ยงยุทธ ติยะไพรัช
ยงยุทธ ติยะไพรัช (เกิด 3 เมษายน พ.ศ. 2504) เป็นนักการเมืองชาวไทย อดีตประธานรัฐสภา และอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร[1] อดีตสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย ประวัติยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นบุตรของแต้ซ้ง (บิดา) กับ จม (มารดา) แซ่เตีย สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จังหวัดเชียงราย ระดับปริญญาตรีคณะเกษตรศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2526 (รุ่นเดียวกับอภิรักษ์ โกษะโยธิน), ระดับปริญญาโท สาขาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2536 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขา Urban Environmental Management ในปี พ.ศ. 2555 จาก สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย[2]สมรสกับนาง สลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย การเมืองยงยุทธ ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาตั้งแต่ พ.ศ. 2529 ก่อนที่จะได้รับการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2538 ในสังกัดพรรคเอกภาพ โดยการสนับสนุนของฉัฐวัสส์ มุตตามระ อดีต ส.ส.เชียงราย, สุรสิทธิ์ เจียมวิจักษณ์ และบัวสอน ประชามอญ ที่มาอยู่พรรคไทยรักไทยด้วยกัน กระทั่งการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2539 ยงยุทธเข้าสังกัด พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ได้รับตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะย้ายมาลงในนามพรรคไทยรักไทย เมื่อปี พ.ศ. 2544 และได้รับการเลือกตั้ง และได้รับตำแหน่งทางการเมือง เริ่มต้นจาก โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม[3] วิพากษ์วิจารณ์ที่มาฉายา "ยุทธ ตู้เย็น": กรณีปิดล้อมบ้านตา-ยาย บ้านศตะกูรมะยงยุทธ ได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า ยุทธ ตู้เย็น จากกรณีของครอบครัวศตะกูรมะ เมื่อ พ.ศ. 2547 ในปฏิบัติการสนองนโยบายทำสงครามกับยาเสพติดของรัฐบาล ทักษิณ เมื่อเวลา 03.00 น. ของวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ตำรวจคอมมานโด นำโดย พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์ ผู้บังคับการกองปราบปราม ในขณะนั้นนำกำลังเข้าปิดล้อมบ้านของนายนิสสัย ศตะกูรมะ อายุ 70 ปี และนางอุดม ศตะกูรมะ อายุ 67 ปี ที่ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางไทร พระนครศรีอยุธยา และเปิดฉากยิงถล่ม โดยได้ข้อมูลจากนายยงยุทธ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ว่าบ้านหลังนี้เป็นแหล่งผลิตและค้ายาบ้า โดยนายยงยุทธ ได้ข้อมูลจากตู้ ปณ.ร้องทุกข์นายกรัฐมนตรี [4] ภายหลังเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้น และไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ แต่สภาพบ้านเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะตู้เย็นซึ่งตั้งอยู่ภายในบ้าน มีรูกระสุนกว่า 50 นัด นิสสัยและอุดม ศตะกูรมะ ซึ่งอยู่บนบ้านเพียงสองคนในวันนั้นถูกคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ใช้ปืนเอ็ม 16 จ่อศีรษะนานหลายชั่วโมง[5] [6] จนถึงเช้าทางการตำรวจแถลงในภายหลังว่า ได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด และยินดีที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้ทั้งหมด โดยนำตู้เย็นใบนั้นกลับไปด้วย อ้างว่าจะซื้อให้ใหม่ ต่อมาทางครอบครัวศตะกูรมะติดต่อขอคืน เพื่อนำมาเก็บไว้เป็นที่ระลึก ภายหลังเหตุการณ์นี้ นางอุดม ศตะกูรมะ ยื่นฟ้องกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องนั่นคือนายยงยุทธและพวกในฐานะผู้เสียหาย ต่อศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้ศาลพิเคราะห์พยาน และหลักฐานที่โจทก์ยื่นให้ เห็นว่ามีมูลจึงรับฟ้อง จำเลยรวม 8 คน ในระหว่างการสืบพยานหลังจากเกิดเหตุตำรวจบุกถล่มบ้านไม่นาน ในวันต่อมาบุตรชายคนสุดท้องของนายนิสสัย และนางอุดม ซึ่งต้องคดีอาญา และถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ เพิ่งได้รับพระราชทานอภัยโทษ และกำลังจะได้รับการปล่อยตัวกลับ”เสียชีวิตปริศนาในห้องขัง” แพทย์ระบุสาเหตุการตายว่า “ระบบหายใจไหลเวียนโลหิตล้มเหลวจากพยาธิสภาพปอด และตับ” รายงานผลการตรวจโดยห้องปฏิบัติการระบุว่า พบสตริกนิน (Strychnine) ในกระเพาะอาหาร ต่อมาสถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงว่าเกิดความผิดพลาดในการพิมพ์ผลการตรวจ โดยเจ้าหน้าที่ธุรการพิมพ์ตกคำว่า “ไม่” ในรายงาน และนายแพทย์ผู้ตรวจก็เซ็นรับรองไปโดยไม่ได้ตรวจสอบให้ละเอียด [7] ภายหลังเหตุการณ์นี้นางอุดม ศตะกูรมะ จึงได้ถอนคำร้องนายยงยุทธ ติยะไพรัชและพวกต่อศาลอาญา พระนครศรีอยุธยา จากกรณีดังกล่าว เป็นเหตุให้สื่อมวลชนฝ่ายตรงข้าม ตั้งฉายาให้ยงยุทธว่า "ยุทธ ตู้เย็น" ข้อกล่าวหาจัดตั้งมวลชน ปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมมีกรณีกล่าวหายงยุทธว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง การจัดตั้งลูกจ้างของกรมป่าไม้ ให้มาปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย[8] เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ต่อมาเมื่อเกิดรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 คณะรัฐประหารออกคำสั่งเรียก ให้ยงยุทธและเนวิน ชิดชอบ ไปรายงานตัว[9] คดีความการทุจริตเลือกตั้งในฐานะกรรมการบริหารพรรค: เหตุยุบพรรคพลังประชาชนเมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2551 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ลงมติเห็นชอบให้ยงยุทธเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร, สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นรองประธานฯ คนที่ 1 และ พันเอก อภิวันท์ วิริยะชัย เป็นรองประธานฯ คนที่ 2 โดยมี พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ[10] แต่ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่วนกลาง 5 คน ลงมติให้ใบแดงแก่ยงยุทธ ด้วยคะแนนเสียง 3:1 (อีกหนึ่งเสียงที่หายไปคือสดศรี สัตยธรรม ซึ่งงดออกเสียง) เนื่องจากเรื่องร้องเรียน การทุจริตเลือกตั้ง ที่จังหวัดเชียงราย ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 หลังจากนั้น ยงยุทธก็แถลงข่าวลาออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2551 หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ศาลฎีกาผู้วินิจฉัยชี้ขาดการทุจริต ส.ส. มีคำวินิจฉัยว่านายยงยุทธ กระทำผิดฝ่าฝืนพรป.เลือกตั้ง มาตรา 53 ทำให้การเลือกตั้งส.ส.เชียงรายไม่สุจริต เที่ยงธรรม ศาลรัฐธรรมนูญจึงเห็นว่าการที่นายยงยุทธ เป็นกรรมการบริหารพรรค มีบทบาทสำคัญในพรรค ได้รับยกย่องเป็นรองหัวหน้าและประธานสภา มีหน้าที่ต้องควบคุมดูแลส.ส. แต่กลับกระทำความผิดเสียเอง คุกคามระบอบประชาธิปไตย มีเหตุสมควรให้ยุบพรรคพลังประชาชนเพื่อเป็นมาตรฐานพฤติกรรมที่ดีงาม ไม่ให้กระทำความผิดขึ้นอีก ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรคพลังประชาชนตาม พรป.เลือกตั้ง และให้เพิกถอนสิทธิ์เลือกเป็นเวลา 5 ปี ตามมาตรา 68 วรรค 4 และมาตรา 237 วรรค 2 [11] กรณีเป็นผู้ต้องหาคดีทุจริตเลือกตั้งนายกอบจ.เชียงรายในการเลือกตั้งนายกอบจ.ปี 2557 นางบุศริณธญ์ (ติยะไพรัชน์) วรพัฒนานันน์ พี่สาวยงยุทธ ติยะไพรัช ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย อย่างไรก็ตามที่ประชุมกกต.ได้มีมติให้ใบเหลือง จากกรณีถูกร้องเรียนว่า นายวีระเดช สมวรรณ นายอำเภอเมืองเชียงราย ได้ใช้อำนาจหน้าที่ราชการเพื่อช่วยเหลือผู้สมัคร โดยได้ประสานให้ผู้นำท้องถิ่นและฝ่ายปกครองในพื้นที่มาประชุมกัน และให้นายยงยุทธ ติยะไพรัช ในฐานะน้องชายเข้ามาในที่ประชุมและพูดหาเสียงให้แก่นางบุศริณธญ์ สอบถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองถึงคะแนนนิยมของนางบุศริณธญ์ในลักษณะเหมือนเป็นการบังคับ ขืนใจให้บุคคลที่ถูกซักถามเกิดความเกรงกลัว กกต.เห็นว่ามีความผิดโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่กระทำการใดๆ เป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัคร จึงสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ และดำเนินคดีอาญาแก่นายยงยุทธ และนายวีระเดช[12] ภายหลังศาลอุทธรณ์ภาคมีคำพิพากษายืนตามมติกกต.[13] เครื่องราชอิสริยาภรณ์ยงยุทธ ติยะไพรัช ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งไทยและต่างประเทศ ดังนี้ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ ยงยุทธ ติยะไพรัช
|