การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.52 น. ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช รัฐบาลประกาศไว้ทุกข์ถวายความอาลัยเป็นเวลา 1 ปี สำนักพระราชวังมีหมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพระหว่างวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ถึง 21 มกราคม พ.ศ. 2560 ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง คณะรัฐมนตรีมีมติประกาศให้วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคต (วันนวมินทรมหาราช) เป็นวันหยุดราชการเพื่อให้ประชาชนน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ [1] [2] [3] และได้กำหนดให้มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพขึ้นในวันที่ 25 - 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560[4] รวมถึงได้ประกาศให้วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ซึ่งกำหนดเป็นวันถวายพระเพลิงพระบรมศพเป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ[5] พระอาการประชวรวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 สำนักพระราชวังแจ้งว่า พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จะเสด็จพระราชดำเนินมาประทับ ณ ชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตามคำกราบบังคมทูลเชิญเพื่อมาตรวจพระวรกายของคณะแพทย์ ผลการตรวจพบว่าพระโลหิต อุณหภูมิพระวรกาย ความดันพระโลหิต พระหทัย และระบบการหายพระทัยเป็นปกติ[6] ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559 เป็นต้นมา สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ประชวร ว่ามีพระปรอทต่ำ หายพระทัยเร็ว มีพระเสมหะ พระปับผาสะซ้ายอักเสบ มีพระโลหิตเป็นกรด และพบว่ามีน้ำคั่งในช่องเยื่อหุ้มพระปัปผาสะเล็กน้อย[7] ในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559 มีความดันพระโลหิตลดต่ำลง คณะแพทย์จึงรักษาด้วยพระโอสถปฏิชีวนะ และใช้สายสวนเข้าหลอดพระโลหิตดำเพื่อฟอกพระโลหิตระยะยาว แต่มีพระความดันพระโลหิตต่ำจึงใช้เครื่องช่วยหายพระทัย และมีการฟอกไต พระอาการไม่คงที่[8] ก่อนที่พระอาการจะเริ่มทรุดลงเรื่อย ๆ ทรงมีการติดเชื้อและการทำงานของพระยกนะ (ตับ) ผิดปกติ และมีแถลงการณ์สำนักพระราชวัง ฉบับที่ 38 ความว่า[9]
วันที่ 12 ตุลาคม พระราชโอรส-ธิดาทั้งสี่พระองค์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ และพระเจ้าหลานเธออีกสองพระองค์เข้าเยี่ยมพระอาการประชวร[10] โดยนับตั้งแต่สำนักพระราชวังได้แถลงการณ์พระอาการประชวร ฉบับที่ 37 ประชาชนจำนวนมากได้เดินทางมายังโรงพยาบาลศิริราชเพื่อถวายพระพรให้ทรงหายจากพระอาการประชวร กิจกรรมสำคัญคือการสวดบทโพชฌังคปริตร ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นบทสวดมนต์ปัดเป่าโรคร้าย[11] พร้อมทั้งมีการเชิญชวนประชาชนสวมเสื้อสีชมพูซึ่งเป็นสีเสริมดวงพระราชสมภพและมีการร่วมกันถวายพระพรทั่วทั้งสื่อสังคม[12] วันที่ 13 ตุลาคม พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์เสด็จฯ มายังโรงพยาบาลศิริราช[13] สวรรคตสำนักพระราชวังมีประกาศเรื่องพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สวรรคต เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ความว่า
มีคลิปศาสตราจารย์ นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์ แพทย์ผู้อยู่ถวายการรักษาขณะสวรรคต ให้สัมภาษณ์ว่าเสด็จสวรรคตด้วยภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย[14] หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถูกเลิกจ้าง โดยคำสั่งคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุเหตุผลว่า "...เนื่องจากได้มีการนำข้อมูลของผู้ป่วยไปเผยแพร่ในที่สาธารณะ"[15] เคลื่อนพระบรมศพสู่พระบรมมหาราชวังวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.30 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนิน โดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังอาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 16 โรงพยาบาลศิริราช เวลา 15.40 น. - เสด็จฯ ถึงโรงพยาบาลศิริราช - เสด็จฯ ขึ้นสู่ชั้น 16 (โดยลิฟต์) - เสด็จฯ เข้าสู่ห้องประทับรับรอง ชั้น 16 เวลา 16.00 น. - สมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เดินนำขบวนเชิญพระบรมศพลงจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 16 (โดยลิฟท์) (มีคณะนายแพทย์ และพยาบาลที่ถวายการรักษาพยาบาลเลื่อนพระแท่น พยาบาลอัญเชิญพระบรมศพเข้าสู่ลิฟต์) - พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ขณะทรงดำรงพระอิสริยยศ พลเอกหญิง สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จตามพระบรมศพ - เมื่ออัญเชิญพระบรมศพถึงชั้นล่างของอาคารเฉลิมพระเกียรติ ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ อัญเชิญพระบรมศพ ขึ้นสู่รถเชิญพระบรมศพที่เทียบรออยู่หน้าประตูทางเข้าลิฟต์ (ชั้นใต้ดิน) นายแพทย์และพยาบาลที่ถวายการรักษาตามเสด็จ - จากนั้น ขบวนรถเชิญพระบรมศพ เคลื่อนออกจากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพระบรมมหาราชวัง เข้าทางประตูวิเศษไชยศรี ประตูพิมานไชยศรี มีรถของสมเด็จพระวันรัตนำ เวลา 16.15 น. - ขบวนรถเชิญพระบรมศพถึงพระบรมมหาราชวัง - รถเชิญพระบรมศพเทียบด้านในประตูพรหมโสภาตรงกับบันไดพระที่นั่งพิมานรัตยา - ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์เชิญพระบรมศพลงจากรถเชิญพระบรมศพ ขึ้นสู่พระที่นั่งพิมานรัตยา พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จพระราชดำเนินตามพระบรมศพ - เมื่ออัญเชิญพระบรมศพขึ้นสู่พระที่นั่งพิมานรัตยา ถึงที่พระแท่นสรงพระบรมศพ - นายแพทย์และพยาบาลเชิญพระบรมศพ ขึ้นบรรทมที่พระแท่น ซึ่งปูลาดด้วยพระยี่ภู่ (เพื่อเตรียมการสรงน้ำพระบรมศพ ในเวลา 17.00 น.) - เสด็จฯ ไปประทับพักพระราชอิริยาบถ ณ พระที่นั่งราชกรัณยสภา[16] ประชาชนถวายน้ำสรงพระบรมศพตั้งแต่เวลา 08.00 – 14.00 น. สำนักพระราชวังให้ประชาชนเข้าถวายน้ำสรงพระบรมศพ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง[17] ประชาชนถวายสักการะหน้าพระบรมฉายาลักษณ์สำนักพระราชวังให้ประชาชนเข้าถวายสักการะหน้าพระบรมฉายาลักษณ์[18] และได้จัดสมุดลงนามถวายความอาลัย ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 จนถึงวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ประชาชนถวายสักการะพระบรมศพสำนักพระราชวังได้รับพระราชานุญาต ให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เวลา 05.00–21.00 น. และร่วมบริจาคเงินสมทบทุน ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559[19] จนถึงวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2560[20] ยกเว้นกรณีต่อไปนี้ ซึ่งมีประกาศให้งดการถวายสักการะพระบรมศพจากสำนักพระราชวัง
รวมระยะเวลาที่สำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ 337 วัน โดยในวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่สำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมมีประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพรวม 12,739,531 คน[24] การแสดงความอาลัยภายในประเทศพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย แสดงความเสียใจต่อการสวรรคต ขอให้ประชาชนร่วมถวายความอาลัยและดำเนินชีวิตต่อไป[25] วิกิซอร์ซ มีงานต้นฉบับเกี่ยวกับ:
รัฐบาลประกาศให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ และสถานศึกษาทุกแห่งลดธงครึ่งเสา มีกำหนด 30 วัน และให้ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจไว้ทุกข์ มีกำหนด 1 ปี เริ่มนับแต่วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559[26] โดยต่อมาได้มีการขยายระยะเวลาไว้ทุกข์ต่อไปอีก 14 วัน[27](ยกเว้นประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลาม[28] และในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เฉพาะงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง[29]) รวมทั้งยังมีประกาศขอความร่วมมือให้งดจัดงานรื่นเริงต่าง ๆ เป็นเวลา 30 วัน ส่งผลให้การแสดงรื่นรมย์ต่าง ๆ เช่น คอนเสิร์ต งานมหกรรม กิจกรรมกีฬา การแสดงต่าง ๆ ต่างยกเลิกหรือเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด รวมทั้งสถานบันเทิงต่าง ๆ หลายแห่งปิดการให้บริการชั่วคราว[30] และยังมีการประกาศให้วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เป็นวันหยุดราชการด้วย[31] การแสดงความอาลัยในสื่อสังคมในสื่อสังคมต่าง ๆ มีการแสดงความอาลัยเป็นจำนวนมาก เช่นในเฟซบุ๊ก มีผู้ใช้งานจำนวนมากเปลี่ยนภาพผู้ใช้เพื่อแสดงความอาลัย เพจดังต่าง ๆ ลงภาพแสดงความอาลัยและงดลงเนื้อหาบันเทิงเป็นการชั่วคราว[32] รวมทั้งทางเฟซบุ๊กยังประกาศงดโฆษณาในเว็บไซต์ภาคภาษาไทยอย่างไม่มีกำหนดเพื่อแสดงความอาลัย,[33] กูเกิลประเทศไทยมีการเปลี่ยนดูเดิลเป็นสีดำเพื่อแสดงความอาลัย,[34] ยูทูบงดโฆษณา 7 วันเช่นกัน, ดาราและนักแสดงต่างร่วมกันแสดงความอาลัยผ่านทางอินสตาแกรมและทวิตเตอร์[35] นอกจากนี้เว็บไซต์ต่าง ๆ ทั่วประเทศได้เปลี่ยนสีเว็บเป็นขาวดำเพื่อแสดงความอาลัยด้วย [36]จนกระทั่งภายหลังได้ปรับสีเว็บเข้าสู่สีปกติ โดยมีการประดับริบบิ้นสีดำที่มุมหน้าจอ และชาวต่างประเทศ อาทิ โชโกะ คาริยาซากิ โยชิมิ โทคุอิ ฮัม อึนจอง ถวายความอาลัยผ่านยูทูบและอินสตาแกรม[37] การดำเนินการของสถานีโทรทัศน์ภายหลังการสวรรคตสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทยทุกช่องนำตราสัญลักษณ์งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี พ.ศ. 2559 และพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 12 สิงหาคม 2559 ลงจากมุมบนซ้ายของจอโทรทัศน์ตั้งแต่ออกอากาศการประกาศการสวรรคตเมื่อเวลา 19.00 น. ของวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 และหลังจากนั้นได้ออกอากาศรายการพิเศษจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เป็นการฉายสารคดีพระราชกรณียกิจตลอดรัชกาล สลับกับการแถลงการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสวรรคต วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 มีการถ่ายทอดสดการเชิญพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพระที่นั่งพิมานรัตยาในพระบรมมหาราชวัง และพระราชพิธีสรงน้ำพระบรมศพ กระทั่งเวลา 00.00 น. วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559 จึงเริ่มการออกอากาศรายการต่าง ๆ ตามปกติ เดิมพลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด แถลงว่า รัฐบาลขอความร่วมมืองดรายการตามปกติและรับสัญญาณจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเป็นเวลา 30 วัน ก่อนถูกยกเลิกไป[38] สำนักงาน กสทช. ได้ขอความร่วมมือให้งดรายการรื่นเริงต่าง ๆ เป็นเวลา 30 วัน[39] ต่อมาในวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2559 สำนักงาน กสทช. ออกแนวปฏิบัติในการนำเสนอรายการทางโทรทัศน์ โดยในช่วง 15-30 วันหลังการสวรรคต ให้สถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ระมัดระวังและตรวจสอบการนำเสนอเนื้อหา การวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งแสดงถึงหรือกล่าวถึงความขัดแย้งในด้านต่าง ๆ ที่อาจนำไปสู่ความแตกแยกในสังคม และขอความร่วมมือในการปรับสีรายการต่าง ๆ ไม่ให้ฉูดฉาดจนเกินไป ในช่วง 31-37 วันถัดมา สามารถนำรายการเด็ก รายการทั่วไป และรายการแนะนำเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ออกอากาศได้ โดยมีการควบคุมเนื้อหา และตั้งแต่วันที่ 38-100 หลังการสวรรคต สามารถนำรายการแนะนำเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ออกอากาศได้ แต่ไม่ควรมีเรื่องของความรุนแรง เรื่องทางเพศ และถ้อยคำหยาบคาย[40] ต่อมาในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560 สำนักงาน กสทช. ได้ออกแนวปฏิบัติในการนำเสนอรายการทางโทรทัศน์ เมื่อล่วงพ้นระยะเวลา 100 วัน หลังการเสด็จสวรรคต โดยให้นำรายการปกติมาออกอากาศได้ แต่ต้องปฏิบัติตามประกาศ หลักเกณฑ์ เกี่ยวกับการกำกับเนื้อหารายการผังรายการ และการจัดระดับความเหมาะสมของรายการตามที่ กสทช. กำหนดโดยเคร่งครัด รวมทั้งควรสอดแทรกรายการที่เกี่ยวกับการพระราชกรณียกิจ แนวความคิด และปรัชญาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสารคดีเทิดพระเกียรติพระกรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์อย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะเสร็จสิ้นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ นอกจากนี้ กรณีที่มีการถ่ายทอดสดพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล และพระราชพิธีต่าง ๆ รวมถึงรายการ "ศาสตร์แห่งพระราชาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน" จากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ให้ทุกสถานีเชื่อมโยงสัญญาณในทันที[41]สถานีโทรทัศน์ยังรายงานกรณีบุคคลที่มีชื่อเสียงเข้าถวายความเคารพพระบรมศพอาทิ หมี เสว่[42]ดินีช เมธา[43] ระดับนานาชาติวันพุธที่ 25 มกราคม 2560 บริษัท ไทยเจียระไน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) [44] ผู้ผลิตสื่อนิตยสารจีน @Mangu (แอดม่านกู่) ร่วมกับ บริษัท ซีแอนด์จี เอ็นไวรอนเมนทอล โปรเท็คชั่น (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วยตัวแทนผู้บริหาร พนักงาน สมาคม องค์กร นักศึกษาและกลุ่มชาวจีนที่ประกอบธุรกิจและอาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินไทย รวมใจกันขับร้อง เพลงสรรเสริญพระบารมี ภาษาจีน ในชื่อเพลง "Royal Anthem King Bhumibhol Chinese Language" เพื่อถวายความจงรักภักดีและน้อมแสดงความอาลัยในวาระครบ 100 วัน การเสด็จสู่สวรรคาลัยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ [45] ผลกระทบประชาชนบางส่วนโจมตีผู้ไม่สวมเสื้อสีดำ แสดงการไว้ทุกข์ เกิดเหตุการณ์ล่าแม่มด บางส่วนมีพฤติกรรมรุนแรง ถึงขั้นประจานทางสื่อออนไลน์[46] จากเหตุการณ์ดังกล่าว พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด รักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เสนอให้ประชาชนที่ไม่สามารถจัดหาเสื้อผ้าสีดำหรือสีขาวมาร่วมแสดงความอาลัยได้ ติดริบบิ้นหรือโบว์สีดำบนหน้าอกเสื้อหรือที่แขนเสื้อบริเวณต้นแขนเพื่อเป็นการแสดงสัญลักษณ์ความอาลัยแทน[47][48] นอกจากนี้ ในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งในจังหวัดภูเก็ตปิดล้อมบ้านของลูกชายเจ้าของร้านน้ำเต้าหู้ที่โพสต์ข้อความที่เข้าข่ายผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112[49] เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าโพสต์นั้นมิได้มีเนื้อหาหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้เข้าควบคุมตัวชายคนนั้นในข้อหาดังกล่าว นอกจากนี้ยังเกิดเหตุการณ์คล้ายกันในจังหวัดพังงา[50] กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ประกาศใส่เสื้อสีแดงในวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและป้อนภาพลงสู่เฟซบุ๊ก อาทิ จรรยา ยิ้มประเสริฐ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ และเอกชัย หงส์กังวาน ซึ่งต่อมาเอกชัยถูกทำร้ายร่างกาย กระดูกฝ่ามือหัก คาดว่าสาเหตุของการทำร้ายร่างกายมาจากการประกาศใส่เสื้อสีแดงในวันดังกล่าว[51] รายการผู้แทนต่างประเทศที่ร่วมพระราชพิธีพระบรมศพผู้นำและประมุขของแต่ละประเทศ ตลอดจนผู้แทนพระองค์หรือผู้แทนพิเศษของประเทศต่าง ๆ ที่เสด็จพระราชดำเนิน เสด็จ และเดินทางมาร่วมวางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และลงพระนามและลงนามแสดงความอาลัย ณ ศาลาว่าการพระราชวัง และอาคารสำนักราชเลขาธิการ มีรายพระนามและรายนามดังต่อไปนี้
พระราชพิธีถวายน้ำสรงพระบรมศพวันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 17.00 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระบรมมหาราชวัง เข้าประตูวิเศษไชยศรี ประตูพิมานไชยศรี เทียบรถยนต์พระที่นั่งที่ประตูกำแพงแก้ว พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จากนั้นเสด็จขึ้นทางบันไดพระที่นั่งพิมานรัตยา เสด็จเข้าในพระฉากซึ่งพระบรมศพบรรทมอยู่บนพระแท่น พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสำหรับพระบรมศพ บูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร จากนั้นทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยกราบถวายบังคมพระบรมศพ ทรงรับหม้อน้ำพระสุคนธ์ โถน้ำขมิ้น และโถน้ำอบไทยจากเจ้าพนักงานสนมพลเรือนถวายสรงที่พระอุระพระบรมศพ จากนั้นทรงหวีพระเจ้าขึ้นครั้งหนึ่ง หวีลงอีกครั้งหนึ่ง แล้วหวีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วหักพระสางนั้นวางไว้ในพานซึ่งเจ้าพนักงานเชิญอยู่ เสด็จฯไปประทับพระราชอาสน์ที่นอกพระฉาก เลขาธิการสำนักพระราชวัง กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเข้าไปทรงวางซองพระศรี บรรจุดอกบัวและธูปเทียน ทรงรับแผ่นทองคำจำหลักลายปิดพระพักตร์ ทรงรับพระชฎาห้ายอดเจ้าพนักงาน วางข้างพระเศียร ททหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 10 นายเชิญหีบพระบรมศพ มีตำรวจหลวง 4 นาย ไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จากนั้นพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯตามพระบรมศพ ทรงยืนที่หน้าพระราชอาสน์ เสด็จฯไปทรงวางพวงมาลาที่หน้าพระโกศพระบรมศพ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยและเครื่องราชสักการะ กราบถวายบังคม จากนั้นทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารที่หน้าพระแท่นพระมหาเศวตฉัตรเสด็จฯทรงทอดผ้าไตร 10 ไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ หลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุุโมทนา พร้อมถวายพระพรลาออกจากพระที่นั่งแล้วเจ้าพนักงานนิมนต์พระสงฆ์เที่ยวละ 10 รูป ขึ้นนั่งยังอาสน์สงฆ์ เสด็จทอดผ้าไตร ทำจนครบ 100 รูป เสด็จฯไปหน้าพระโกศพระบรมศพ ทรงกราบการถวายความเคารพของผู้มาเฝ้า เสด็จออกจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทลงทางบันไดมุขกระสัน ด้านทิศเหนือ เสด็จฯกลับ[86] การบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพฯหมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพฯสำนักพระราชวัง กำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ถวายพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ดังนี้[87]
พิธีถวายเลี้ยงภัตตาหารเช้าและเพลแด่พระพิธีธรรมตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จฯ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพฯ ในการถวายภัตตาหารเช้าและเพลแด่พระภิกษุสงฆ์ ระหว่างการพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพ ครบทั้ง 100 วัน ถึง วันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2560 ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เวลา 7 นาฬิกา และเวลา 11 นาฬิกา พระพิธีธรรมพิธีสวดพระอภิธรรมพระบรมศพตั้งแต่คืนวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จฯ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพฯ ในการพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพตลอด 100 วัน ถึงวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2560 ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในเวลา 15 นาฬิกา เวลา 19 นาฬิกา และเวลา 21 นาฬิกา การบำเพ็ญกุศลพิธีกงเต็กถวายพระบรมศพวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 20.44 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพิธีกงเต็ก ถวายพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในพิธีข้ามสะพานโอฆสงสาร โดยพระสงฆ์จีนสวดพระพุทธมนต์ นำเสด็จดวงพระวิญญาณลงจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พร้อมเชิญเครื่องทองน้อย และธงพุ่มดวงพระวิญญาณลงมาประดิษฐาน ณ มณฑลพิธี พระสงฆ์จีนสวดพระพุทธมนต์ นำดวงพระวิญญาณ เสด็จพระราชดำเนินข้ามสะพานโอฆสงสาร 3 รอบ โดยพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) เสด็จพระราชดำเนินตามเครื่องทองน้อย และธงพุ่มดวงพระวิญญาณ ทรงโปรยเหรียญลงในขันสาครที่หัวสะพานและท้ายสะพาน เมื่อครบ 3 รอบ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยเพื่อบูชาเทพรักษาสะพาน ที่ท้ายสะพาน ทรงรับกระดาษเงิน กระดาษทอง แล้วพระราชทานแก่เจ้าพนักงานนำไปเผา พระสงฆ์จีนสวดพระพุทธมนต์นำดวงพระวิญญาณ เสด็จพระราชดำเนินข้ามสะพานโอฆสงสาร เที่ยวกลับ 3 รอบ จนครบ จึงเชิญดวงพระวิญญาณเสด็จขึ้นพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท[88] การให้หน่วยงานหรือบุคคลต่าง ๆ ร่วมเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ราชสกุล องคมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม องค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ หลังจากการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลปัญญาสมวาร (50 วัน) หีบพระบรมศพนายพรเทพ สุริยา เจ้าของร้านสุริยาหีบศพ กล่าวว่า สำนักพระราชวังได้ติดต่อให้จัดสร้างหีบพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยสร้างหีบพระบรมศพทรงหลุยส์ผสมทองคำแท้ 100% จากแผ่นไม้สักทองอายุมากกว่า 100 ปีขนาดใหญ่เพียงแผ่นเดียวไม่มีรอยต่อ ขนาดความกว้าง 29 นิ้ว ความยาว 2.15 เมตร วัดรอบหีบทั้งใบ 229 นิ้ว ทั้งนี้ใช้เวลาประกอบทันทีหลังการเสด็จสวรรคต เจ้าของร้านสุริยาหีบศพ กล่าวเพิ่มเติมว่า หีบพระบรมศพดังกล่าวแกะสลักลายกุหลาบไทยผสมผสานลายหลุยส์ รอบหีบปิดด้วยทองคำแท้ ภายในหีบพระบรมศพ ใช้ผ้าไหมสีงาช้าง มีที่รองที่บรรทม และซีลภายในเพื่อความแข็งแรง ส่วนผ้าคลุมเป็นผ้าไหมปักดิ้นทอง ซึ่งทางสุริยาเป็นผู้ออกแบบเองทั้งหมด[89] การประโคมย่ำยามในการประโคมงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีหน่วยงานเข้าร่วมประโคม วงประโคมของงานเครื่องสูง สำนักพระราชวัง (วงแตรสังข์และวงปี่ไฉนกลองชนะและกลองมโหรทึก) และวงปี่พาทย์นางหงส์ ของกลุ่มดุริยางค์ไทย สำนักการสังคีต กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม นิทรรศการเฉลิมพระเกียรตินิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ใช้ชื่อว่า "เย็นศิระ เพราะพระบริบาล" จัดขึ้น ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 โดยพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) เสด็จไปทรงเปิดนิทรรศการด้วยพระองค์เอง ภายในนิทรรศการมีการจัดนิทรรศการทั้งหมด 5 โซน ได้แก่ โซนที่ 1 บุญของแผ่นดินไทย โซนที่ 2 พระราชาผู้ทรงธรรม (ทำ) โซนที่ 3 กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ โซนที่ 4 พระมิ่งขวัญชาวไทย และโซนที่ 5 ร้อยใจไทย นอกจากนั้นในบริเวณจัดแสดงนิทรรศการยังมีการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิตด้วย[90] ต่อมาเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เจ้าหน้าที่กองอำนวยการร่วมรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณโดยรอบพระบรมมหาราชวัง ได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่กำลังรอคิวเข้าสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ว่า นิทรรศการนี้จะเปิดให้เข้าชมในวันที่ 15 พฤษภาคม เป็นวันสุดท้าย และวันที่ 16 พฤษภาคม จะให้คณะรัฐมนตรีเข้าชมอีกครั้งก่อนจะปิดนิทรรศการ โดยสาเหตุที่ต้องปิดนิทรรศการเร็วขึ้นเนื่องจากกรมศิลปากรกังวลเรื่องการก่อสร้างพระเมรุมาศ ถ้าต้องปิดตามกำหนดเดิมวันที่ 15 มิถุนายน แล้วค่อยส่งคืนพื้นที่จะทำให้งานล่าช้าหรืออาจเสร็จไม่ทัน เพราะขณะนี้เริ่มจะเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว และยังต้องใช้เวลารื้อถอนประมาณ 15 วัน ซึ่งงานก่อสร้างพระเมรุมาศเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก จึงจำเป็นต้องปิดการเข้าชมให้เร็วกว่าที่กำหนดไว้ 1 เดือน ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีประชาชนเข้าชมแล้วประมาณ 4 แสนคน สำหรับที่ตั้งนิทรรศการเย็นศิระฯ แห่งใหม่ยังไม่ได้กำหนด แต่จะเก็บรักษาอุปกรณ์และเครื่องมือที่ไว้จัดแสดงไว้ก่อน ถ้าได้สถานที่ที่เหมาะสม ก็จะนำกลับไปติดตั้งตามเดิม[91] และภายหลังจากที่รัฐบาลได้จัดนิทรรศการนี้บริเวณท้องสนามหลวง ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา เพื่อเฉลิมพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ และน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ล่าสุดมีจำนวนผู้เข้าชม 395,050 คน ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย และหลังจากนี้กรมศิลปากรจะใช้พื้นที่ภายในท้องสนามหลวงเป็นเส้นทางขนส่งวัสดุอุปกรณ์ เพื่อเร่งก่อสร้างพระเมรุมาศพร้อมสิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศให้แล้วเสร็จตามกำหนด รัฐบาลจึงได้ปิดให้เข้าชมนิทรรศการดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยมีการจัดทำนิทรรศการในรูปแบบเสมือนจริง ผ่านทางเว็บไซต์ เย็นศิระ เก็บถาวร 2017-09-17 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน เพื่อจำลองบรรยากาศของนิทรรศการที่จัดแสดง ณ ท้องสนามหลวง รวมทั้งผู้เข้าชมและประมวลภาพกิจกรรมต่าง ๆ จนถึงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ให้ประชาชนได้เข้าชมและเรียนรู้เรื่องราวของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยได้ทุกที่ ทุกเวลา รวมทั้งเก็บบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ให้แก่คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป[92] พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นพระราชพิธีที่รัฐบาลไทยจัดเพื่อถวายความอาลัยเป็นครั้งสุดท้ายแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยรัฐบาลกำหนดวันพระราชพิธีระหว่างวันที่ 25-29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 และได้ประกาศให้วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ[93] สำหรับการดำเนินการพระราชพิธีฯ นั้น คณะทำงานทุกฝ่ายได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มีการสร้างพระเมรุมาศและอาคารประกอบ เช่น พระที่นั่งทรงธรรม ศาลาลูกขุน เป็นต้น ส่วนการบูรณปฏิสังขรณ์ราชรถ ราชยาน รวมทั้งประติมากรรมประกอบพระเมรุมาศในพระราชพิธีครั้งนี้ได้มีการปรับปรุงให้มีความร่วมสมัย[94] คาดการณ์ว่าการจัดสร้างพระเมรุมาศจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกันยายน พ.ศ. 2560[95] โดยมีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์วินิจฉัยในการจัดสร้างพระเมรุมาศ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานอำนวยการพระราชพิธี[96] และเครื่องประกอบพระราชพิธีนั้น ได้มีการซ่อมแซมพระมหาพิชัยราชรถ พระยานมาศสามลำคาน ราชรถน้อย พระที่นั่งราเชนทรยาน และพระที่นั่งราเชนทรยานน้อย เพื่อพร้อมใช้ในพิธีจริง นอกจากนี้ยังมีการจัดสร้างราชรถ ราชยานขึ้นมาใหม่ คือ ราชรถปืนใหญ่และพระที่นั่งราเชนทรยานน้อย[97] ซึ่งราชรถ ราชยาน และเครื่องประกอบเหล่านี้ได้ใช้ในการซ้อมย่อยเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม และ 15 ตุลาคม รวมถึงการการซ้อมใหญ่ในวันที่ 21 ตุลาคม คณะรัฐมนตรีได้กำหนดการพระราชพิธีถวายเพลิงพระบรมศพ โดยมีพระราชพิธีสำคัญ ได้แก่ พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ ในวันที่ 25 ตุลาคม, พระราชพิธีเชิญพระบรมโกศออกพระเมรุมาศ และถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในวันที่ 26 ตุลาคม ซึ่งคณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษด้วย, พระราชพิธีเก็บพระบรมอัฐิและเชิญพระบรมอัฐิและพระบรมราชสรีรางคารกลับเข้าสู่พระบรมมหาราชวัง ในวันที่ 27 ตุลาคม, พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมอัฐิ ในวันที่ 28 ตุลาคม, พระราชพิธีเลี้ยงพระ และเชิญพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐาน ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และพระราชพิธีบรรจุพระบรมราชสรีรางคาร ในวันที่ 29 ตุลาคม[98] วันพุธที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.05 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในโอกาสนี้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี, สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี, ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา, สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ โดยเสด็จในการนี้ด้วย ในการนี้ทรงจุดธุปเทียนเครื่องทองน้อยและเครื่องราชสักการะ กราบถวายบังคมพระบรมศพ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ที่หน้าพระแท่นมหาเศวตรฉัตร ทรงกราบ ทรงรับการถวายความเคารพของผู้มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทรงประเคนพัดรองที่ระลึกงานออกพระเมรุ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร แด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก สมเด็จพระราชาคณะ และพระราชาคณะที่จะถวายพระธรรมเทศนา จำนวน 11 รูป แล้วทรงยืนประเคนพัดรองที่ระลึกแด่พระสงฆ์สวดศราทธพรต 30 รูป พระสงฆ์ที่จะสดับปกรณ์ 89 รูป เท่าพระชนมพรรษาพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม 8 รูป บรรพชิตจีน 10 รูป และบรรพชิตญวน 10 รูป ทรงจุดเทียนดูหนังสือเทศน์พระราชทาน เจ้าพนักงานพระราชพิธีเชิญไปตั้งที่โต๊ะข้างธรรมาสน์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดไตรมิตรวิทยาราม ที่จะถวายเทศน์ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยที่หน้าพระโกศพระบรมศพ สำหรับพระบรมศพทรงธรรม ทรงคม ทรงศีล สมเด็จพระพุฒาจารย์ ถวายศีลและถวายพระธรรมเทศนาจบแล้ว พระสงฆ์ 30 รูป สวดศาทธพรต ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณเทศน์ ทรงทอดผ้าไตรถวายพระเทศน์ 1 ไตร และพระสวดศราทธพรต 30 ไตร ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ ถวายอนุโมทนาถวายอดิเรก ถวายพระพรลา ทรงทอดผ้าไตร ถวายแด่พระสงฆ์ จำนวน 89 รูป จากนั้นพระสงฆ์ สดัปกรณ์เท่าพระชนมพรรษา จำนวน 89 รูป บรรพชิตจีน ญวน สวดมาติกาสดับปกรณ์ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องบูชา กระบะมุกที่แท่นเตียงพระสวดอภิธรรม[99] เวลา 17.17 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมายังพระที่นั่งทรงธรรม ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย สำหรับพระบรมศพทรงธรรมที่พระเมรุมาศ สมเด็จพระสังฆราชถวายพระธรรมเทศนา จบ พระราชาคณะ 50 รูป สวดศราทธพรต ถวายไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์ และทรงทอดผ้าไตร ถวายพระเทศน์ และพระสงฆ์ที่สวดศราทธพรต สดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ออกจากพระที่นั่งทรงธรรม เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่มุขหน้าพระที่นั่งทรงธรรม ผู้แทนจิตอาสาเชิญดอกไม้จันทน์ 9 พาน ผ่านพระที่นั่งทรงธรรม ถวายความเคารพแล้วเดินออกจากมณฑลพิธี เวลา 18.30 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นพระเมรุมาศถวายพระเพลิงพระบรมศพ ชาวพนักงานประโคมกระทั่งมโหระทึก สังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง ปี่ กลองชนะ และปี่พาทย์ ทหารกองเกียรติยศ 3 เหล่าทัพ ถวายความเคารพ เป่าแตรนอน และยิงปืนเล็กยาว 9 นัด พร้อมกับทหารปืนใหญ่ยิงปืนใหญ่ถวายพระเกียรติ 21 นัด เสด็จพระราชดำเนินไปประทับมุขหน้าพระที่นั่งทรงธรรม จากนั้นพระราชทานพระราชานุญาตให้ สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระราชาคณะ พระบรมวงศานุวงศ์ พระประมุข ประมุข พระราชวงศ์ ผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศ ฯลฯ ขึ้นถวายพระเพลิงพระบรมศพตามลำดับ หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชปฎิสันถารกับพระประมุข ประมุข พระราชวงศ์ และผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศ แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับ ต่อมาเวลา 20.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าวชิรเกล้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมายังพระที่นั่งทรงธรรม พระสงฆ์สวดมาติกา ทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ 30 รูป สดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ออกจากพระที่นั่งทรงธรรม เสด็จขึ้นพระเมรุมาศ ปิดพระฉากปิดพระวิสูตร เพื่อเตรียมการถวายพระเพลิงพระบรมศพ จากนั้นเวลา 22.00 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นพระที่นั่งทรงธรรม พระสงฆ์สวดมาติกา ทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ 30 รูป สดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ออกจากพระที่นั่งทรงธรรรม พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นพระเมรุมาศ ถวายพระเพลิงพระบรมศพ พร้อมพระบรมวงศ์ เสด็จพระราชดำเนิน ไปประทับมุขหน้าพระที่นั่งทรงธรรม เจ้าพนักงานปฏิบัติการถวายพระเพลิงพระบรมศพเสร็จแล้ว ทรงทอดผ้าไตรที่พระจิตกาธาน พระสงฆ์ 10 รูป สดับปกรณ์เสร็จแล้ว เสด็จพระราชดําเนินกลับ[100] วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 08.42 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์มายังพระที่นั่งทรงธรรม เวลา 08.46 น. เสด็จขึ้นพระเมรุมาศ ทรงจุดธูปเทียนถวายราชสักการะพระบรมอัฐิ ถวายสรง พระบรมอัฐิด้วยน้ำพระสุคนธ์ เจ้าพนักงานภูษามาลาถวายผ้าเยียรบับคลุมพระบรมอัฐิ ทรงจุดธูปเทียน เครื่องทองน้อยสําหรับพระบรมอัฐิบูชาพระสงฆ์ ทรงทอดผ้าไตรถวายพระ 3 หาบ พระสงฆ์ขึ้นสดับปกรณ์พระบรมอัฐิ พระสงฆ์สดับปกรณ์ครบ 9 รูป แล้ว เจ้าพนักงานภูษามาลาเปิดผ้าคลุมพระบรมอัฐิ ทรงเก็บพระบรมอัฐิ สรงพระสุคนธ์แล้วประมวลลงในพระโกศทองคําลงยา 6 พระโกศ จากนั้น พระราชทานพระโกศพระบรมอัฐิแก่พระบรมวงศ์แล้ว เวลา 09.20 น. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานภูษามาลา อัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิลงจากพระเมรุมาศไปยังพระที่นั่งทรงธรรม เสด็จฯ ตามประทับที่หน้าอาสน์สงฆ์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะพระบรมอัฐิแล้วทรงประเคนโตกสํารับภัตตาหาร 3 หาบ แด่พระสงฆ์ 9 รูป พระสงฆ์ 3 หาบรับพระราชทานฉัน เสร็จแล้ว เสด็จฯ ไปถวายเครื่องสังเค็ดงานถวายพระเพลิงพระบรมศพแด่พระสงฆ์ 3 หาบ และพระสงฆ์ 30 รูป พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ออกจากพระที่นั่ง พระสงฆ์อีก 30 รูปขึ้นนั่งยังอาสน์สงฆ์ สวดมาติกา ทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์พระบรมอัฐิถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก[101] วันเสาร์ ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 17.34 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในโอกาสนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ โดยเสด็จด้วย ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะพระบรมอัฐิและพระอัฐิ การบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมอัฐิเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2560 เวลา 17:34 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในโอกาสนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ โดยเสด็จด้วยทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะพระบรมอัฐิและพระอัฐิ สมเด็จพระบรมราชบุพการี ที่เชิญออกประดิษฐานบนแท่นพระมหาเศวตฉัตร จำนวน 12 โกศ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่บุษบกแว่นฟ้า ทรงกราบ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ บูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ของพระบรมอัฐิและพระอัฐิ ที่พระแท่นมณฑลมุก ทรงกราบ ทรงประเคนพัดรองที่ระลึก งานทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร แด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะที่จะถวายพระธรรมเทศนา และสวดพุทธมนต์ 31 รูป พระสงฆ์รับอนุโมทนา 4 รูป และพระสงฆ์ที่จะสดับปกรณ์ 12 รูป สมเด็จพระบรมราชบุพการี ที่เชิญออกประดิษฐานบนแท่นพระมหาเศวตฉัตร จำนวน 12 โกศ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่บุษบกแว่นฟ้า ทรงกราบ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ บูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ของพระบรมอัฐิและพระอัฐิ ที่พระแท่นมณฑลมุก ทรงกราบ ทรงประเคนพัดรองที่ระลึก งานทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร แด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะที่จะถวายพระธรรมเทศนา และสวดพุทธมนต์ 31 รูป พระสงฆ์รับอนุโมทนา 4 รูป และพระสงฆ์ที่จะสดับปกรณ์ 12 รูป ทรงจุดเทียนดูหนังสือเทศน์พระราชทานให้เจ้าพนักงานพระราชพิธีเชิญไปตั้งโต๊ะที่ข้างธรรมาสน์ พระมหาโพธิวงศาจารย์ วัดราชโอรสาราม ที่จะถวายเทศน์ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสำหรับพระบรมอัฐิและพระอัฐิ สมเด็จพระบรมราชบุพการี ทรงธรรม ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสำหรับพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงธรรม ทรงคม ประทับพระราชอาสน์ ทรงศีล พระมหาโพธิวงศาจารย์ ที่ถวายเทศน์ ถวายอนุโมทนาบนธรรมมาสน์ พระสงฆ์ 4 รูป รับอนุโมทนา ทรงประเคนจตุปัจจัยบูชาไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์[103] วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 17:29 น. พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปยังศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ในการอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จากพระศรีรัตนเจดีย์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ไปทรงบรรจุ ณ พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี, ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา, สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ, คุณพลอยไพลินและคุณสิริกิติยา เจนเซน เสด็จพระราชดำเนิน เสด็จและร่วมในการพระราชพิธี พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงอัญเชิญพระผอบพระบรมราชสรีรางคาร ประทับรถยนต์พระที่นั่งออกจากพระบรมมหาราชวัง โดย พ.ต.หญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในฐานะทรงดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองพันทหารม้าที่ 29 รักษาพระองค์ ทรงม้านำริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ริ้วขบวนที่ 6 อัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารออกจากพระบรมมหาราชวัง ทางประตูวิเศษไชยศรี ถนนหน้าพระลาน เลี้ยวขวาถนนสนามไชย เลี้ยวซ้ายถนนกัลยาณไมตรี ข้ามสะพานช้างโรงสี เลี้ยวขวาถนนอัษฎางค์และเลี้ยวซ้ายเทียบหน้าวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ซึ่งตลอดเส้นทางมีประชาชนจำนวนมากและจิตอาสาเฉพาะกิจ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและแสดงความอาลัยแด่พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวางพุ่มดอกไม้และทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธอังคีรส พระประธานพระอุโบสถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พระราชสรีรางคารสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 และพระบรมราชสรีรางคาร พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระสงฆ์สวดมาติกา ทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารลงในถ้ำศิลา ทรงปิดฝาและทรงเลื่อนเข้าที่บรรจุใต้ฐานพระพุทธอังคีรส แล้วทรงวางพวงมาลาส่วนพระองค์ และของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะ จากนั้น พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระบรมวงศานุวงศ์ ประทับรถยนต์พระที่นั่งเข้าริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคาร ออกจากวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เลี้ยวขวาถนนอัษฏางค์ เลี้ยวซ้ายสะพานช้างโรงสี ไปตามถนนกัลยาณไมตรี เลี้ยวขวาถนนสนามไชย ถนนราชดำเนินใน ข้ามสะพานผ่านพิภพลีลา ถนนราชดำเนินกลาง เลี้ยวซ้ายถนนพระสุเมรุ ไปเทียบหน้าวัดบวรนิเวศวิหาร ในการนี้ พ.ต.หญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงม้านำริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ริ้วขบวนที่ 6 ซึ่งประกอบด้วยขบวนกองทหารม้าเกียรติยศ 78 ม้า พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธชินสีห์ พระประธานพระอุโบสถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระสงฆ์สวดมาติกา ทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารลงในถ้ำศิลา ทรงปิดฝาและทรงเลื่อนเข้าที่บรรจุใต้ฐานพระพุทธชินสีห์ ทรงวางพวงมาลาส่วนพระองค์ และของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะ อันเป็นการเสร็จสิ้นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ระหว่างวันที่ 25-29 ตุลาคม 2560 หนังสือที่ระลึก
จดหมายเหตุทั้ง 4 เล่มนี้จัดพิมพ์โดย กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร
หนังสือทั้ง 4 เล่มนี้จัดพิมพ์โดย กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร
สิ่งเทิดพระเกียรติอื่น ๆสมุดภาพที่ระลึกสปริงกรุ๊ป ในเครือนิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น ได้จัดทำสมุดภาพเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ชุดสรรเสริญพระบารมี จำนวน 2 เล่ม เล่มแรกมีตอนเดียวคือ "นพพระภูมิบาล" ส่วนเล่มที่ 2 มี 4 ตอน คือ "เอกบรมจักริน" "พระสยามินทร์" "พระยศยิ่งยง" ซึ่งในสมุดภาพทั้งสองเล่มรวมสี่ตอนนี้จะเป็นการถ่ายทอดพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และตอนพิเศษ "ยงยศยงศักดา มหาวชิราลงกรณ" ซึ่งเป็นการถ่ายทอดพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมถึงยังได้รวบรวมเพลงสรรเสริญพระบารมีจำนวน 9 รูปแบบ มาไว้ในสมุดภาพเล่มที่ 2 ด้วย โดยผ่านการคัดสรรจากหน่วยงาน องค์กร และบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรแล้ว[104][105] บทเพลงถวายความอาลัยหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคตแล้ว ได้มีศิลปินหลายคนจัดทำบทเพลงถวายความอาลัย ดังนี้[106]
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น |