จังหวัดพัทลุง
พัทลุง เป็นจังหวัดในภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย ห่างจากกรุงเทพมหานคร ประมาณ 860 กิโลเมตร มีจังหวัดที่อยู่ติดกันได้แก่ นครศรีธรรมราช ตรัง สตูล สงขลา และมีพื้นที่ด้านตะวันออกของจังหวัดจรดทะเลสาบสงขลา ในอดีต พัทลุงเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่แห่งหนึ่ง และยังมีสภาพภูมิประเทศทั้งที่ราบ เนินเขา และชายฝั่ง โดยทางทิศตะวันตกของจังหวัด จะเป็นพื้นที่ที่ราบสูงและที่ราบเชิงเขา อันเนื่องมาจากมีพื้นที่ติดต่อกับทิวเขานครศรีธรรมราช ถัดลงมาทางตอนกลางและทางทิศตะวันออกของจังหวัด จรดทะเลสาบสงขลาจะเป็นที่ราบลุ่ม เหมาะแก่การทำการเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำนาข้าว ชาวภาคใต้จะเรียกจังหวัดนี้ว่า "เมืองลุง" สัญลักษณ์ประจำจังหวัด
ที่ตั้งจังหวัดพัทลุง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของภาคใต้ของประเทศไทย ระหว่างละติจูดที่ 7 องศา 6 ลิปดาเหนือถึง 7 องศา 53 ลิปดาเหนือ และลองจิจูดที่ 100 องศา 5 ลิปดาตะวันออก ห่างจากกรุงเทพมหานครตามเส้นทางสายเอเชีย (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 41) เป็นระยะทางประมาณ 858 กิโลเมตร และตามเส้นทางรถไฟ ระยะทางประมาณ 846 กิโลเมตร ความยาวของจังหวัดจากทิศเหนือไปทิศใต้ประมาณ 78 กิโลเมตรและความกว้างจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ระยะทางประมาณ 53 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 3,424.473 ตารางกิโลเมตร หรือ 2,140,296 ไร่ (พื้นดิน 1,919,446 ไร่ พื้นน้ำ 220,850 ไร่) มีเขาที่สูงที่สุดคือเขาเจ็ดยอด อยู่ในเทือกเขาบรรทัด สูงประมาณ 1,260 เมตร มีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้
ประวัติพัทลุงเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทยที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ดังปรากฏหลักฐานจากการค้นพบขวานหินขัดในท้องที่ทั่วไปหลายอำเภอในสมัยศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13–14) บริเวณเมืองพัทลุงเป็นแหล่งที่ได้รับวัฒนธรรมอินเดียในด้านพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน มีหลักฐานค้นพบ เช่น พระพิมพ์ดินดิบจำนวนมากเป็นรูปพระโพธิสัตว์ รูปเทวดาโดยค้นพบบริเวณถ้ำคูหาสวรรค์ และถ้ำเขาอกทะลุ[ต้องการอ้างอิง] ในพุทธศตวรรษที่ 19 เมืองพัทลุงได้ตั้งขึ้นอย่างมั่นคงภายใต้การปกครองของกรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ปรากฏชื่อเมืองพัทลุง ในกฎหมายพระอัยการนาทหารหัวเมือง พ.ศ. 1998 ระบุว่าเมืองพัทลุงมีฐานะเป็นเมืองชั้นตรี ซึ่งนับได้ว่าเป็นหัวเมืองหนึ่งของพระราชอาณาจักรทางใต้ ที่ตั้งเมืองพัทลุงในระยะเริ่มแรกนั้นเชื่อกันว่า ตั้งอยู่ที่เมืองสทิงพระ จังหวัดสงขลาในปัจจุบัน มักจะประสบปัญหาโดนโจมตีจากกลุ่มโจรสลัดมลายูอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มโจรสลัดราแจะอารูและอุยงคตนะ ได้เข้าปล้นสดมภ์โจมตีเผาทำลายเมืองอยู่เนือง ๆ[ต้องการอ้างอิง] ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมด๊ะโต๊ะโมกอล ชาวมุสลิมที่อพยพมาจากเมืองสาเลห์ บริเวณหมู่เกาะชวา ซึ่งเป็นต้นตระกูลของสุลต่านสุไลมาน แห่งเมืองสงขลาได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานค้าขาย ณ หัวเขาแดง แล้วตั้งประชาคมมุสลิมขึ้น ตรงนั้นอย่างสงบ ไม่มีการขัดแย้งกับชาวเมืองที่อยู่มาก่อน ปักหลักอยู่ยาวนานจนมีผู้คนอพยพมาอาศัยอยู่มากขึ้นในที่สุดก็พัฒนาขึ้นมาเป็นเมืองท่าปลอดภาษี มีเรือสำเภาแวะเข้ามาซื้อ บทบาทของดะโต๊ะโมกอลได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรอยุธยาด้วยดีสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น "ข้าหลวงใหญ่" ผู้ดำรงตำแหน่งนี้ต่อมาคือท่านสุไลมานบุตรชายคนโต มีหน้าที่ปกครองดูแลรักษาความสงบของพื้นที่ตั้งแต่ตอนล่างของนครศรีธรรมราช มาจดเขตปัตตานี ครอบคลุมครึ่งล่างของเมืองตรัง ปะเหลียน พัทลุง และสงขลา นอกจากนี้ก็ต้องเก็บส่วยสาอากรส่งถวายพระเจ้าแผ่นดินที่กรุงศรีอยุธยา ท่านสุไลมานก็ได้ทำหน้าที่นี้เรียบร้อยด้วยดีมาตลอด ต่อมาได้ย้ายเมืองสงขลาจากสทิงพระมายังหัวเขาแดงซึ่งมีชัยภูมิป้องกันตนเองได้ดีกว่า ในสมัยสุลต่านสุไลมาน บุตรของดะโต๊ะโมกอล ได้ส่ง ฟาริซีน้องชายซึ่งเป็นปลัดเมืองมาสร้างเมืองใหม่ที่เขาชัยบุรี เพื่อป้องกันศัตรูที่จะมาโจมตีเมืองสงขลาทางบก ภายหลังได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าเมืองพัทลุง และได้ย้ายเมืองพัทลุงออกจากเมืองสงขลาตั้งแต่นั้น และตั้งเมืองอยู่ที่เขาชัยบุรีตลอดมาจนกระทั่งสิ้นกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2310[ต้องการอ้างอิง] ในสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการย้ายสถานที่ตั้งเมืองอีกหลายครั้งและได้ยกขึ้นเป็นเมืองชั้นโทในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในช่วงนี้เมืองพัทลุงมีผู้นำที่มีความสำคัญในการสร้างความเจริญและความมั่นคงให้กับบ้านเมืองหลายท่าน อาทิ พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) พระยาวิชิตเสนา (ทองขาว)พระยาอภัยบริรักษ์ (จุ้ย จันทร์โรจน์วงศ์) ส่วนประชาชนชาวเมืองพัทลุงก็ได้มีบทบาทในการร่วมมือกับผู้นำ ต่อสู้ป้องกันเอกราชของชาติมาหลายครั้ง เช่น เมื่อสงครามเก้าทัพ (พ.ศ. 2328 – 2329) พม่าจัดกองทัพใหญ่ 9 ทัพ 1 ใน 9 ทัพ มีเกงหวุ่นแมงยีเป็นแม่ทัพ ยกลงมาตีทางใต้ ตีได้เมืองกระบุรี ระนอง ชุมพร ไชยา และนครศรีธรรมราชตามลำดับ และในขณะที่กำลังจัดไพร่พลอยู่ที่นครศรีธรรมราช เพื่อจะยกมาตีเมืองพัทลุงและสงขลานั้น พระยาพัทลุงโดยความร่วมมือจากพระมหาช่วยแห่งวัดป่าลิไลยก์ ได้รวบรวมชาวพัทลุงประมาณ 1,000 คน ยกออกไปตั้งขัดตาทัพที่คลองท่าเสม็ด จนกระทั่งทัพของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท วังหน้าในรัชกาลที่ 1 ทรงยกกองทัพมาช่วยหัวเมืองปักษ์ใต้ ตีทัพพม่าแตกหนีไป พระมหาช่วยได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ลาสิกขาแล้วแต่งตั้งเป็นพระยาทุกขราษฎร์ช่วยราชการเมืองพัทลุง นอกจากสงครามกับพม่าแล้วชาวพัทลุงยังมีบทบาทสำคัญในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติในหัวเมืองภาคใต้ เพราะปรากฏอยู่เสมอว่าทางเมืองหลวงได้มีคำสั่งให้เกณฑ์ชาวพัทลุง พร้อมด้วยเสบียงอาหารไปทำสงครามปราบปรามกบฏในหัวเมืองมลายูเช่น กบฏไทรบุรี พ.ศ. 2373 และ พ.ศ. 2381 ซึ่งบทบาทดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นความสำคัญของเมืองพัทลุง ทางด้านการเมือง การปกครองในอดีตเป็นอย่างดี [ต้องการอ้างอิง] ครั้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ปฏิรูปการปกครองเป็นแบบเทศาภิบาลใน พ.ศ. 2437 และได้ประกาศจัดตั้งมณฑลนครศรีธรรมราชขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2439 ประกอบด้วยเมืองต่างๆ คือ นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา และหัวเมืองทั้ง 7 ที่เป็นเมืองปัตตานีเดิม สำหรับเมืองพัทลุงแบ่งการปกครองออกเป็น 3 อำเภอ คืออำเภอกลางเมือง อำเภออุดร และอำเภอทักษิณ ขณะนั้นตัวเมืองตั้งอยู่ที่ตำบลลำปำ จนกระทั่ง พ.ศ. 2467 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองพัทลุงมาอยู่ที่ตำบลคูหาสวรรค์ในปัจจุบัน เพื่อจะได้อยู่ใกล้เส้นทางรถไฟ และสะดวกในด้านติดต่อกับเมืองต่าง ๆ [ต้องการอ้างอิง] จากอดีตถึงปัจจุบัน เมืองพัทลุงได้มีการย้ายเมืองหลายครั้งสถานที่เคยเป็นที่ตั้งเมืองพัทลุงมาแล้ว ได้แก่
ในปี พ.ศ. 2476 ได้มีการจัดระเบียบบริหารส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัดและอำเภอ ได้ยกเลิกการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล ทำให้เมืองพัทลุงมีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่ง ในปัจจุบันจังหวัดพัทลุง แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 11 อำเภอ คือ อำเภอเมืองพัทลุง อำเภอควนขนุน อำเภอเขาชัยสน อำเภอปากพะยูน อำเภอกงหราอำเภอตะโหมด อำเภอป่าบอน อำเภอศรีบรรพต อำเภอป่าพะยอม อำเภอบางแก้ว และอำเภอศรีนครินทร์[3] หน่วยการปกครองการปกครองแบ่งออกเป็น 11 อำเภอ 65 ตำบล 670 หมู่บ้าน การปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดพัทลุง มีการแบ่งการปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เฉพาะรูปแบบทั่วไป ดังนี้ จังหวัดพัทลุงมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 74 แห่ง ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) จำนวน 1 แห่ง เทศบาล จำนวน 49 แห่ง (แยกเป็นเทศบาลเมือง จำนวน 1 แห่ง และเทศบาลตำบล จำนวน 48 แห่ง) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) จำนวน 24 แห่ง [ที่มา:สำนักส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดพัทลุง (พฤษภาคม 2564)] องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)มีองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง ประกอบไปด้วย ฝ่ายบริหารคือ นายก อบจ. พัทลุงพร้อมรองนายกอบจ. (2 ท่าน) เลขานุการนายกอบจ. (3 ท่าน) ที่ปรึกษานายกอบจ. (2 ท่าน) และที่ปรึกษาพิเศษนายกอบจ. (9 ท่าน) และฝ่ายสภา อบจ. พัทลุง โดยมี สมาชิก อบจ. หรือ สจ. 30 ท่าน เป็นประธานสภาและรองประธานสภาคนที่ 1 และคนที่ 2 อีกทั้งได้เลือกสมาชิกเป็นเลขานุการสภาอบจ. (1 ท่าน) ซึ่งแบ่งเขตของทั้ง 11 อำเภอ 65 ตำบล 670 หมู่บ้าน (การแบ่งเขตเลือกตั้งแต่ละครั้งประกาศโดย กกต.) เทศบาลเมืองมีเทศบาลเมือง 1 แห่ง คือ
เทศบาลตำบลจังหวัดพัทลุงมีเทศบาลตำบล 48 แห่ง ในทุกอำเภอ ยกเว้นอำเภอศรีบรรพต (ทั้ง 3 ตำบลยังมีฐานะเป็น อบต. ทั้งหมด)
องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)จังหวัดพัทลุงมีองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) จัดตั้งเมื่อ พ.ศ. 2538 (2 ตำบล)และพ.ศ. 2539 (22 ตำบล) รวมทั้งหมด 24 แห่งในทุกอำเภอ ยกเว้น 2 อำเภอได้ยกฐานะเป็นเทศบาลตำบลทั้งอำเภอคือ อำเภอตะโหมด และอำเภอศรีนครินทร์
รายนามเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง
อุทยานการขนส่งระยะทางจากตัวจังหวัดไปอำเภอต่าง ๆ
การศึกษาโรงเรียน
ระดับอุดมศึกษา
อุตสาหกรรมในจังหวัดพัทลุงมีกลุ่มสตาร์ตอัพ Southern IoT ได้ทำการติดตั้งและดำเนินการในระบบเครือข่าย LoRaWAN โดยโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ People's Network ซึ่งเป็นโครงการ LoRaWAN ที่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบและให้บริการฟรีสำหรับผู้ใช้และนักพัฒนา IoT ภายในจังหวัด โดยใช้ SenseCAP M1 LoRa Gateway ที่มี Firmware ที่พัฒนาโดย Southern IoT Co., Ltd. ทำงานบน Kubernetes โดยเริ่มที่จังหวัดพัทลุงเป็นจังหวัดแรกของประเทศไทย ปัจจุบันเครือข่ายนี้มีการติดตั้ง LoRaWAN Gateway มากกว่า 100 ตัว ส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทย รวมถึงจังหวัดพัทลุงด้วย เพื่อช่วยขยายการครอบคลุมของเครือข่าย ผู้ใช้สามารถนำ LoRaWAN Gateway ของตัวเองมาร่วมติดตั้งในโครงการได้ ระบบได้มีการนำ AI มาใช้ในการบริหารจัดการเครือข่ายนี้ เครือข่าย LoRaWAN ในพัทลุงถูกนำไปใช้ในหลายด้าน เช่น การเกษตรอัจฉริยะ เพื่อเพิ่มผลผลิตและวางแผนการเกษตร นอกจากนี้ ยังมีการใช้งานในโครงการต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาสำคัญของพื้นที่ เช่น การขาดแคลนน้ำในพื้นที่ชนบท บุคคลที่มีชื่อเสียง
อ้างอิง
ดูเพิ่มหนังสือและบทความ
ออนไลน์แหล่งข้อมูลอื่น
7°38′N 100°04′E / 7.63°N 100.07°E
|