สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี
สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี (9 มีนาคม พ.ศ. 2281 - 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2369) พระนามเดิม นาค เป็นอรรคชายาเดิม[1]ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเป็นสมเด็จพระพันปีหลวงในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชประวัติก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี มีพระนามเดิมว่า นาค เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ แรม 5 ค่ำ เดือน 4 ปีมะเส็ง นพศก จ.ศ. 1099 ตรงกับวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2281 (เมื่อเทียบปฏิทินสุริยคติแล้ว) ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งอาณาจักรอยุธยา เป็นพระธิดาของพระชนกทอง ณ บางช้าง และสมเด็จพระรูปศิริโสภาคย์มหานาคนารี (พระนามเดิม สั้น หรือมาก) เป็นคหบดีเชื้อสายมอญ[2]ทั้งสองเป็นญาติใกล้ชิดกัน สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี มีพระภราดาพระภคินีร่วมพระชนกพระชนนีทั้งสิ้น 10 คน โดยทุกคนล้วนได้รับพระราชทานยศเป็น "เจ้าคุณ"[3] ได้แก่
ร่วมพระชนกต่างพระชนนี คือ เจ้าจอมมารดามา สมรสกับสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พระราชนิพนธ์ "ปฐมวงศ์" ระบุว่า คุณนาคมีสิริโฉมงดงามเป็นที่ร่ำลือ เมื่อข้าหลวงสอดแนมของสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์กราบบังคมทูลทรงทราบ จึงรับสั่งให้กรมมหาดไทยออกท้องตราสู่ขอมาเป็นนางใน แต่พระชนกพระชนนีและพระประยูรญาติไม่สมัครใจ จึงขอให้สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกซึ่งขณะนั้นดูแลการออกท้องตราในกรมมหาดไทยช่วยป้องกันแก้ไข สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกจึงขอให้ข้าหลวงช่วยกราบบังคมทูลว่าตนได้สู่ขอนาคให้บุตรชายที่สี่ซึ่งเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี ได้นัดหมายวันวิวาห์แล้ว เมื่อทรงทราบก็พระราชทานพระอนุญาต หลวงยกกระบัตรจึงได้คุณนาคมาเป็นภริยาในครั้งนั้น[5] หลังเสียกรุงศรีอยุธยาและในสมัยกรุงธนบุรีเมื่อพ.ศ. 2310 พม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตก หลวงยกกระบัตรจึงตัดสินใจอพยพครอบครัวเข้าไปอยู่ในป่าลึก ในระหว่างนี้แก้ว (ต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์) พี่สาวของหลวงยกกระบัตรได้ให้กำเนิดธิดานามว่าบุญรอด (ต่อมาคือสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี) ครั้นพระยาวชิรปราการ (ต่อมาคือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี) ได้รวบรวมกำลังขับไล่พม่าออกไปหมดแล้ว ได้ปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ หลวงยกกระบัตรจึงได้อพยพครอบครัวกลับภูมิลำเนาเดิม ในช่วงนี้เองนาคได้ให้กำเนิดบุตรคนที่สี่ชื่อฉิม (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) หลังจากนั้นหลวงยกกระบัตรกลับเข้ารับราชการอยู่กับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์ต่อมาจนเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกในเวลาต่อมา ในสมัยกรุงธนบุรี เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้รับสตรีชาวเวียงจันทน์ชื่อแว่น (ต่อมาคือเจ้าจอมแว่น ในรัชกาลที่ 1) มาเป็นอนุภรรยา ท่านผู้หญิงไม่พอใจอย่างยิ่ง จึงใช้ดุ้นแสมตีศีรษะนางแว่น เจ้าพระยาทราบก็โกรธมาก ทั้งสองจึงได้แยกกันอยู่นับแต่นั้น[6] ในรัชกาลที่ 1เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกและสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้น ท่านผู้หญิงนาคก็ไม่เคยเข้ามาอาศัยอยู่ในพระบรมมหาราชวังเลย แต่อาศัยอยู่ที่พระราชวังเดิมกับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร พระราชโอรส และจะมาเยี่ยมพระราชธิดาในพระบรมมหาราชวังแต่เพียงครั้งคราวเท่านั้น ซึ่งจะออกจากวังก่อนประตูปิดทุกครั้งไป ทั้งนี้เธอไม่ยอมใช้ราชาศัพท์กับสามีหรือพระราชโอรสกับพระราชธิดาแต่อย่างใด แต่เรียกสามีว่าเจ้าคุณ เรียกพระราชโอรสว่า พ่อ และเรียกพระราชธิดาว่า แม่ โดยเธอยินดีที่จะใช้ภาษาสามัญ[7] ส่วนพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชก็มิได้สถาปนาท่านผู้หญิงนาคขึ้นเป็นเจ้าแต่อย่างใด ดังใน "ธรรมเนียมราชตระกูลในกรุงสยาม" พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระบุว่า[8]
สมเด็จพระพันปีหลวงในรัชกาลที่ 2ถึงปีมะเมีย วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2353 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงสถาปนาพระเกียรติยศสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงเป็นสมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์[9] เทียบกับกรมพระเทพามาตย์ตามโบราณราชประเพณีเก่าตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา[10] ในช่วงปลายรัชกาลที่ 2 พระองค์ได้ทรงย้ายจากพระนิวาสสถานเดิมริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี เข้ามาอยู่ในพระบรมมหาราชวัง สวรรคตสมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์ เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดี แรม 5 ค่ำ เดือน 6 อัฐศก จ.ศ. 1188 ตรงกับวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2369 ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชนัดดา สิริพระชนมายุ 89 พรรษา พระบรมศพประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท[11] พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระโกศทองใหญ่ทรงพระบรมศพ และโปรดให้สร้างพระเมรุมาศขนาดใหญ่ขึ้น ถึงวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2371 จึงถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง แล้วนำพระบรมอัฐิไปประดิษฐาน ณ หอพระธาตุมณเฑียร ในพระบรมมหาราชวัง[12] ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเฉลิมพระนามาภิไธยว่ากรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเฉลิมพระนามาภิไธยใหม่เป็น สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี [13] พระราชกรณียกิจสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีทรงสร้างวัดอัมพวันเจติยาราม จังหวัดสมุทรสงคราม ขึ้นในบริเวณนิวาสสถานเดิมของพระองค์เพื่ออุทิศถวายแด่พระชนนี (สมเด็จพระรูปศิริโสภาคย์มหานาคนารี) ไว้ที่องค์พระปรางค์ด้วย พระราชบุตรสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีทรงอภิเษกสมรสกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อครั้งยังเป็นหลวงยกบัตรเมืองราชบุรี ประมาณ พ.ศ. 2301 - พ.ศ. 2304 มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมทั้งสิ้น 9 พระองค์[14] ได้แก่
พระอิสริยยศ
หลังสวรรคต
ในวัฒนธรรมสมัยนิยมมีนักแสดงผู้รับบท สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี ได้แก่
พงศาวลี
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|