รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน (สายอีสาน)
โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย [1](อังกฤษ: The Cooperation between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People's Republic of China on Bangkok - Nong Khai HSR Development for Regional Connectivity) หรือ โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน สายตะวันออกเฉียงเหนือ (กรุงเทพมหานคร - หนองคาย - เวียงจันทน์) (อังกฤษ: North Eastern High Speed Rail, Thailand-Chinese High Speed Rail) เป็นโครงการระบบขนส่งมวลชนแบบพิเศษที่เป็นหนึ่งในเส้นทางของโครงการรถไฟความเร็วสูงในประเทศไทย ดำเนินการก่อสร้างโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางราง คุนหมิง - สิงคโปร์ สาย Central Route ซึ่งเป็นโครงข่ายที่จะเชื่อมต่อประเทศกลุ่มซีเอ็มแอลวีเข้าเป็นผืนแผ่นเดียวกัน ประวัติโครงการรถไฟความเร็วสูงสายอีสาน เป็นหนึ่งในสี่เส้นทางระบบรถไฟความเร็วสูงในประเทศไทย มีจุดหมายเพื่อทดแทนระบบรถไฟชานเมืองและรถไฟสายต่าง ๆ ในประเทศไทย เชื่อมต่อภาคธุรกิจเข้ากับตัวเมืองอย่างรวดเร็ว โครงการเริ่มศึกษาตั้งแต่ พ.ศ. 2553 ในสมัยที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี โดยคณะรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างหน่วยงาน (MoU) กับรัฐบาลจีน เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการร่วมกัน ซึ่งทางรัฐบาลจีนเองก็มุ่งหวังที่จะเข้ามาพัฒนาโครงการระบบรถไฟความเร็วสูงในประเทศไทยให้เชื่อมต่อเข้ากับเส้นทางรถไฟความเร็วสูง จีน - ลาว (คุนหมิง - เวียงจันทน์) อันจะก่อให้เกิดเป็นเส้นทางสายไหมเส้นใหม่ (Belt and Road Initiative) ที่จะเชื่อมต่อประเทศกลุ่มซีเอ็มแอลวี อันได้แก่ จีน ลาว มาเลเซีย และเวียดนาม เข้ากับประเทศไทยให้เป็นผืนแผ่นเดียวกัน โดยมีกรอบวงเงินลงทุนที่ 180,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลไทยจะลงทุนในสัดส่วน 51% และรัฐบาลจีนจะร่วมลงทุนในสัดส่วน 49% แต่สัญญากลับไม่คืบหน้าเนื่องจากรัฐบาลประกาศยุบสภาเสียก่อน ต่อมาใน พ.ศ. 2556 สมัยที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการทบทวนการศึกษาของโครงการดังกล่าวอีกครั้งร่วมกับโครงการรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออก และได้ผลักดันให้สายอีสานกับสายตะวันออกเป็นหนึ่งในสองเส้นทางนำร่องเพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งต่อมารัฐบาลจีนได้ยื่นข้อเสนอว่าจะลงทุนเอง 100% โดยแลกกับสัมปทานการบริหารโครงการจากการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นระยะเวลา 50 ปี อย่างไรก็ตามใน พ.ศ. 2557 เกิดเหตุรัฐประหารขึ้นโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทำให้โครงการศึกษาเส้นทางรถไฟความเร็วสูงและโครงการระบบรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ต้องหยุดชะงักลง เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2557 รัฐบาล คสช. ได้มีการทำบันทึกความเข้าใจระหว่างหน่วยงานกับรัฐบาลจีนอีกครั้ง เพื่อร่วมกันศึกษาแนวทางการก่อสร้างเส้นทางระบบรถไฟความเร็วสูงสายอีสานภายในระยะเวลาหนึ่งปี ซึ่งต่อมาได้มีข้อสรุปในเดือนพฤศจิกายนของปีถัดมา (พ.ศ. 2558) กล่าวคือรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีน จะร่วมกันจัดตั้งกิจการร่วมค้าเพื่อเป็นตัวกลางในการดำเนินโครงการ และรัฐบาลจีนจะเป็นตัวแทนในการจัดหาระบบที่เหมาะสม และดำเนินงานเชิงพาณิชย์และซ่อมบำรุง (O&M) ภายในระยะเวลา 3 ปีแรกนับจากวันที่เปิดให้บริการ ก่อนดำเนินการถ่ายโอนองค์ความรู้ การดำเนินการงานซ่อมบำรุง และงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องใหักับการรถไฟแห่งประเทศไทยภายในปีที่ 4-6 ก่อนที่การรถไฟแห่งประเทศไทยจะเข้าดำเนินการเต็มรูปแบบในปีที่ 7 ของสัญญา ซึ่งต่อมากระทรวงคมนาคมได้มีการลงนามในสัญญาความร่วมมืออย่างเป็นทางการ โดยมีกรอบเงื่อนไขดังต่อไปนี้
โครงการได้แบ่งช่วงการดำเนินการออกเป็นทั้งหมด 4 ช่วง ได้แก่ ช่วงกรุงเทพฯ (บางซื่อ) - แก่งคอย และแก่งคอย - นครราชสีมา ที่เริ่มต้นการก่อสร้างเมื่อ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2560 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการเริ่มต้นการก่อสร้าง การก่อสร้างจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 11 ช่วง 14 สัญญาเริ่มจากช่วงกลางดง - ปางอโศก ระยะทาง 3.5 กิโลเมตรเป็นช่วงแรก การก่อสร้างช่วงนี้ล่าช้าไปอย่างมาก จากนั้นทางจีนจะเริ่มจัดส่งแบบช่วงต่อไปมาให้ประเทศไทยตรวจสอบจนครบทั้งโครงการภายในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2561 และการรถไฟแห่งประเทศไทยได้แยกช่วง สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ - ท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะทาง 14.5 กิโลเมตรออกมาให้เอกชนผู้ชนะของสายตะวันออกเป็นผู้ดำเนินการแทน เพื่อลดข้อครหาเรื่องการใช้ทางร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทย รัฐบาลจีน และรัฐบาลญี่ปุ่นที่เข้ามาดำเนินโครงการสายเหนือ คาดว่าจะประมูลครบทั้ง 14 สัญญาภายในต้นปี พ.ศ. 2562 และเปิดดำเนินการได้ใน พ.ศ. 2571[2] และอีกสองช่วงได้แก่ ช่วงนครราชสีมา - หนองคาย และแก่งคอย - คลอง 19 - ฉะเชิงเทรา กำลังอยู่ในระหว่างการออกแบบเส้นทาง แนวเส้นทางรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน สายอีสานเป็นระบบรถไฟฟ้าที่มีทั้งโครงสร้างระดับดินและยกระดับตลอดโครงการ มีแนวเส้นทางที่รองรับการเดินทางจากชานเมืองทางทิศเหนือกรุงเทพมหานครฝั่งเหนือและจังหวัดใกล้เคียงด้านเหนือและภาคอีสาน เข้าสู่เขตใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว แนวเส้นทางเริ่มต้นจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ วิ่งตรงไปทางทิศเหนือในเส้นทางเดียวกับรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกผ่านท่าอากาศยานดอนเมือง เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเข้ม รถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จากนั้นวิ่งตรงไปตามแนวทางรถไฟสายเหนือไปจนถึงชุมทางบ้านภาชี แนวเส้นทางจะเบี่ยงไปใช้แนวเส้นทางรถไฟสายอีสานไปตลอดทางจนถึงสถานีแก่งคอย ซึ่งจะเป็นสถานีชุมทางที่แยกสายไปเชื่อมต่อเข้ากับสายตะวันออกที่สถานีฉะเชิงเทรา จากนั้นมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและสิ้นสุดเส้นทางในระยะแยกที่สถานีนครราชสีมา ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสถานีรถไฟนครราชสีมาเดิม รวมระยะทางในช่วงแรก 253 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 30 นาทีจากกรุงเทพมหานคร จากนั้นเส้นทางจะมุ่งขึ้นทางเหนือเพื่อไปยังประเทศลาวโดยผ่าน สถานีชุมทางบัวใหญ่ ขอนแก่น อุดรธานี สิ้นสุดที่จังหวัดหนองคาย ระยะทาง 354.5 กิโลเมตร รวมระยะทางตลอดเส้นทางกว่า 608 กิโลเมตร [3]ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 15 นาที จากนครราชสีมา และ 3 ชั่วโมง 45 นาที จากกรุงเทพมหานคร แนวเส้นทางต่อจากนี้จะเป็นแนวเส้นทางรถไฟสายลาว-จีน เพื่อเดินทางไปยังเวียงจันทน์ ประเทศลาว และต่อเนื่องไปยัง คุนหมิง ประเทศจีน ระยะทางรวมกว่า 1,011 กิโลเมตรเฉพาะในประเทศลาว 417 กิโลเมตร โดยใช้ระยะเวลาเดินทางรวมจากกรุงเทพมหานคร ถึงคุนหมิง 13 ชั่วโมง 30 นาที โดยแนวเส้นทางในลาวจะเป็นทางเดี่ยวทั้งหมด รูปแบบของโครงการ
ศูนย์ซ่อมบำรุงและศูนย์ควบคุมการเดินรถโครงการมีศูนย์ซ่อมบำรุงใหญ่และศูนย์ควบคุมการเดินรถทั้งระบบตั้งอยู่ที่ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และยังจัดให้มีทางซ่อมบำรุงเป็นระยะ รวมถึงมีศูนย์ซ่อมบำรุงย่อยและย่านเปลี่ยนถ่ายสินค้า (Transshipment Yard) ตั้งอยู่ที่สถานีรถไฟนาทาเดิม ในพื้นที่ตำบลหนองกอมเกาะ อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย ที่จะยกเลิกการใช้งาน สถานีมีทั้งหมด 11 สถานี เป็นสถานีรูปแบบอาคารผู้โดยสาร 10 สถานี และสถานียกระดับ 1 สถานี
สถานีมีความยาวประมาณ 210 เมตร รองรับการจอดรถไฟฟ้าได้สูงสุด 8 ตู้โดยสาร ออกแบบให้หลบเลี่ยงสาธารณูปโภคใต้ดินและบนดิน และรักษาสภาพผิวดินให้มากที่สุด มีเสายึดสถานีคร่อมอยู่บนทางรถไฟ ขบวนรถไฟฟ้า
รถไฟฟ้าที่ใช้ในโครงการเป็นรถไฟฟ้าประเภทความเร็วสูง ซึ่งมีความเร็วสูงสุดที่ 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ให้บริการในประเทศไทย 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) แต่มีความเร็วขณะเข้าประแจที่ 40 - 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีความเร็วขณะเข้าประแจลงศูนย์ซ่อมบำรุงที่ 25 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ใช้ขบวนรถรุ่น CR300AF "ฟู่ซิงห้าว" ผลิตโดยซีอาร์อาร์ซี ฉางชุน เรลเวย์ เวฮิเคิล มีความเร็วสูงสุดที่ 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง(ให้บริการในประเทศไทย 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) แบ่งประเภทที่นั่งออกเป็นทั้งหมดสามระดับ ได้แก่ ที่นั่งชั้นหนึ่ง เป็นที่นั่งแบบเก้าอี้เดี่ยว ใช้ตู้โดยสารหลังห้องคนขับ ที่นั่งชั้น 2 จะเป็นที่นั่งประเภทธุรกิจ จัดเรียงแบบ 2-2 ตลอดตู้โดยสาร และที่นั่งชั้น 3 จะจัดเรียงแบบ 3-2 ตลอดความยาวตู้โดยสาร ภายในขบวนรถมีห้องน้ำแบบระบบปิดให้บริการ รายชื่อสถานีและจุดเปลี่ยนเส้นทาง
สัญญาการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เป็นโครงการที่ทางฝั่งประเทศไทยจะเป็นผู้ลงทุนงานโยธาทั้งหมดด้วยวิธีการเปิดประมูลเป็นรายสัญญาแบบเดียวกับการก่อสร้างของโครงการรถไฟฟ้ามหานคร โดยในส่วนของงานระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล ทางฝั่งประเทศจีนจะเป็นผู้รับผิดชอบโดยการว่าจ้าง บริษัท ซีอาร์อาร์ซี ฉางชุน เรลเวย์ เวฮิเคิล จำกัด ผู้ผลิตรถไฟฟ้าบีทีเอสรุ่นที่สอง (EMU-B: Bombardier Movia) เป็นผู้ผลิตตัวรถไฟฟ้าและจัดหาระบบเดินรถไฟฟ้าสำหรับใช้ภายในโครงการทั้งหมด
อุบัติเหตุกลางดึกวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2567 ในระหว่างการก่อสร้างได้เกิดเหตุอุโมงค์รถไฟความเร็วสูงถล่ม เป็นอุโมงค์ช่วงสถานีรถไฟคลองขนานจิต ริมอ่างเก็บน้ำลำตะคอง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา บริเวณกิโลเมตรที่ 189+435 ห่างจากปากอุโมงค์ฝั่งคลองไผ่ ราว 1.6 กิโลเมตร โดยมีชาวจีน 2 ราย และชาวพม่า 1 ราย ติดอยู่ภายใน[5] วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2567 ค้นพบร่างผู้เสียชีวิตรายแรก[6] วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2567 พบร่างผู้เสียชีวิตอีกสองราย ห่างจากจุดที่พบร่างผู้เสียชีวิตรายแรกสามเมตร[7] อ้างอิง
ดูเพิ่ม |