ชัยเกษม นิติสิริ
ศาสตราจารย์พิเศษ ชัยเกษม นิติสิริ ม.ป.ช. ม.ว.ม. ร.จ.พ. (เกิด 26 สิงหาคม พ.ศ. 2491) เป็นอดีตข้าราชการอัยการและนักการเมืองชาวไทยปัจจุบันเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (แพทองธาร ชินวัตร) ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง และบุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีไทยจากพรรคเพื่อไทย อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (เศรษฐา ทวีสิน) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อดีตที่ปรึกษาศูนย์รักษาความสงบ ในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ อดีตอัยการสูงสุด อดีตอัยการอาวุโส (ที่ปรึกษาอัยการสูงสุด) สำนักงานอัยการสูงสุด การศึกษาจบการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นจาก โรงเรียนอัสสัมชัญ มัธยมปลายจาก โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา รุ่นที่ 28 และจบการศึกษาปริญญาตรีแผนกนิติศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับ 2) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยทุนการศึกษา ประเภทเรียนดี จากมูลนิธิจอห์น เอฟ เคนเนดี้ ต่อมาศึกษาระดับปริญญาโท L.L.M. จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยทุนรัฐบาลตามความต้องการของกรมอัยการ (สำนักงานอัยการสูงสุด) และทุนของมูลนิธิ Starr ประเทศสหรัฐอเมริกา) และจบการศึกษาเนติบัณฑิต ไทยจากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา การทำงานชัยเกษม นิติสิริ เริ่มรับราชการเป็นอัยการผู้ช่วย จังหวัดสมุทรสาคร[1] อัยการประจำกอง กองคดี และได้รับการเลื่อนตำแหน่งเรื่อยมา เขาเคยดำรงตำแหน่ง อัยการจังหวัดภูเก็ต เป็นอธิบดีอัยการฝ่ายคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เป็นอธิบดีอัยการฝ่ายคดีอัยการสูงสุด เป็นอธิบดีอัยการฝ่ายปรึกษา พ.ศ. 2546 - 2550 ดำรงตำแหน่งรองอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการสูงสุดและตำแหน่งสูงสุด คือ อัยการสูงสุด ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550[2] ในขณะที่ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดได้รับตำแหน่งกรรมการและกรรมการตรวจสอบ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)กรรมการและประธานกรรมการตรวจสอบ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) นายชัยเกษม นิติสิริ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์พิเศษ ในสาขาวิชานิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552[3]ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 และ พ.ศ. 2555 นายชัยเกษม นิติสิริ ได้รับตำแหน่งในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลายตำแหน่งเช่นประธานสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์คณะกรรมการคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษกรรมการตรวจสอบ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียมกรรมการ คณะที่ 3 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา[4] ชัยเกษมยังได้รับหน้าที่เป็นประธานกรรมการและกรรมการอีกหลายตำแหน่ง อาทิ ประธานกรรมการ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)[5] ประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) กรรมการและประธานกรรมการบริหารธนาคารอาคารสงเคราะห์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยเนชั่น กรรมการสภามหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น กรรมการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรรมการอิสระและกรรมการตรวจสอบ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)[6] และกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย งานการเมืองในสมัยที่ชัยเกษมดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ[7] ฟ้องร้องทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและยังเป็นหนึ่งในฐานะกรรมการกฤษฎีกาที่ได้ร่วมทำคำวินิจฉัยเรื่องเสร็จที่ 568-569/2549 เกี่ยวกับโครงการสลากพิเศษแบบเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว รวมทั้งสั่งไม่ฟ้องการทุจริตในโครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จากกรณีดังกล่าวมีการวิจารณ์จากสื่อมวลชนว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามที่จะตอบแทนตำแหน่งให้ เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556[8] ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 เขาลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 5[9] แต่การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ภายหลังจากการพ้นจากตำแหน่งของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีการประกาศกฏอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร โดยผู้บัญชาการทหารบก และเขาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่หัวหน้าคณะฝ่ายรัฐบาล ในการร่วมเจรจาหาทางออกวิกฤติการณ์ทางการเมือง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 แต่การเจรจาในครั้งนั้นไม่สามารถตกลงกันได้ เขายืนยันว่าคณะรัฐมนตรีรักษาการจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัดสินใจยึดอำนาจการปกครองประเทศ เมื่อเวลา 16.30 น. วันเดียวกัน[10] ต่อมาในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 ชัยเกษมเป็นบุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และชัชชาติ สิทธิพันธุ์[11] และลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 3[12] แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง เนื่องจากพรรคเพื่อไทยมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากกว่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพึงมีตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 เขาเป็นบุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง[13] พร้อมกับแพทองธาร ชินวัตร และเศรษฐา ทวีสิน[14] และลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อสังกัดพรรคเดิม ในลำดับที่ 10[15] และได้รับเลือกตั้ง[16] แต่ต่อมาได้ลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม[17] จากนั้นเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (เศรษฐา ทวีสิน)[18] หลังเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2567 เช้าวันถัดมาชัยเกษมเปิดเผยว่าเขาได้รับแจ้งจากพรรคเพื่อไทยว่าอาจมีการเสนอเขาในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 16 สิงหาคม เขากล่าวว่าแม้จะเคยมีปัญหาสุขภาพแต่ก็ได้รับการรักษาจนมีอาการเป็นปกติแล้ว และไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด[19] อย่างไรก็ตามในการประชุมของพรรคในวันถัดมาได้มีการเสนอชื่อแพทองธารแทนเขาตามข้อเสนอของที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร[20][21][22][23] ต่อมาในรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการการเมือง ตําเเหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ.2567 เครื่องราชอิสริยาภรณ์
อ้างอิง
|