รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง
โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) (อังกฤษ: The S.R.T. Red Line Mass Transit System Project) หรือ รถไฟฟ้าสายสีแดง เป็นระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลตลอดจนพื้นที่ต่อเนื่องคือ จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดราชบุรี ดำเนินการโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในกรุงเทพมหานครและพื้นที่ต่อเนื่อง มีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับคุณภาพในการให้บริการของรถไฟชานเมืองซึ่งทำหน้าที่ในการบริการขนส่งผู้โดยสารที่อยู่อาศัยในพื้นที่ชานเมืองตลอดจนพื้นที่ต่อเนื่องสามารถเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพมหานครได้อย่างรวดเร็วด้วยระบบรางที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และยังเป็นการป้อนผู้โดยสารเข้าสู่โครงข่ายระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนอื่นในเขตกรุงเทพมหานครอันได้แก่ รถไฟฟ้ามหานคร ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) รถไฟฟ้าบีทีเอส ของ กรุงเทพมหานคร (กทม.) หรือแม้กระทั่งรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์และรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ของ รฟท. เองก็ตาม โครงการประกอบด้วยสองเส้นทางหลักตามแกนกลางของกรุงเทพมหานคร คือสายธานีรัถยา (เหนือ-ใต้) วิ่งระหว่างสถานีธรรมศาสตร์รังสิต - สถานีหัวลำโพง และสายนครวิถี (ตะวันออก-ตะวันตก) วิ่งระหว่างสถานีศาลายา - สถานีหัวหมาก โดยมีสถานีตลิ่งชันทำหน้าที่เป็นสถานีชุมทางแยกสายระหว่างสายหลักกับสายแยกเพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลศิริราช ทั้งสองสายมีจุดเชื่อมต่อซึ่งเป็นสถานีหลักของโครงการคือสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ นาม นครวิถี และ ธานีรัถยา เป็นชื่อที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชทานเพื่อเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดงในสองช่วงแรก คือช่วงบางซื่อ-รังสิต ให้นามว่า ธานีรัถยา และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ให้นามว่า นครวิถี ทั้งสองนามมีความหมายว่า "เส้นทางของเมือง" ปัจจุบัน รถไฟฟ้าสายสีแดงได้มีการก่อสร้างในส่วนแรก (สายนครวิถี ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน) แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2554 และส่วนที่สอง (สายธานีรัถยา ช่วงบางซื่อ-รังสิต) รวมถึงอาคารสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2562 เริ่มเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเป็นประธานในพิธีเปิดการเดินรถ และเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 โดยระหว่างรอความชัดเจนเรื่องผู้ให้บริการ การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ว่าจ้างให้ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เป็นผู้ให้บริการชั่วคราวจนกว่าจะได้เอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการใน พ.ศ. 2567 และอยู่ในระหว่างการเตรียมการก่อสร้างโครงการในส่วนที่สาม (สายนครวิถี ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา และตลิ่งชัน-ศิริราช และสายธานีรัถยา ช่วงรังสิต-ธรรมศาสตร์รังสิต) เพิ่มเติมรวมถึงสถานีในอนาคตอีกสามแห่งเพื่อขยายเส้นทางให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ประวัติรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เป็นระบบรถไฟฟ้าที่ดำเนินการแยกต่างหากจากรถไฟฟ้ามหานคร และ รถไฟฟ้าบีทีเอส โดยมีจุดเริ่มต้นจากความล้มเหลวของโครงการโฮปเวลล์ที่ไม่ดำเนินการตามแผนจนนำไปสู่การบอกเลิกสัญญาสัมปทานกับ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ในเครือ โฮปเวลล์โฮลดิ้ง เมื่อ พ.ศ. 2541 รัฐบาลไทยได้นำเอาความล้มเหลวครั้งนี้ไปพัฒนาเป็นแผนแม่บทฉบับใหม่ (URMAP) และยกระดับโครงการโฮปเวลล์ขึ้นมาเป็นรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ในช่วงแรกประกอบไปด้วยสองเส้นทางคือ สายสีแดงอ่อน ตลิ่งชัน - หนองงูเห่า (ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) และสายสีแดงเข้ม รังสิต - มหาชัย แต่จากความล่าช้าในการดำเนินงานรวมถึงการฟ้องร้องคดีความระหว่างโฮปเวลล์และการรถไฟแห่งประเทศไทย ทำให้รัฐบาลตัดสินใจดึงบางส่วนของโครงการสายสีแดงอ่อนอันได้แก่ ช่วงพญาไท-หนองงูเห่า ออกมาก่อสร้างแยกต่างหากก่อนจนกลายเป็นระบบรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิใน พ.ศ. 2553 และการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ใช้โครงการนี้เป็นต้นแบบในการพัฒนาโครงการสายสีแดงในเวลาต่อมา ต่อมาใน พ.ศ. 2552 ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับเงินกู้สำหรับพัฒนาโครงการ 2.4 หมื่นล้านบาท จากรัฐบาลญี่ปุ่น สำหรับการก่อสร้างโครงการนี้ระยะทาง 67 กิโลเมตร[1][2] จึงได้เริ่มการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงทั้งสองช่วง ได้แก่ ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ที่ได้รับการอนุมัติก่อสร้างทันทีใน พ.ศ. 2552 และช่วงบางซื่อ-รังสิต รวมถึงตัวอาคารสถานีกลางได้รับการอนุมัติในปี พ.ศ. 2553 แต่เกิดการล่าช้าเนื่องจากข้อพิพาททางสัญญาที่ซับซ้อน 2.5 ปี ทำให้เริ่มต้นก่อสร้างในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2556 หลังจากเซ็นสัญญาใหม่ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2556[3] ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี แต่ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2556 โครงการก่อสร้างแล้วเสร็จแค่ร้อยละ 3 เท่านั้นและล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้หลายเดือน เนื่องจากเกิดเหตุโครงสร้างโฮปเวลล์ถล่มในพื้นที่ จึงต้องใช้เวลาไปกับการรื้อถอนเสาตอม่อโฮปเวลล์[4] ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2557 รฟท. ได้ขอเงินเพิ่มอีก 8.14 พันล้านบาท เพื่อปรับเปลี่ยนโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดงเข้มจาก 3 รางเป็น 4 รางแทน และออกแบบสถานีใหม่ทั้งหมด และออกแบบสถานีบางซื่อใหม่มีชานชาลาที่ยาวขึ้น เพื่อรองรับรถไฟความเร็วสูงในอนาคต[5] โดยจำนวนเงิน 8.14 พันล้านบาทนั้น แบ่งเป็น สัญญาที่ 1 มูลค่า 4.32 พันล้านบาท (ปรับเปลี่ยนให้สถานีบางซื่อรองรับรถไฟความเร็วสูง), สัญญาที่ 2 มูลค่า 3.35 พันล้านบาท (รางที่ 4 และการออกแบบสถานีใหม่) และ สัญญาที่ 3 มูลค่า 473 ล้านบาท จึงทำให้เป็นที่น่าสังเกตว่างบประมาณสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้มระยะที่ 1 ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความล่าช้าจำนวนมากและการออกแบบใหม่เพิ่มเติม จากเดิม 5.989 หมื่นล้านบาทในปี 2550 เป็น 7.555 หมื่นล้านบาทในปี 2552 และเป็น 8.038 หมื่นล้านบาทในปี 2555 ส่วนเงินที่ขอเพิ่มเติม 8.14 พันล้านบาท ทำให้งบประมาณปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 8.852 หมื่นล้านบาท ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2559 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติส่วนต่อขยายแรกทางด้านทิศใต้ของโครงการ ตั้งแต่ บางซื่อ ถึง หัวลำโพง อย่างไรก็ตามส่วนต่อขยายด้านเหนือ ระยะทาง 10 กม. จำนวน 4 สถานี จากรังสิตไปมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะสร้างขึ้นก่อนและคาดว่าจะประมูลได้ภายในเดือนกันยายน พ.ศ. 2561[6] แต่เกิดการล่าช้า ทำให้การเสนอราคาเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2562[7] อย่างไรก็ตาม การประกวดราคายังล่าช้าออกไปอีกจนถึงปี พ.ศ. 2564 เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ร้องขอให้กรมรางตรวจสอบการดำเนินการประกวดราคาแบบ PPP สำหรับส่วนต่อขยายนี้[8] ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2564 รฟท. ได้ยื่นแผนเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดงอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 โดยกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ 15-50 บาท สำหรับสายสีแดงเข้ม และ 15-38 บาท สำหรับสายสีแดงอ่อน โดยรวมค่าโดยสารสถานีในอนาคต 2 สถานีไว้ด้วย ก่อนได้รับการท้วงติงให้ปรับลดค่าโดยสารลงมาเหลือ 14-42 บาท เท่าโครงการรถไฟฟ้ามหานคร[9] รูปแบบโครงการเป็นระบบขนส่งมวลชนทางราง ที่มีจุดมุ่งหมายในการปรับรูปแบบการเดินรถของการรถไฟแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน อันได้แก่ ขบวนรถไฟทางไกล และขบวนรถชานเมือง ที่ลากจูงด้วยหัวรถจักรดีเซล และระบบรถไฟฟ้า โดยติดตั้งระบบการป้องกันขบวนรถอัตโนมัติ (Automatic Train Protection – ATP) เพื่อให้ขบวนรถทั้งสองระบบเดินรถร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ภายใต้โครงสร้างในรูปแบบยกระดับจากพื้นถนน และแบบอุโมงค์ใต้ดิน เพื่อลดการรอคอยการจัดการจราจรในบริเวณที่เป็นจุดตัดถนน อันเป็นสาเหตุเดิมที่ทำให้ขบวนรถไม่สามารถทำเวลาได้ เส้นทางโครงการระบบรถไฟชานเมือง ประกอบด้วย 2 สายตามแกนกลางกรุงเทพมหานคร คือ สายธานีรัถยา (สายสีแดงเข้ม) เป็นเส้นทางแนวเหนือ-ใต้ มีระยะทาง 22.6 กิโลเมตร และสายนครวิถี (สายสีแดงอ่อน) เป็นเส้นทางแนวตะวันตก-ตะวันออก มีระยะทาง 14.67 กิโลเมตร ในช่วงเริ่มแรกมีสถานีทั้งหมด 13 สถานี (นับรวมสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ที่เป็นสถานีร่วม 1 สถานี ไม่รวมสถานีในอนาคต 2 สถานี) รวมระยะทางทั้งสิ้น 37.60 กิโลเมตร
ส่วนต่อขยายโครงการระบบรถไฟชานเมือง สายสีแดง เป็นโครงการที่ออกแบบเพื่อทดแทนระบบรถไฟชานเมืองเดิม และยังเป็นโครงการเสริมเพื่อยกระดับทางรถไฟปัจจุบันจากทางเดี่ยวเป็นทางคู่ ซึ่งเป็นการยกระดับทางรถไฟทั่วประเทศครั้งใหญ่ โดยอิงตามแผนแม่บทโครงการระบบรถไฟชานเมือง ทั้งสองเส้นทางมีแผนก่อสร้างส่วนต่อขยายเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ สายธานีรัถยา
ส่วนต่อขยายด้านเหนือประกอบไปด้วยสองช่วง ดังนี้
ส่วนต่อขยายด้านใต้ประกอบไปด้วยสามช่วง ดังนี้
สายนครวิถีส่วนต่อขยายด้านตะวันตกส่วนต่อขยายด้านตะวันตกประกอบไปด้วยสามช่วง สองเส้นทางแยก ดังนี้
ส่วนต่อขยายด้านตะวันออกส่วนต่อขยายด้านตะวันออกประกอบไปด้วยสี่ช่วง สองเส้นทางแยก โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟเชื่อม 3 ท่าเรือ และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มความจุทางรถไฟช่วง หัวหมาก - ฉะเชิงเทรา - ศรีราชา ดังนี้
การเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนอื่น
ผู้โดยสารสถิติผู้โดยสาร
การให้บริการผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้าในคราวการประชุมร่วมระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ คนร. เพื่อขออนุมัติโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ช่วงพญาไท - บางซื่อ - ดอนเมือง เมื่อ พ.ศ. 2559 คนร. ได้มีการพิจารณาเรื่องบทบาทการให้บริการระบบขนส่งมวลชนของการรถไฟแห่งประเทศไทยใหม่ โดย คนร. ลงมติให้ ร.ฟ.ท. เปิดประมูลหาเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนและดำเนินโครงการทั้งส่วนของรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในขณะนั้น และโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง ภายใต้กรอบการลงทุนแบบหุ้นส่วนมหาชน-เอกชน (Public-Private Partnership) ตามแต่เห็นสมควร อย่างไรก็ตาม ร.ฟ.ท. ได้ยื่นเรื่องขอทบทวนมติด้วยการขอรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงกลับมาบริหารเอง คนร. จึงมีมติให้ ร.ฟ.ท. จัดตั้งบริษัทเดินรถไฟฟ้าแห่งใหม่เพื่อขึ้นมาดำเนินการทดแทน โดยมีเงื่อนไขให้กระทรวงคมนาคมทำการประเมินตัวชี้วัดสมรรถนะหลัก (Key Performance Indicator: KPI) ของโครงการในระยะเวลา 5 ปี นับจากวันเปิดให้บริการ หากบริษัทดังกล่าวไม่สามารถดำเนินโครงการได้ตามแผน หรือเกิดกรณีแบบรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิขึ้น ร.ฟ.ท. จะต้องเปิดประมูลโครงการหาเอกชนเข้ามาดำเนินการทันทีโดยไม่มีข้อโต้แย้ง โดย ร.ฟ.ท. ได้ยื่นเรื่องขอปรับสถานะของ รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. ใหม่ โดยปรับสถานะให้เป็นรัฐวิสาหกิจที่ถือหุ้นโดยกระทรวงการคลัง เพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทจาก 140 ล้านบาทเป็น 3,000 ล้านบาท พร้อมทั้งของบประมาณในการส่งเจ้าหน้าที่เข้าฝึกอบรมการใช้เครื่องกล และการเดินรถไฟฟ้า ณ ประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากระบบอาณัติสัญญาณและระบบรถไฟฟ้าที่นำมาใช้งานเป็นระบบใหม่ที่ไม่เคยใช้งานในประเทศไทยมาก่อน จึงต้องมีการเรียนรู้ระบบเพื่อเตรียมความพร้อมล่วงหน้า[10] และต่อมา ร.ฟ.ท. ได้อนุมัติสัญญาสัมปทานโครงการให้กับ รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. เป็นระยะเวลา 30 ปี พร้อมทั้งโอนระบบรถไฟฟ้าที่เป็นผลสำเร็จจากสัญญาที่ 3 ให้เป็นทรัพย์สินของ รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. โดยตรง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารให้กับ รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. อันจะส่งผลให้สามารถบริหารโครงการได้เต็มที่กว่าครั้งที่บริหารรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพราะ รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. มีรายได้เป็นของตัวเอง และการดำเนินการไม่จำเป็นต้องเปิดประมูลตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เสมือนว่า รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. มีสถานะบริษัทเทียบเท่า การบินไทย ที่สามารถดำเนินการต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง อย่างไรก็ดีในสมัย ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ นิรุฒ มณีพันธ์ เป็นผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้มีการทบทวนบทบาทการให้บริการของ ร.ฟ.ท. และรถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. ใหม่ โดยลงมติให้ ร.ฟ.ท. ต้องเปิดประมูลหาเอกชนเข้ามาดำเนินการแทน รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. เนื่องมาจากความล่าช้าในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม การก่อสร้างส่วนต่อขยายเพื่อขยายเส้นทาง และการขอเพิ่มงบประมาณในส่วนของ Variation Order (VO) ที่เกิดขึ้นจากการปรับรายละเอียดโครงการในสัญญาที่ 1 และสัญญาที่ 3 ประกอบกับวงเงินกู้ที่ใช้ก่อสร้างโครงการขององค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่นได้หมดลงและไม่สามารถกู้เพิ่มได้อีก และรัฐบาลไทยจำเป็นต้องดึงงบประมาณคืนส่วนหนึ่งเพื่อแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้กระทรวงคมนาคมตัดสินใจทบทวนบทบาทของ ร.ฟ.ท. และขอให้เปิดประมูลโครงการโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ ร.ฟ.ท. อยู่ในระหว่างการศึกษารายละเอียดการเปิดประมูลโครงการ และจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอต่อกระทรวงคมนาคมต่อไป คาดว่าการดำเนินการจะแล้วเสร็จและได้เอกชนเข้าร่วมลงทุนใน พ.ศ. 2565 เริ่มก่อสร้างส่วนต่อขยายใน พ.ศ. 2566 และสามารถเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้ใน พ.ศ. 2567 โดยระหว่างนี้ รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จะรับหน้าที่เข้าบริหารรถไฟฟ้าสายสีแดงแทน ร.ฟ.ท. เป็นการชั่วคราวโดยไม่เปิดพัฒนาพื้นที่บนสถานี ยกเว้นสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ที่ ร.ฟ.ท. จะเปิดหาเอกชนเข้าพัฒนาพื้นที่เอง การให้บริการปกติรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง เปิดให้บริการเดินรถ โดยเริ่มเดินรถเที่ยวแรกในเวลา 05.00 น. จากสถานีต้นทางสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สถานีรังสิต และสถานีตลิ่งชัน มุ่งหน้ารังสิต โดยความถี่การเดินรถตามปกติอยู่ที่ 15 นาทีนอกช่วงเวลาเร่งด่วน และ 10 นาทีในช่วงเวลาเร่งด่วนเฉพาะสายธานีรัถยา ส่วนสายนครวิถีให้บริการที่ความที่ 20 นาทีตลอดเวลาให้บริการ และมีขบวนรถเที่ยวสุดท้ายให้บริการในเวลา 0.00 น. ก่อนปิดให้บริการ ทั้งนี้ผู้โดยสารต้องใช้งานบัตรโดยสารให้ถูกประเภท อัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง มีอัตราค่าโดยสารตามปกติที่เรียกเก็บเริ่มต้น 12 - 42 บาท คิดตามระยะทางจากสถานีต้นทางไปยังสถานีปลายทาง เช่นเดียวกับรถไฟฟ้ามหานคร รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง จะมีอัตราค่าโดยสารตามระยะทางเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่โดยสารมาจากสายนครวิถีข้ามไปสายธานีรัถยา หรือสายธานีรัถยาข้ามไปสายนครวิถี โดยคำนวณจากอัตราค่าโดยสารตามระยะทางของสายธานีรัถยา บวกกับอัตราค่าโดยสารของสายนครวิถี หักลบด้วยค่าธรรมเนียมแรกเข้าระบบ 1 ครั้ง ทำให้อัตราค่าโดยสารสูงสุดไม่เกิน 60 บาท เมื่อเดินทางข้ามสาย และเช่นกัน เมื่อเดินทางมาจาก สายฉลองรัชธรรม จะได้รับการยกเว้นค่าแรกเข้าระบบ 12 บาท เมื่อเดินทางต่อในสายสีแดง ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม โดยผู้โดยสารจะต้องใช้งานบัตรเครดิตตามมาตรฐาน EMV แตะออกระบบที่ สถานีบางซ่อน แล้วแตะกลับเข้าระบบใหม่อีกครั้งภายในเวลา 10 นาที ถึงจะได้รับการยกเว้นค่าแรกเข้าระบบ 12 บาท ทั้งนี้การเดินทางจากสายสีแดงไปสายเฉลิมรัชมงคล หรือสายสีชมพู จะต้องจ่ายอัตราค่าโดยสารเต็มจำนวน ตามเงื่อนไขในสัญญาสัมปทานของโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล และโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นแรงจูงใจในการดึงผู้โดยสารเข้ามาใช้บริการ รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง จะเก็บอัตราค่าโดยสารในรูปแบบอัตราค่าโดยสารคงที่แม้มีการเปลี่ยนสายทางเช่นเดียวกับรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนสัมปทาน กล่าวคือผู้โดยสารที่เดินทางจากสถานีรังสิต ไปยังสถานีตลิ่งชันโดยผ่านสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ จะเสียอัตราค่าโดยสารในอัตราสูงสุดเพียง 42 บาท และยังได้จำหน่ายตั๋วโดยสารแบบ 30 วัน 30 เที่ยว ราคา 800 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 26.67 บาท ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เป็นระยะเวลา 3 ปี ในส่วนของอัตราค่าโดยสารร่วมระหว่างสายสีแดงกับสายฉลองรัชธรรม ผู้โดยสารจะต้องชำระค่าโดยสารโดยคำนวณจากอัตราค่าโดยสารของสายอื่น ๆ บวกกับอัตราค่าโดยสารของสายสีแดง (จากสถานีต้นทางและปลายทางจนถึงสถานีเปลี่ยนเส้นทาง) หักลบด้วยค่าธรรมเนียมแรกเข้า 12 บาท ทำให้อัตราค่าโดยสารสูงสุดอยู่ที่ 70 บาท เมื่อเดินทางข้ามไปยังหรือมาจากสายฉลองรัชธรรม ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63 มีมติเห็นชอบหลักการปรับลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเหลือสูงสุด 20 บาทตลอดสาย โดยนำร่องที่รถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม และรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง โดยจะจัดเก็บอัตราค่าโดยสารที่ 12-20 บาท กรณีเดินทางภายในสายสีแดงหรือข้ามไปสายสีม่วง หรือสูงสุดที่ 49 บาท กรณีเดินทางข้ามไปสายสีน้ำเงิน (โดยผ่านสายสีม่วงที่สถานีบางซ่อน และเข้าสายสีน้ำเงินที่สถานีเตาปูน) 50 บาท กรณีเดินทางข้ามไปสายสีชมพู (โดยผ่านสายสีม่วงที่สถานีบางซ่อน และเข้าสายสีชมพูที่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี) และ 62 บาท กรณีเดินทางข้ามไปสายสีเหลือง (โดยผ่านสายสีม่วงที่สถานีบางซ่อน เข้าสายสีน้ำเงินที่สถานีเตาปูน และเข้าสายสีเหลืองที่สถานีลาดพร้าว) รวมถึงยกเลิกการจำหน่ายเที่ยวโดยสารเหมาจ่ายลงชั่วคราว ทั้งนี้จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลงจากกระทรวงคมนาคมหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง[11] สิ่งอำนวยความสะดวกมีจุดจอดรถประจำสถานีทุกสถานี รวมถึงมีจุดจอดรถบริเวณท่าอากาศยานดอนเมืองซึ่งเป็นพื้นที่ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) 1 แห่ง และมีจุดจอดแล้วจร (park and ride) 1 แห่ง ที่ชั้นใต้ดินของอาคารสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ซึ่งเป็นพื้นที่ใช้ร่วมกันกับรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล สามารถจอดได้ 1,100 คัน อุบัติเหตุ
ภายหลัง กรมการขนส่งทางราง ได้หารือร่วมกับ การรถไฟแห่งประเทศไทย และ รฟฟท. เพื่อลงทุนดำเนินการเปลี่ยนระบบกล้องวงจรปิดทั้งหมดของโครงการให้เป็นแบบ Motion Sensor ที่เชื่อมกับระบบการเดินรถ เพื่อให้กล้องวงจรปิดสามารถสั่งหยุดการเดินรถไฟฟ้าได้ทันทีเมื่อมีผู้บุกรุกเข้ามาในเขตทาง อันเป็นป้องกันการเกิดเหตุซ้ำ เนื่องจากเหตุรถไฟฟ้าชนผู้เสียชีวิตครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่สองของระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในประเทศไทย หลังจากเกิดเหตุครั้งแรกในโครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เมื่อ พ.ศ. 2560[13]
เหตุการณ์รถไฟฟ้าชนคนเสียชีวิตครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่สามของระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในประเทศไทย อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง |