สมพงษ์ อมรวิวัฒน์
สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ (เกิด 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2484) ที่ปรึกษาคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย, อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ เขต 5[1]อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดชลบุรี เขต1 และอดีตผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อธรรม อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบสัดส่วน สังกัดพรรคพลังประชาชน อดีตรองหัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม[2] และอดีตแกนนำกลุ่ม 16[3] ประวัติสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เกิดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2484 เป็นน้องชายของพลตำรวจเอก สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจและพี่ของพลตำรวจเอก สมบัติ อมรวิวัฒน์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ สมพงษ์สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ จบปริญญาตรีทางด้านบริหารธุรกิจ ที่ Curry College, Milton, Massachusetts, U.S. และจบปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ สาขาการเมืองและการปกครอง จาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เคยเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยอัมฤทธิ์บริวเวอรี่ นำเข้าเบียร์คลอสเตอร์[4] เมื่อปี 2518 และได้รับทาบทามจาก อบ วสุรัตน์ รัฐมนตรีอุตสาหกรรม ในรัฐบาล เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ มาเป็นรองเลขาธิการและเหรัญญิกพรรคชาติประชาธิปไตยในปี 2524[5] สมพงศ์ ลงการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2529 ที่ชลบุรี ภายใต้การอนุเคราะห์ของ สมชาย คุณปลื้ม [6] ก่อนจะย้ายไปลงที่เชียงใหม่ ในสังกัดพรรครวมไทย (พ.ศ. 2529) ของ ณรงค์ วงศ์วรรณ และย้ายไปพรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติพัฒนา (พ.ศ. 2535) ตามลำดับ ภายหลังสมพงษ์ นำสมาชิกชาติพัฒนา และพรรคชาติไทย จำนวน 21 คน มาตั้งกลุ่ม 16[7] อภิปรายโจมตีประเด็น รัฐมนตรีเกษตร แจกที่ดิน สปก-401 ให้แก่พวกพ้อง นำไปสู่การยุบสภาของ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีขณะนั้น[8] เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบพรรคพลังประชาชน และตัดสิทธิ์ทางการเมืองของคณะกรรมการบริหารพรรคคนละ 5 ปี จึงทำให้ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ต้องพ้นจากตำแหน่ง และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี เช่นเดียวกับคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนคนอื่นอีก 36 คน[9] อีกด้านหนึ่งสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ใช้เวลาในระหว่างถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง (พ.ศ. 2553) เข้ารับการศึกษาหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง ของสถาบันวิทยาการตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในรุ่นที่ 11 และเป็นรุ่นเดียวกันกับนักการเมืองชื่อดังอีกหลายคน อาทิ วราเทพ รัตนากร สรอรรถ กลิ่นประทุม ประจวบ ไชยสาส์น นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี บุรณัชย์ สมุทรักษ์ ฯลฯ วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554 ในขณะที่ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย เขาได้ขึ้นเวทีแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ที่บริเวณสนามโรงเรียนบ้านวังจ๊อม อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ความเป็นธรรมในสังคมไม่มีเลย ซึ่งหลายคนบอกว่าประเทศนี้เมืองนี้มี 2 มาตรฐาน แต่ตนอยากบอกว่า มันไม่ใช่แค่ 2 มาตรฐาน แต่มันไม่มีมาตรฐานใดๆ ทั้งสิ้น[10] ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 12[11] แต่การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะ ต่อมาในปี พ.ศ. 2561 นายสมพงษ์ ได้ย้ายไปร่วมงานกับพรรคเพื่อธรรม และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค กระทั่งในเดือนพฤศจิกายน เขาจึงได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคดังกล่าว เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 โดยเขาลงสมัครในเขตเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดเชียงใหม่ ในนาม พรรคเพื่อไทย และได้รับเลือกตั้ง ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 เขาได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ผลปรากฏว่า ชวน หลีกภัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ด้วยคะแนนเสียง 258 เสียง เอาชนะ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ที่ได้รับคะแนนเสียง 235 เสียง มีผู้งดออกเสียง 1 เสียง[12] และในการแถลงนโยบายของรัฐบาลเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 พรรคฝ่ายค้านซึ่งมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุดคือพรรคเพื่อไทย สมพงษ์ในฐานะหัวหน้าพรรค จึงได้เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และพ้นจากตำแหน่งในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 เนื่องจากเขาลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 2[13] ประวัติการทำงาน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|