วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์
พลตำรวจโท วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตรองปลัดกระทรวงยุติธรรม อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประวัติพลตำรวจโท วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ เกิดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2490 เป็นบุตรของ พันตำรวจตรี วิจิตร และนางประยูร สุกโชติรัตน์ มีบุตรชายทั้งหมด 2 คน คือ ดร. วรงค์ สุกโชติรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญนโยบาย สภานโยบาย การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม และ ดร. ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ การศึกษาพลตำรวจโท วิเชียรโชติ จบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหาร (รุ่นที่ 8) จบปริญญาตรีรัฐประศาสนศาสตร์บัณฑิต (โรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 24) โดยระหว่างที่เรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจได้รับเลือกเป็นหัวหน้านักเรียนและสอบได้ที่ 1 ประจำรุ่น จึงได้ทุนรัฐบาลไทยไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทสาขาการบริหารงานยุติธรรม จาก มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเคนทักกี สหรัฐอเมริกา และปริญญาเอกสาขาอาชญาวิทยา จาก Florida State University สหรัฐอเมริกา ซึ่งพลตำรวจโท ดร.วิเชียรโชติ เป็นคนไทยคนแรกที่จบปริญญาเอกในสาขาวิชานี้[1] นอกจากนี้ยังสำเร็จการศึกษาในประกาศนียบัตรและได้รับรางวัลต่างๆ อาทิ
การทำงานพลตำรวจโท ดร.วิเชียรโชติ เริ่มรับราชการในตำแหน่งนายเวรเลขานุการกรมตำรวจ จนได้รับตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งอาทิ ผู้บังคับการศูนย์ข้อมูลสารสนเทศ ผู้บังคับกองวิจัยและพัฒนา และรองผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ โดยพลตำรวจโท วิเชียรโชติ มีฉายาที่เพื่อนๆ เรียกคือ “ลูกมหาฯ” เนื่องจากบิดาเป็นอนุศาสนาจารย์และพลตำรวจโท วิเชียรโชติ มีนิสัยชอบเข้าวัด และยังได้ฉายา “หมวดน้ำส้ม” เนื่องจากเป็นคนไม่กินเหล้า ต่อมาพลตำรวจโท วิเชียรโชติ ได้โอนย้ายมารับตำแหน่งอธิบดีกรมคุมประพฤติ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช. ชุดปี 2547-2548) ทำให้มีความรู้และประสบการณ์ในการบริหารกระบวนการยุติธรรมรอบด้าน ในด้านการเมือง เคยดำรงตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งด้านวิชาการและบริหารต่างๆ อาทิ
ต่อมาในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 54[2] แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง เนื่องจากพรรคเพื่อไทยมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากกว่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพึงมีตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ผลงานดีเด่น
การสอนและผู้บรรยายเป็นอาจารย์บรรยายหรือวิทยากรพิเศษทุกสถาบันการศึกษาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ฯลฯ คดีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดปี 2547-2548คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดปี 2547-2548 นี้ได้ถูกกล่าวหาว่าได้ออกระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเบี้ยเลี้ยงประชุมกรรมการและค่าตอบแทนบุคคลและคณะบุคคลนั้นเป็นความผิด ในขณะที่องค์กรอิสระอื่นๆ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง และ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ณ ขณะนั้น ก็ได้มีการออกระเบียบในลักษณะเดียวกันมาก่อน อย่างไรก็ตามคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้ทั้งหมดก็แสดงเจตจำนงลาออกจากหน้าที่เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2547 ในระหว่างการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อมิให้เป็นที่ครหาว่าใช้อำนาจหน้าที่ในการแทรกแทรงกระบวนการยุติธรรม ต่อมาเมื่อศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก 2 ปี แต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และพ้นกำหนดรอการลงโทษเมื่อ 26 พฤษภาคม 2550 ท่ามกลางข้อกังขาว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ที่ออกระเบียบลักษณะเดียวกันก่อนหน้าคณะกรรมการ ป.ป.ช.กลับไม่ได้รับการตัดสินว่าผิด โดย พล.ต.อ.วศิษฐ เดชกุญชร คอลัมน์นิสต์ชื่อดังในสมัยนั้น ได้เขียนลงหนังสือพิมพ์มติชนโดยตั้งข้อสันนิษฐานว่าคดีนี้เกิดจากกระบวนการที่ต้องการล้มล้างคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้โดยกลุ่มบุคคลที่ถูกสอบสวนโดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้และอาจถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงเพื่อให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดนี้หยุดทำงานจนคดีหมดอายุความ ต่อมาวันที่ 18 ตุลาคม 2550 คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณล้างมลทินเสมือนไม่เคยมีความผิดตามกฎหมาย โดยมีพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา เมื่อพ.ศ. 2550 เครื่องราชอิสริยาภรณ์
อ้างอิง
|