พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (อังกฤษ: Bangkok National Museum) เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ถนนหน้าพระธาตุ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของพระราชวังบวรสถานมงคล ที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในอดีต ที่มีมีอาณาเขตตั้งแต่บริเวณมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์, มณฑลพิธีท้องสนามหลวงตอนเหนือฝั่งตะวันตก, อนุสาวรีย์ทหารอาสา และโรงละครแห่งชาติในปัจจุบัน ภายในพิพิธภัณฑ์ประกอบด้วยหมู่พระที่นั่งต่าง ๆ ได้แก่ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย หมู่พระวิมาน พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ และ อาคารมหาสุรสิงหนาท เดิมพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ที่หอคองคอเดีย (ศาลาสหทัยสมาคม ในปัจจุบัน) เรียกว่า "มิวเซียม" หรือ "พิพิธภัณฑสถานหอคองคอเดีย" โดยมีพิธีเปิดเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2417 จนต่อมาเมื่อกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เสด็จทิวงคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงให้ยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลลง เป็นเหตุให้พระราชวังบวรสถานมงคลว่าง พระองค์จึงโปรดฯ ให้ย้ายพิพิธภัฑสถานมาจัดแสดงโดยใช้พื้นที่ของพระราชวังบวรฯ บางส่วน จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนพระราชมณเฑียรของพระราชวังบวรฯ ทั้งหมดได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครและหอสมุดพระวชิรญาณเพื่อจัดตั้งเป็น พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร เมื่อ พ.ศ. 2469[3] ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทย ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีในประเทศไทย งานประณีตศิลป์และชาติพันธุ์วิทยา รวมไปถึงนิทรรศการชั่วคราวต่าง ๆ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีสถิติจำนวนผู้เข้าชมมากที่สุดในประเทศไทย จากข้อมูลปี พ.ศ. 2555 มีผู้เข้าชมราว 710,007 คน[1] ประวัติการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยนั้นเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยทรงจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2402 ที่พระที่นั่งราชฤดี ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านข้างของพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ต่อมา เมื่อพระองค์ทรงสร้างพระอภิเนาว์นิเวศน์ขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง จึงโปรดฯ ให้ย้ายโบราณวัตถุและของแปลก ๆ มาไว้ยังพระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ในหมู่พระอภิเนาว์นิเวศน์ ซึ่งนับเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์ หรือ “รอยัล มิวเซียม” (Royal Museum) มิได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครขึ้นที่หอคองคอเดีย (ศาลาสหทัยสมาคม ในปัจจุบัน) เรียกว่า "มิวเซียม" หรือ "พิพิธภัณฑสถานหอคองคอเดีย" โดยมีพิธีเปิดเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2417 ซึ่งนับเป็นวันกำเนิดของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย[4] พิพิธภัณฑสถานตั้งอยู่ภายในพระบรมมหาราชวังเป็นเวลา 13 ปี จนกระทั่ง กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญเสด็จทิวงคต พร้อมกันนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้ยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เป็นเหตุให้พระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า ว่างลง พระองค์จึงโปรดฯ ให้ย้ายพิพิธภัฑสถานมาจัดแสดงโดยใช้พื้นที่ของพระราชวังบวรฯ บางส่วน ได้แก่ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ และพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2430[5] นอกจากนี้ พระองค์ยังโปรดฯ ให้มีการปรับปรุงพื้นที่เขตวังหน้าและให้ตัดพื้นที่บางส่วนไปใช้ในราชการทหารด้วย ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเจ้านายฝ่ายกรมพระราชวังบวรฯ เหลือน้อยพระองค์ พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายฝ่ายพระราชวังบวรฯ เข้าไปประทับในพระบรมมหาราชวัง และพระราชทานพระมหามณเฑียร ณ ขณะนั้นให้เป็นโรงทหาร จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์โปรดฯให้ย้ายโรงทหารไปอยู่ที่วังจันทรเกษม (บริเวณกระทรวงศึกษาธิการ ในปัจจุบัน) ส่วนพระราชมณเฑียรของพระราชวังบวรฯ ทั้งหมดจัดเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครและหอสมุดพระวชิรญาณเพื่อจัดตั้งเป็น พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร เมื่อ พ.ศ. 2469[3] ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อ พ.ศ. 2477 ในปี พ.ศ. 2510 ได้สร้างอาคารเพิ่มขึ้นอีก 2 หลัง คือ "อาคารมหาสุรสิงหนาท" ปัจจุบัน จัดแสดงความเป็นมา ศิลปวัตถุ โบราณวัตถุในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และในยุคประวัติศาสตร์ตั้งแต่อาณาจักรทวารวดี ศรีวิชัย ลพบุรี ตลอดจนอิทธิพลอารยธรรมอินเดียสมัยก่อนพุทธศักราช 1800 และ "อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์" ปัจจุบัน จัดแสดงศิลปวัตถุจากอาณาจักรล้านนา สุโขทัย อยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์ ตลอดจนจัดแสดงงานประณีตศิลป์ของกรุงรัตนโกสินทร์ วัตถุจัดแสดงแนวทางการจัดแสดง ปัจจุบัน พิพิธภัณสถานแห่งชาติ พระนคร แบ่งการจัดแสดง ออกเป็น 3 หัวเรื่องใหญ่ ๆ คือ
นอกจากศิลปะโบราณวัตถุแล้ว พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ยังมีโบราณสถาน คือ พระที่นั่ง และ พระตำหนักบางองค์ ที่เป็นตัวอย่างของ งานสถาปัตยกรรมไทยที่งดงาม เช่น พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ภายในพระที่นั่งประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ และมีจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามยิ่ง พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ ที่ประทับ ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระตำหนักแดง ที่ประทับ ของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีในรัชกาลที่ 2 รวมไปถึง พระที่นั่งขนาดย่อม และศาลาทรงไทยในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ศาลาสรง ศาลาสำราญมุขมาตย์ พระที่นั่งมังคลาภิเษก และ พระที่นั่งปาฏิหาริย์ทัศนัย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ยังคงมีเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมไทย ที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของเกาะรัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน พระที่นั่งพระที่นั่งศิวโมกขพิมานเดิมเคยเป็นห้องสำหรับสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จออกขุนนางและบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ ปัจจุบันจัดแสดงเรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทย
พระที่นั่งพุทไธสวรรย์พระที่นั่งพุทไธสวรรค์ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 สำหรับประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติและภาพเทพชุมนุม
พระตำหนักแดงเดิมนั้นตั้งอยู่บริเวณด้านหลังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ได้โปรดฯให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ ซึ่งเป็นพระพี่นางพระองค์เล็ก และก็ได้สร้างพระตำหนักเขียวขึ้นเพื่อถวายเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี ซึ่งเป็นพระพี่นางพระองค์ใหญ่ เมื่อสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์สิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. 2342แล้วพระธิด คือเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดได้ทรงครอบครองตำหนักแดงต่อมา จนกระทั่งทรงย้ายไปประทับกับพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยผู้เป็นพระภัศดา(ในขณะที่ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร) ณ พระราชวังเดิม กรุงธนบุรี และเมื่อสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้ทรงย้ายที่ประทับจากพระราชวังเดิม กรุงธนบุรีมาประทับในพระบรมมหาราชวังพร้อมกับสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีในรัชกาลที่ 2 (เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด) สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีมีพระราชโอรสสามพระองค์ สิ้นพระชนม์หนึ่งพระองค์ เหลือ ๒ พระองค์คือ ๑. สมเด็จเจ้าฟ้าชายมงกุฏ (ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4) ๒. สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฑามณี (ได้รับพระราชทานพระบวรราชาภิเษกเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ) ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ 2 ได้เสด็จออกไปประทับอยู่พระราชวังเดิมกับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยเหตุที่ว่าในระยะเวลาช่วงนั้น ภายในพระบรมมหาราชวังมีการเปลี่ยนแปลงให้รื้อตำหนักเครื่องไม้ในพระราชวังหลวงสร้างเป็นตำหนักตึก รัชกาลที่ 3จึงได้พระราชทานตำหนักแดงของเดิมให้ไปปลูกถวาย ณ พระราชวังเดิม กรุงธนบุรี เมื่อสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี สวรรคตในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2379พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงย้ายที่ประทับจากพระราชวังเดิม กรุงธนบุรีมาอยู่ภายในพระราชวังบวรสถานมงคล จึงโปรดเกล้าฯให้รื้อตำหนักแดงจากพระราชวังเดิมให้มาสร้างใหม่ที่ท้ายพระบวรราชวัง (บริเวณที่ตั้งของอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบัน) เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระตำหนักแดงไม่ได้รับการดูแลจึงชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลา จนกระทั่งถึงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7ปี พ.ศ. 2470 สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จประพาสพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้ทอดพระเนตรเห็นพระตำหนักแดงชำรุดทรุดโทรม จึงได้พระราชทานพระราชทรัพย์ในการปฏิสังขรณ์จนแล้วเสร็จในปีพ.ศ. 2471โดยสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าได้เสด็จมาบำเพ็ญพระกุศลฉลองพระตำหนักแดงด้วยพระองค์เอง ต่อมาในปี 2506 ได้มีการปฏิสังขรณ์อีกครั้งหนึ่ง โดยได้ย้ายพระตำหนักแดง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของหมู่พระวิมานมาปลูกที่หลังพระที่นั่งศิวโมกขพิมานดังที่เห็นในปัจจุบัน การจัดแสดง ภายในพระตำหนักแดงมีการจัดแสดงสิ่งของ เครื่องใช้ของชนชั้นสูง ส่วนใหญ่เป็นศิลปวัตถุที่เป็นเครื่องประดับบ้าน เช่น ตู้เท้าสิงห์ โต๊ะและเก้าอี้เท้าสิงห์ โถเบญจรงค์ หีบใส่ผ้าของชนชั้นสูง และศิลปวัตถุของผู้ครอบครองตำหนัก ได้แก่ พระแท่นบรรทม และฉลองพระบาทของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีในรัชกาลที่ 2 โคมส่องเสด็จของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว หมู่พระวิมานพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพในสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้า ให้สร้างขึ้นเป็นท้องพระโรงใช้เป็นที่เสด็จออก ปัจจุบันใช้เป็นห้องจัดแสดงนิทรรศการพิเศษหมุนเวียนตลอดปี
พระที่นั่งภิมุขมณเฑียรจัดแสดงเครื่องราชยาน คานหาม สัปคับ เสลี่ยงกง เสลี่ยงหิ้วและสีวิกา
พระที่นั่งทักษิณาภิมุขเคยเป็นที่ประทับในสมัยสมเด็จพระบวรเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ ปัจจุบันจัดแสดงเครื่องการละเล่น หุ่น หัวโขน หนังใหญ่ เครื่องแต่งกาย ละคร เครื่องกีฬาไทย หมากรุกงา ปี้กระเบื้อง ตัวหวย กอ ขอ
พระที่นั่งวสันตพิมานชั้นล่าง จัดแสดงเครื่องถ้วยล้านนา ลพบุรี เบญจรงค์ลายน้ำทอง เครื่องถ้วยญี่ปุ่น และเครื่องถ้วยยุโรป
พระที่นั่งวสันตพิมานชั้นบน จัดแสดงงาช้าง งาช้างจำหลัก และเครื่องใช้ที่ทำจากงาช้าง
พระที่นั่งปัจฉิมาภิมุขจัดแสดงของใช้ประดับมุก เครื่องมุกส่วนใหญ่เป็นของสมเด็จ ฯ กรมพระนครสวรรค์พินิต ประทานพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
พระที่นั่งปฤษฎางคภิมุขจัดแสดงหุ่นจำลองม้าและช้างทองเครื่องคชาธารอาวุธภัณฑ์สมัยโบราณและกลองศึก อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
|