สำหรับความหมายอื่น ดูที่
บาท
บาท |
---|
Thai baht |
|
ISO 4217 |
---|
รหัส | THB |
---|
การตั้งชื่อ |
---|
หน่วยย่อย | |
---|
1/100 | สตางค์ |
---|
สัญลักษณ์ | ฿ |
---|
ธนบัตร | |
---|
ใช้บ่อย | 20, 50, 100, 500, 1000 บาท |
---|
ไม่ค่อยใช้ | 50 สตางค์, 1, 5, 10 บาท |
---|
เหรียญ | |
---|
ใช้บ่อย | 25, 50 สตางค์, 1, 2, 5, 10 บาท |
---|
ไม่ค่อยใช้ | 1, 5, 10 สตางค์ |
---|
ข้อมูลการใช้ |
---|
ผู้ใช้ | อย่างเป็นทางการ ไทย
- อย่างไม่เป็นทางการ
พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม
|
---|
การตีพิมพ์ |
---|
ธนาคารกลาง | ธนาคารแห่งประเทศไทย |
---|
เว็บไซต์ | www.bot.or.th |
---|
โรงพิมพ์ธนบัตร | สำนักกษาปณ์ |
---|
เว็บไซต์ | www.royalthaimint.net |
---|
การประเมินค่า |
---|
อัตราเงินเฟ้อ | >2.5% (ในวันที่ 15 พ.ค. 2555 เป็นต้นไป) |
---|
ที่มา | The World Factbook (พ.ศ. 2549) |
---|
บาท (ตัวละติน: Baht; สัญลักษณ์: ฿; รหัสสากลตาม ISO 4217: THB) เป็นสกุลเงินตราประจำชาติของประเทศไทย เดิมคำว่า "บาท" เป็นหนึ่งในคำใช้เรียกหน่วยการชั่งน้ำหนักของไทย ปัจจุบันยังมีใช้ในความหมายเดิมอยู่บ้าง โดยเฉพาะในการซื้อขายทองคำ เช่น "ทองคำวันนี้ราคาขายบาทละ32,000 บาท" หมายถึงทองคำหนักหนึ่งบาทสามารถขายได้ 32,000 บาท ในสมัยที่เริ่มใช้เหรียญครั้งแรก เงินเหรียญหนึ่งบาทนั้นเป็นเงินที่มีน้ำหนักหนึ่งบาทจริง ๆ ไม่ได้ทำด้วยทองแดงนิกเกิลเช่นในปัจจุบัน
เหรียญไทยนั้นผลิตออกมาโดยสำนักกษาปณ์ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง โดยสามารถผลิตออกใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนโดยไม่ต้องมีสิ่งใดมาค้ำประกัน เพราะโลหะที่ใช้ผลิตเหรียญกษาปณ์นั้นมีค่าในตัวเองอยู่แล้ว ส่วนธนบัตรนั้นผลิตและควบคุมการหมุนเวียนโดยธนาคารแห่งประเทศไทย การผลิตธนบัตรนำออกใช้จะมีหลักเกณฑ์วิธีที่เหมาะสมเพื่อให้เศรษฐกิจของชาติมีเสถียรภาพ
ตามข้อมูลของสมาคมเพื่อการโทรคมนาคมทางการเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก (SWIFT) สกุลเงินบาทได้รับการอันดับเป็นสกุลเงินอันดับที่ 10 ของโลกที่ใช้ในการชำระเงินระหว่างประเทศ (most frequently used currencies in World Payments)[[1] 1]
ประวัติศาสตร์
ระบบสกุลเงินไทยในปัจจุบัน ซึ่งเงิน หนึ่งบาท มีค่าเท่ากับ 100 สตางค์ เริ่มใช้ พ.ศ. 2440 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ก่อนหน้านั้นเงินตราไทยใช้ระบบดังนี้
หน่วยเงิน |
มูลค่า |
หมายเหตุ
|
1 หาบ |
80 ชั่ง = 6,400 บาท |
|
1 ชั่ง |
20 ตำลึง = 80 บาท |
|
1 ตำลึง |
4 บาท |
|
1 บาท |
1 บาท = 100 สตางค์ |
|
1 มายน หรือ 1 มะยง |
1/2 บาท = 50 สตางค์ |
ปัจจุบันยังมีการเรียกเหรียญมูลค่านี้ว่า เหรียญสองสลึง
|
1 สลึง |
1/4 บาท = 25 สตางค์ |
ปัจจุบันยังมีการเรียกเหรียญมูลค่านี้ว่า เหรียญสลึง
|
1 เฟื้อง |
1/8 บาท = 12.5 สตางค์ |
|
1 ซีก หรือ 1 สิ้ก |
1/16 บาท = 6.25 สตางค์ |
|
1 เสี้ยว 1 เซี่ยว หรือ 1 ไพ |
1/32 บาท = 3.125 สตางค์ |
|
1 อัฐ |
1/64 บาท = 1.5625 สตางค์ |
|
1 โสฬส หรือ โสฬศ |
1/128 บาท = 0.78125 สตางค์ |
|
1 เบี้ย |
1/6400 บาท = 0.015625 สตางค์ |
|
เหรียญ
ในปัจจุบันมีการผลิตเหรียญกษาปณ์อยู่ทั้งหมด 9 ชนิดคือ เหรียญ 1, 5, 10, 25 และ 50 สตางค์, 1, 2, 5 และ 10 บาท โดยเหรียญ 25 และ 50 สตางค์, 1, 2, 5 และ 10 บาท เป็นเหรียญที่ออกใช้หมุนเวียนทั่วไป ส่วนเหรียญ 1, 5 และ 10 สตางค์ ไม่ได้ออกใช้หมุนเวียนทั่วไป แต่ใช้ภายในธนาคารเท่านั้น
แต่ในปัจจุบันได้เกิดปัญหาราคาวัตถุดิบในการผลิตเหรียญสูงกว่าราคาเหรียญ ทำให้เกิดการลักลอบหลอมเหรียญไปขาย หรือบางครั้งก็เกิดปัญหาการใช้เหรียญผิด เพราะรูปร่างและสีของเหรียญบางชนิดนั้นคล้ายกัน (เช่น เหรียญ 1 บาท กับ เหรียญ 2 บาท แบบเก่า) ดังนั้น ใน พ.ศ. 2552 กระทรวงการคลัง ได้เปลี่ยนแปลงวัตถุดิบในการผลิตเหรียญบางชนิด เพื่อป้องกันการหลอมเหรียญ สร้างความแตกต่างของเหรียญ และลดความยุ่งยากในการใช้เหรียญเป็นดังนี้
เหรียญของเงินบาทไทย
การหมุนเวียนของเงินตรา (ไทย)
|
มูลค่า |
ตัวแปรทางเทคนิค |
คำบรรยาย |
ปีที่ผลิตครั้งแรก
|
เส้นผ่าศูนย์กลาง |
มวล |
องค์ประกอบ |
ด้านหน้า |
ด้านหลัง
|
เหรียญ 1 สตางค์ 1
|
15 มิลลิเมตร
|
0.5 กรัม
|
97.5% Al, 2.5% Mg
|
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
|
วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร, จังหวัดลำพูน
|
พ.ศ. 2530 (1987)
|
99% Aluminium
|
พ.ศ. 2551 (2008)
|
เหรียญ 5 สตางค์ 1
|
16 มิลลิเมตร
|
0.6 กรัม
|
97.5% Al, 2.5% Mg
|
วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร, จังหวัดนครปฐม
|
พ.ศ. 2530 (1987)
|
16.5 มิลลิเมตร
|
99% Al
|
พ.ศ. 2551 (2008)
|
เหรียญ 10 สตางค์ 1
|
17.5 มิลลิเมตร
|
0.8 กรัม
|
97.5% Al, 2.5% Mg
|
วัดพระธาตุเชิงชุม, จังหวัดสกลนคร
|
พ.ศ. 2530 (1987)
|
99% Al
|
พ.ศ. 2551 (2008)
|
เหรียญ 25 สตางค์
|
16 มิลลิเมตร
|
1.9 กรัม
|
อะลูมีเนียมบรอนซ์
|
วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร, จังหวัดนครศรีธรรมราช
|
พ.ศ. 2530 (1987)
|
เหรียญ 25 สตางค์ (แบบ 2)
|
16 มิลลิเมตร
|
1.9 กรัม
|
ทองแดง ชุบ เหล็ก
|
พ.ศ. 2551 (2008)
|
เหรียญ 50 สตางค์
|
18 มิลลิเมตร
|
2.4 กรัม
|
อะลูมีเนียมบรอนซ์
|
วัดพระธาตุดอยสุเทพ, จังหวัดเชียงใหม่
|
พ.ศ. 2530 (1987)
|
เหรียญ 50 สตางค์ (แบบ 2)
|
18 มิลลิเมตร
|
2.4 กรัม
|
ทองแดง ชุบ เหล็ก
|
พ.ศ. 2551 (2008)
|
เหรียญ 1 บาท
|
20 มิลลิเมตร
|
3.4 กรัม
|
คิวโปรนิกเกิล
|
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม, กรุงเทพมหานคร
|
พ.ศ. 2529 (1986)
|
3 กรัม
|
นิกเกิล ชุบ เหล็ก
|
พ.ศ. 2551 (2008)
|
เหรียญ 2 บาท
|
21.75 มิลลิเมตร
|
4.4 กรัม
|
นิกเกิล ชุบ เหล็กคาร์บอนต่ำ
|
วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร, กรุงเทพมหานคร
|
พ.ศ. 2548 (2005)
|
21.75 มิลลิเมตร
|
4 กรัม
|
อะลูมีเนียมบรอนซ์
|
พ.ศ. 2551 (2008)
|
เหรียญ 5 บาท
|
24 มิลลิเมตร
|
7.5 กรัม
|
คิวโปรนิกเกิล หุ้ม ทองแดง
|
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร, กรุงเทพมหานคร
|
พ.ศ. 2531 (1988)
|
6 กรัม
|
พ.ศ. 2551 (2008)
|
เหรียญ 10 บาท
|
26 มิลลิเมตร
|
8.5 กรัม
|
วงแหวน: คิวโปรนิกเกิล ตรงกลาง: อะลูมีเนียมบรอนซ์
|
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร
|
พ.ศ. 2531 (1988)
|
เหรียญ 10 บาท (แบบ 2)
|
26 มิลลิเมตร
|
พ.ศ. 2551 (2008)
|
ธนบัตร
นับ แต่เริ่มนำธนบัตรออกใช้เมื่อพุทธศักราช 2445 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยได้นำธนบัตรออกใช้รวมทั้งสิ้น 17 แบบ ซึ่งแบ่งเป็นธนบัตรก่อนจัดตั้งโรงพิมพ์ธนบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่ ธนบัตรแบบ 1-10 รวมทั้งธนบัตรแบบพิเศษ และธนบัตรที่ผลิตจากโรงพิมพ์ธนบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่ ธนบัตรแบบ 11-17
ธนบัตร ที่ใช้ในประเทศไทยในปัจจุบันมีหลายชนิด แต่หลายชนิดเป็นธนบัตรที่ระลึกที่มีจำนวนจำกัด และไม่ถูกใช้ในการหมุนเวียนทั่วไป เช่น ธนบัตรที่ระลึกมูลค่า 60 บาท เป็นต้น ส่วนธนบัตรที่ถูกใช้หมุนเวียนทั่วไป และยังมีการผลิตอยู่อย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน มี 5 ชนิด ได้แก่ ธนบัตร 20, 50, 100, 500 และ 1000 บาท
อ้างอิง
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
|
---|
เอเชียเหนือและกลาง | |
---|
เอเชียตะวันออก | |
---|
เอเชียใต้ | |
---|
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | |
---|
เอเชียตะวันตก | |
---|
สกุลเงินในอดีต | |
---|
|
อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref>
สำหรับกลุ่มชื่อ "[1]" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="[1]"/>
ที่สอดคล้องกัน