโยบายส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์แห่งชาติต่อไป จนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์แห่งชาติแล้วเสร็จ จึงจะถือว่าคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติถูกยุบโดยสมบูรณ์[7] วัตถุประสงค์คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ จัดตั้งขึ้นมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดเป้าหมายการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล (1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์) บูรณาการการดำเนินงานของส่วนราชการและภาคเอกชนให้มีประสิทธิภาพและมีความสอดคล้องกับการพัฒนาศักยภาพของประเทศไทยไปสู่นานาประเทศ อำนาจหน้าที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติมีอำนาจหน้าที่คือ
รายชื่อคณะกรรมการชุดที่ 1คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติในชุดแรก มีกรรมการทั้งสิ้น 33 คน ได้แก่
ชุดที่ 2คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติในชุดที่ 2 มีกรรมการทั้งสิ้น 40 คนดังนี้ การดำเนินงานคณะกรรมการชุดที่ 1เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2567 มีการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบเรื่องสำคัญทั้งหมด 5 เรื่องได้แก่
เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2567 มีการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2567 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายว่าในแต่ละสาขาควรเตรียมความพร้อม สำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมและคน ในช่วงของต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ เพื่อให้ครอบคลุมถึงประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มต้นต้องการฝึกฝนหรือเรียนรู้เพื่อสร้างอาชีพต่อไปในอนาคต โดยได้มอบนโยบายในการทำงานจำนวน 3 ข้อ รวมถึงที่ประชุมยังรับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติเพิ่มเติม และรับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบในหลักการและกรอบวงเงินงบประมาณการจัดประชุมนานาชาติด้านซอฟต์พาวเวอร์ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ รวมทั้งเห็นชอบหลักการข้อเสนอและกรอบวงเงินงบประมาณในโครงการของอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์เป้าหมายทั้ง 11 สาขา ประจำปี พ.ศ. 2567 โดยมอบหมายให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางฯ ต่อไป[8] คณะกรรมการชุดที่ 2ในวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ได้มีการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ที่ประชุมเห็นชอบเรื่องของการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการการขอจัดสรรงบประมาณการพระราชบัญญัติส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (พ.ร.บ. THACCA) และการจัดประชุมซอฟต์พาวเวอร์ฟอรัม รวมถึงมีการอนุมัติงบประมาณสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์ ละคร ซีรีส์ สารคดี และแอนิเมชันไทย วงเงิน 220 ล้านบาท ในปี 2568[9] คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 268/2566 เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2566 แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง ชื่อว่า คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่ผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ในด้านต่าง ๆ ให้มีความคืบหน้าแล้วนำเสนอต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติให้พิจารณา ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้มีแพทองธาร ชินวัตร เป็นประธาน, สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นรองประธาน และพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นที่ปรึกษาและกรรมการ พร้อมด้วยกรรมการอีก 46 คน รวมเป็น 49 คน เช่น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม, ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม, อธิบดีกรมการปกครอง, อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน, ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย, ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น โดยมีการประชุมนัดแรกเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2566 เวลา 14:00 น. ที่ ห้องประชุมวิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ[3] และจะประชุมเป็นประจำทุกเดือน ๆ ละ 1 ครั้ง อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติชุดเดิมสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2567 เนื่องจากเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[5] ต่อมาเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนถัดมา ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 368/2567 แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติชุดที่ 2 โดยมีนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นประธานกรรมการ[6] รายชื่อคณะกรรมการชุดที่ 1คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติในชุดแรก มีกรรมการทั้งสิ้น 52 คน ได้แก่
ชุดที่ 2คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ชุดที่ 2 มีกรรมการทั้งสิ้น 63 คนดังนี้
การดำเนินงานคณะกรรมการชุดที่ 1เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2566 มีมติเห็นชอบในหลักการที่หน่วยงานรับผิดชอบโครงการ กิจกรรม และอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ของไทยจำนวน 11 ด้านได้เสนอ โดยใช้งบประมาณ 5,164 ล้านบาท ดังนี้
โดยจะมีการทบทวนงบประมาณที่ใช้ร่วมกับสำนักงบประมาณภายในวันที่ 14 ธันวาคม ก่อนส่งให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติพิจารณาอีกครั้งในวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2567[10][11] ต่อมาเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2567 มีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาทั้งหมด 3 เรื่อง คือ การแก้ไขกระบวนการพิจารณาเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ การจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ในอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์บางด้าน และการเสนอร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ พ.ศ. ... เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 26 และวุฒิสภาไทย ชุดที่ 13 ในช่วงเดือนสิงหาคม–กันยายน พ.ศ. 2567 เพื่อจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (THACCA) ต่อมาเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2567 กมลนาถ องค์วรรณดี ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ด้านแฟชั่นได้โพสต์หนังสือลาออกจากตำแหน่ง พร้อมกับคณะอนุกรรมการทั้งคณะอีก 24 คน โดยให้มีผลในวันที่ 1 กุมภาพันธ์[12] ทำให้เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ได้ระบุว่า จะมีการตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ด้านแฟชั่นชุดใหม่อีก 25 คนในวันที่ 9 กุมภาพันธ์[13] ต่อมาเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 มีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2567 ซึ่งที่ประชุมมีมติแต่งตั้งให้ อัจฉรา อัมพุช รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เป็นกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ด้านแฟชั่น แทนตำแหน่งที่ว่าง และมอบหมายให้เสนอชื่อประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ด้านแฟชั่นคนใหม่ รวมถึงแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ด้านแฟชั่นชุดใหม่ รวมถึงมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านศิลปะเพิ่มเติมในสัดส่วนศิลปะการแสดง จำนวน 4 คน[14] ต่อมาเมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2567 มีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 3/2567 โดยนายแพทย์สุรพงษ์ซึ่งเป็นรองประธานกรรมการ ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมแทนแพทองธารที่ติดภารกิจ ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการในด้านอาหาร ดนตรี และกีฬาเพิ่มเติม[15] นอกจากนี้ ยังกำหนดกรอบงบประมาณที่ใช้สนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ โดยเฉพาะด้านภาพยนตร์ ซึ่งมุ่งเน้นสร้างผู้ผลิตหน้าใหม่ สำหรับอนาคตอันใกล้ในภาคอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จะได้รับงบประมาณจากรัฐบาลสนับสนุนตัวโครงสร้างของภาพยนตร์ จึงขอให้ผู้ผลิตทั้งรายใหม่และรายเก่าที่อยู่ในภาคเอกชน เตรียมนำเสนอโครงการภาพยนตร์ ทั้งในแบบ Pre-Pro-Post หรือ ในแบบ Post Production ซึ่งทางรัฐบาลจะมีกรอบงบประมาณเตรียมไว้ให้ หากผ่านการพิจารณาก็จะได้รับงบฯส่วนนี้ในการพัฒนาภาพยนตร์ รวมถึงยังมีการรายงานความคืบหน้าการจัดงาน Maha Songkran World Water Festival นอกจากนี้ยังมีการตั้งคณะอนุกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ประจำจังหวัดเป็นครั้งแรก โดยเริ่มต้นจากจังหวัดนครราชสีมาซึ่งมีความพร้อมก่อน[16] ต่อมาเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567 มีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 4/2567 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาแต่งตั้งอนุกรรมการเพิ่มเติม ได้แก่ด้านหนังสือ 5 คน และด้านออกแบบ 2 คน[17] ต่อมาเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 มีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 5/2567 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านแฟชั่นชุดใหม่ จำนวน 17 คน พร้อมคณะที่ปรึกษา จำนวน 3 คน รวม 20 คน นอกจากนี้ยังพิจารณาแต่งตั้งอนุกรรมการเพิ่มเติม ได้แก่ด้านหนังสือ 2 คน ด้านดนตรี 2 คน และด้านเกม 1 คน[18] นอกจากนี้ยังรับทราบความคืบหน้าหลักสูตร 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ ของอุตสาหกรรมแฟชั่น ภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์ และรับทราบการจัดงานทักก้า สแปลช การประชุมนานาชาติด้านซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power Forum) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 28–30 มิถุนายน 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์[19] คณะกรรมการชุดที่ 2ในวันที่ 31 ตุลาคม 2567 ได้มีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 (ครั้งที่ 8 ถ้ารวมทั้ง 2 ชุด) เพื่อติดตามความคืบหน้าของการดำเนินโครงการภายใต้นโยบาย One Family One Softpower (OFOS) และความคืบหน้าการดำเนินการในโครงการต่าง ๆ นอกจากนี้ยังติดตามความคืบหน้าโครงการตามงบประมาณปี 2567 ที่ได้รับการจัดสรรทั้งสิ้น 635 ล้านบาท ขณะที่งบประมาณปี 2568 ได้รับการจัดสรรทั้งสิ้น 2342 ล้านบาท รวมถึงยังมีการนำเสนอรายละเอียดการจัดงาน Bangkok Illumination และยังมีการนำเสนอการจัดงานเทศกาลไทยในต่างประเทศ ซึ่งกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้นำเสนอว่า กระทรวงการต่างประเทศจะได้มีการรีแบรนด์ Thailand Festival ใหม่ทั้งหมด โดยที่จะทำให้การจัดงาน Thailand Festival ในต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา จีน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้มีการจัดงานที่มีการนำเสนอซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยอย่างเป็นระบบ ทำให้เกิดความประทับใจ และสร้างรายได้ มีการซื้อขาย และมีความนิยมต่อเนื่อง[20] คณะอนุกรรมการบุคคลที่มีชื่อเสียงในคณะอนุกรรมการ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น |