ประเทศสวีเดน
สวีเดน (อังกฤษ: Sweden; สวีเดน: Sverige, ออกเสียง: [ˈsvæ̌rjɛ]) หรือชื่อทางการคือ ราชอาณาจักรสวีเดน (อังกฤษ: Kingdom of Sweden; สวีเดน: Konungariket Sverige) เป็นประเทศกลุ่มนอร์ดิกตั้งอยู่บนคาบสมุทรสแกนดิเนเวียในยุโรปเหนือ เขตแดนทางตะวันตกและทางเหนือจรดประเทศนอร์เวย์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือจรดประเทศฟินแลนด์ และช่องแคบสแกเกอร์แรก ทางตะวันตกเฉียงใต้จรดช่องแคบคัตเทกัต และทางตะวันออกจรดทะเลบอลติก และอ่าวบอทเนีย ด้วยขนาดพื้นที่ 450,295 ตารางกิโลเมตร (173,860 ตารางไมล์) สวีเดนจึงเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มนอร์ดิก และใหญ่ที่สุดเป็นอันดับห้าในทวีปยุโรป เมืองหลวงและเมืองใหญที่สุดคือกรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดนมีประชากรที่เบาบาง เว้นแต่ในเขตเมืองใหญ่ พื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยป่าไม้ ภูเขาสูง และทะเลสาบ แม่น้ำหลายสายไหลมาจากเทือกเขาสแกนดิเนเวีย และยังมีแนวชายฝั่งที่กว้างขวาง สวีเดนมีประชากรราว 10.6 ล้านคน และความหนาแน่นของประชากรอยู่ที่ 25 คนต่อตารางกิโลเมตร โดยกว่า 88% ของประชากรอาศัยอยู่ในเขตเมืองซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 1.5% ของแผ่นดินทั้งหมด มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุดในตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ สวีเดนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสภาพอากาศที่หลากหลายเนื่องจากลักษณะภูมิประเทศ กลุ่มชนเจอร์แมนิกเข้ามาตั้งรกรากในสวีเดนตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และดำรงชีพด้วยการทำประมงก่อนจะรวมตัวกันเป็นชาวทะเลที่รู้จักกันในชื่อ ชาวนอร์ส รัฐอิสระของสวีเดนเกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 12 หลังจากการระบาดทั่วของกาฬโรคครั้งใหญ่ในกลางศตวรรษที่ 14 ซึ่งคร่าชีวิตชาวสแกนดิเนเวียไปกว่าหนึ่งในสาม[20][21] การครอบงำของสันนิบาตฮันเซอในยุโรปเหนือได้คุกคามชาวสแกนดิเนเวียทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง หลังสิ้นสุดยุคไวกิง สวีเดนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพคัลมาร์ใน ค.ศ. 1397 ร่วมกับเดนมาร์กและนอร์เวย์ แต่ได้ออกจากสหภาพในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 ในสงครามสามสิบปี และได้รบกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะรัสเซีย เดนมาร์ก และนอร์เวย์[22] ซึ่งไม่ยอมรับการที่สวีเดนออกจากสหภาพ ในศตวรรษที่ 17 สวีเดนได้ขยายอาณาเขตด้วยสงครามและกลายเป็นหนึ่งชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป ก่อนจะสูญเสียพื้นที่ราชอาณาจักรรวมถึงฟินแลนด์ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดนให้แก่จักรวรรดิรัสเซียใน ค.ศ. 1809 และนับตั้งแต่เข้าร่วมสงครามสหราชอาณาจักรสวีเดนและนอร์เวย์ใน ค.ศ. 1814 สวีเดนอยู่ในภาวะสันติและปราศจากสงครามระหว่างประเทศมาตลอด โดยมีนโยบายต่างประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และเป็นกลางในสงครามรวมถึงในสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเย็น[23] ใน ค.ศ. 2014 สวีเดนได้เฉลิมฉลองสันติภาพประเทศครบ 200 ปี ทำลายสถิติของสวิตเซอร์แลนด์[24] สวีเดนเป็นผู้ส่งออกเหล็ก ทองแดง และไม้ชั้นนำของยุโรปตั้งแต่สมัยยุคกลาง อย่างไรก็ดี การขนส่งและการคมนาคมที่ดีขึ้น ทำให้สามารถใช้ทรัพยากรธรรมชาติจากส่วนต่าง ๆ ของประเทศได้มากขึ้น โดยเฉพาะไม้ และแร่เหล็ก การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจและการจัดการศึกษาทั่วไป ช่วยให้เกิดอุตสาหกรรมขึ้นอย่างรวดเร็ว และในทศวรรษ 1890 ประเทศได้เริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมขั้นสูง ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้เกิดระบบสวัสดิการของรัฐบาลขึ้น ปัจจุบัน สวีเดนมีความโน้มเอียงในทางเสรีนิยม และความเท่าเทียมกันในสังคม สวีเดนมีรัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยอำนาจนิติบัญญัติตกเป็นของสมาชิกรัฐสภาซึ่งมีสมาชิก 349 คน สวีเดนเป็นรัฐรวมซึ่งแบ่งออกเป็น 21 เทศมณฑล และ 290 เทศบาล สวีเดนถือเป็นประเทศพัฒนาแล้ว[25] และรักษาระบบสวัสดิการสังคมตามตัวแบบนอร์ดิกที่มีระบบสาธารณสุขและการศึกษาที่มีคุณภาพ[26][27] ถูกจัดอยู่ในอันดับ 5 ในแง่ดัชนีการพัฒนามนุษย์ มีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับที่ 14 ของโลก และอยู่ในอันดับที่สูงในด้านคุณภาพชีวิต,[28] สุขภาพ, การศึกษา, การคุ้มครองเสรีภาพของพลเมือง, ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ, ความเท่าเทียมกันของรายได้[29] และความเสมอภาคทางเพศ สวีเดนเข้าร่วมสหภาพยุโรปเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1995 แต่ได้ปฏิเสธการเป็นสมาชิกยูโรโซนภายหลังการลงประชามติ และยังเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ, พื้นที่เชงเกน, สภานอร์ดิก, สภายุโรป, องค์การการค้าโลก และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา และเข้าเป็นสมาชิกเนโทในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2024[30] นิรุกติศาสตร์ชื่อประเทศ สวีเดน (Sweden) เป็นคำมาจากภาษาดัตช์ในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ซึ่งสื่อความหมายตรงตัวว่าดินแดนแห่งชาวสวีเดน ต่อมา มีการตั้งชื่อประเทศอย่างเป็นทางการว่า Swéoland และ Swíoríce ตามภาษานอร์สเก่า[31] และนักล่าอาณานิคมจากสหราชอาณาจักรได้เริ่มมีการเรียกประเทศสวีเดนว่า Sweden และเริ่มมีการบรรจุในพจนานุกรมโดยนักภาษาศาสตร์[32] ในส่วนของชื่อทางการของประเทศ Sverige ในภาษาสวีเดน มาจากการประสมคำระหว่าง Svea และ rike ซึ่งหมายถึงดินแดนแห่งชาวสวีเดนและยังหมายถึงชนเผ่าดั้งเดิมของตนเอง ในบริบทสากลชื่อ Sweden ถูกใช้โดยทั่วไป ยกเว้นในภาษานอร์สและภาษาเดนมาร์กจะเรียกประเทศสวีเดนว่า Sverige ภูมิศาสตร์ และ สภาพอากาศสวีเดนเป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่เหนือสุดของโลก มีขนาดพื้นที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย สวีเดนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ในทวีปยุโรป มีพื้นที่ 450,000 ตารางกิโลเมตร (ความกว้าง 500 กิโลเมตร และความยาว 1,600 กิโลเมตร) สวีเดนมีชายฝั่งที่ค่อนข้างยาว จรดทะเลบอลติกและอ่าวบอทเนีย ทางตะวันตกมีเทือกเขาสแกนดิเนเวีย ทอดตามแนวพรมแดนกับประเทศนอร์เวย์[33] สวีเดนแบ่งออกเป็นสามภาคหลัก ๆ ได้แก่ เยอตาลันด์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ เป็นที่ราบและมีป่าไม้ สเวียยาลันด์ เป็นที่ราบอุดมสมบูรณ์ และมีทะเลสาบจำนวนมาก และนอร์ลันด์ เป็นภูมิภาคตอนเหนือของสวีเดน มีภูเขา ป่าไม้ และแร่ธาตุมาก ประมาณร้อยละสิบห้าของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศตั้งอยู่เหนือขึ้นไปจากอาร์กติกเซอร์เคิล[34] ถึงแม้ว่าสวีเดนจะตั้งอยู่ทางตอนเหนือมาก แต่กลับมีภูมิอากาศแบบอบอุ่น เนื่องจากอิทธิพลของกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม ทางตอนเหนือของอาร์กติกเซอร์เคิล พระอาทิตย์ไม่ตกดินเลยในบางช่วงของฤดูร้อน และแทบไม่สามารถเห็นได้ในฤดูหนาว สวีเดนจึงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืน สภาพภูมิอากาศของสวีเดนแตกต่างกันไปตามสถานที่ตั้ง แต่ส่วนใหญ่จะมีอากาศอบอุ่นทางตอนใต้และตอนเหนือใต้ขั้วโลกเหนือ ทางตอนใต้ฤดูร้อนอากาศเย็นสบายและมีเมฆเป็นบางส่วนในขณะที่ฤดูหนาวอากาศหนาวและมักมีเมฆมาก เนื่องจากทางตอนเหนือของสวีเดนอยู่ภายในอาร์กติกเซอร์เคิล จึงมีฤดูหนาวที่ยาวนานและหนาวเย็นมาก นอกจากนี้เนื่องจากละติจูดทางเหนือของสวีเดนส่วนใหญ่จึงมืดเป็นเวลานานในช่วงฤดูหนาวและมีแสงสว่างในฤดูร้อนนานกว่าหลายชั่วโมงในประเทศทางใต้ กรุงสต็อกโฮล์มเมืองหลวงของสวีเดนมีอากาศค่อนข้างเย็นเนื่องจากอยู่บนชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศ อุณหภูมิสูงโดยเฉลี่ยในเดือนกรกฎาคมในสต็อกโฮล์มคือ 71.4 องศา (22˚C) และอุณหภูมิต่ำสุดโดยเฉลี่ยในเดือนมกราคมคือ 23 องศา (-5˚C)[35] ประวัติศาสตร์สวีเดนมีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่เริ่มจากค่ายล่าสัตว์ก่อนประวัติศาสตร์ทางตอนใต้สุดของประเทศ ในศตวรรษที่ 7 และ 8 สวีเดนเป็นที่รู้จักในด้านการค้า แต่ในศตวรรษที่ 9 ชาวไวกิงได้บุกเข้าไปในภูมิภาคนี้และส่วนใหญ่ในยุโรป ในปี 1397 Queen Margaret แห่งเดนมาร์กได้สร้างสหภาพคัลมาร์ซึ่งรวมถึงสวีเดน ฟินแลนด์ นอร์เวย์ และเดนมาร์ก[36] เมื่อถึงศตวรรษที่ 15 ความตึงเครียดทางวัฒนธรรมทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสวีเดนและเดนมาร์กและในปี 1523 สหภาพคัลมาร์ก็สลายตัวทำให้สวีเดนเป็นอิสระ[37] ในศตวรรษที่ 17 สวีเดนและฟินแลนด์ (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดน) ได้ต่อสู้และชนะสงครามหลายครั้งกับเดนมาร์กรัสเซียและโปแลนด์ซึ่งทำให้ทั้งสองประเทศกลายเป็นที่รู้จักในฐานะมหาอำนาจในยุโรป ด้วยเหตุนี้ในปี 1658 สวีเดนจึงควบคุมพื้นที่หลายแห่งซึ่งบางแห่งรวมถึงหลายจังหวัดในเดนมาร์กและเมืองชายฝั่งที่มีอิทธิพล ในปี 1700 รัสเซียแซกโซนี - โปแลนด์และเดนมาร์ก - นอร์เวย์โจมตีสวีเดนซึ่งสิ้นสุดเวลาในฐานะประเทศที่มีอำนาจ ในช่วงสงครามนโปเลียนสวีเดนถูกบังคับให้ยกฟินแลนด์ให้รัสเซียในปี 1809 อย่างไรก็ตามในปี 1813 สวีเดนได้ต่อสู้กับนโปเลียนและหลังจากนั้นไม่นานสภาคองเกรสแห่งเวียนนาได้สร้างการรวมกันระหว่างสวีเดนและนอร์เวย์ในระบอบกษัตริย์แบบคู่ (ภายหลังสหภาพนี้ได้ถูกยุบอย่างสงบใน ค.ศ. 1905)[38] ตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปี 1800 สวีเดนเริ่มเปลี่ยนเศรษฐกิจไปสู่เกษตรกรรมส่วนตัวและส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศได้รับความเดือดร้อน ระหว่าง ค.ศ. 1850 ถึง 1890 ชาวสวีเดนประมาณล้านคนย้ายไปอยู่ในสหรัฐอเมริกา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 สวีเดนยังคงเป็นกลางและได้รับประโยชน์จากการผลิตผลิตภัณฑ์เช่นเหล็กลูกปืนและไม้ขีดไฟ หลังสงครามเศรษฐกิจดีขึ้นและประเทศก็เริ่มพัฒนานโยบายสวัสดิการสังคมอย่างที่มีอยู่ในปัจจุบัน สวีเดนเข้าร่วมสหภาพยุโรปในปี 1995[39] การเมืองการปกครองสวีเดนมีการปกครองระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยใช้ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน มีรัฐสภา ประมุขแห่งรัฐการเมืองการปกครองพระมหากษัตริย์สวีเดนเป็นประมุขแห่งรัฐ ซึ่งองค์ปัจจุบันคือสมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นตัวแทนสูงสุดของประเทศ แต่ไม่มีอำนาจทางการเมืองใด ๆ รวมถึงไม่จำเป็นต้องลงพระปรมาภิไธยในการตัดสินใจของรัฐสภาด้วย[40] จากการแก้ไขกฎการสืบราชสมบัติในปี 1979 ให้สิทธิเท่าเทียมกันกับรัชทายาททั้งชายและหญิง ทำให้ตำแหน่งรัชทายาทสูงสุดในปัจจุบันเป็นของเจ้าฟ้าหญิงวิกตอเรีย ซึ่งเสด็จพระราชสมภพในปี 1977 รัฐธรรมนูญรัฐธรรมนูญของสวีเดนประกอบด้วยกฎหมายมูลฐานสี่ฉบับ ได้แก่
การแก้ไขหรือยกเลิกรัฐธรรมนูญ จะต้องได้รับความเห็นชอบตรงกันจากรัฐสภาสองครั้ง โดยมีการเลือกตั้งทั่วไปคั่นกลาง นอกจากนี้ยังมีพระราชบัญญัติรัฐสภา 1974 (Riksdagsordningen) ซึ่งมีสถานะพิเศษ สูงกว่ากฎหมายทั่วไป แต่อยู่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ[41] นิติบัญญัติรัฐสภาของสวีเดน เรียกในภาษาสวีเดนว่าริกส์ดอก (Riksdag) มีอำนาจนิติบัญญัติ ใช้ระบบสภาเดี่ยวประกอบด้วยสมาชิก 349 คน มาจากการเลือกตั้งทุก ๆ 4 ปี การเลือกตั้งนั้นใช้ระบบสัดส่วน โดยพรรคการเมืองจะต้องได้รับเสียงจากทั่วประเทศอย่างน้อยร้อยละ 4 หรืออย่างน้อยร้อยละ 12 ในเขตเลือกตั้ง จึงจะได้รับที่นั่งในรัฐสภา การเลือกตั้งจัดขึ้นทุก ๆ 4 ปี ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะต้องมีอายุอย่างน้อย 18 ปีในวันเลือกตั้ง[42] ก่อนหน้านี้ สวีเดนเคยใช้ระบบสองสภามาตั้งแต่ปี 1860 และได้ยกเลิกไปในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อปี 1968-69[43] บริหารหลังจากการเลือกตั้ง พรรคหรือกลุ่มที่ได้มีจำนวนเสียงสูงสุดจะจัดตั้งรัฐบาล โดยรัฐสภาจะเลือกนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล และนายกรัฐมนตรีเลือกรัฐมนตรีเข้าร่วมรัฐบาล นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันได้แก่ สเตฟัน เลอเวน (Stefan Löfven) หัวหน้าพรรคพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ 3 ตุลาคม 2014 พรรคการเมืองปัจจุบัน สวีเดนมีพรรคการเมืองที่มีที่นั่งในสภาอยู่ 7 พรรค[43] ได้แก่
สิทธิมนุษยชนการแบ่งเขตการปกครองสวีเดนแบ่งการปกครองออกเป็น 21 เทศมณฑล (län) ได้แก่
นโยบายต่างประเทศตลอดศตวรรษที่ 20 นโยบายต่างประเทศของสวีเดนตั้งอยู่บนหลักการความเป็นกลางในยามสงคราม รัฐบาลสวีเดนดำเนินตามแนวทางที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในยามสงบเพื่อความเป็นกลางจะเกิดขึ้นได้ในกรณีของสงคราม หลักคำสอนเรื่องความเป็นกลางของสวีเดนมักสืบย้อนไปถึงศตวรรษที่ 19 เนื่องจากประเทศนี้ไม่ได้อยู่ในภาวะสงครามตั้งแต่สิ้นสุดการรณรงค์ต่อต้านนอร์เวย์ของสวีเดนในปี 1814 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สวีเดนไม่เข้าร่วมทั้งฝ่ายพันธมิตรและฝ่ายอักษะ เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันในบางครั้ง เนื่องจากสวีเดนยอมให้ในบางกรณีที่ระบอบนาซีใช้ระบบรถไฟเพื่อขนส่งทหารและสินค้า โดยเฉพาะแร่เหล็กจากเหมืองทางตอนเหนือของสวีเดนซึ่งมีความสำคัญต่อเครื่องจักรทำสงครามของเยอรมัน อย่างไรก็ตาม สวีเดนก็มีส่วนสนับสนุนทางอ้อมในการป้องกันประเทศฟินแลนด์ในสงครามฤดูหนาว[44] และอนุญาตให้มีการฝึกทหารนอร์เวย์และเดนมาร์กในสวีเดนหลังปี 1943 ในช่วงต้นยุคสงครามเย็น สวีเดนได้รวมเอานโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดควบกับนโยบายด้านความมั่นคงที่มีพื้นฐานมาจากการป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง หน้าที่ของกองทัพสวีเดนคือการยับยั้งการโจมตี ในเวลาเดียวกัน ประเทศยังคงความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการกับกลุ่มตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขอบเขตของการแลกเปลี่ยนข่าวกรอง ในปี 1952 เครื่อง DC-3 ของสวีเดนถูกยิงที่ทะเลบอลติกโดยเครื่องบินขับไล่ MiG-15 ของสหภาพโซเวียต ตั้งแต่ปี 1995 สวีเดนเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป และจากสถานการณ์ความมั่นคงของโลกรูปแบบใหม่ หลักนโยบายต่างประเทศของประเทศจึงได้รับการแก้ไขบางส่วน โดยสวีเดนมีบทบาทอย่างแข็งขันมากขึ้นในความร่วมมือด้านความมั่นคงของยุโรป กองทัพตำรวจสวีเดนเป็นหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของตำรวจ หน่วยเฉพาะกิจแห่งชาติเป็นหน่วย SWAT แห่งชาติ มีหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยความมั่นคงแห่งสวีเดนคือการต่อต้านการจารกรรม กิจกรรมต่อต้านการก่อการร้าย การปกป้องรัฐธรรมนูญ และการปกป้องวัตถุและบุคคลที่ต้องการ ๆ คุ้มครอง Försvarsmakten (Swedish Armed Forces) เป็นหน่วยงานของรัฐบาลที่ขึ้นตรงต่อกระทรวงกลาโหมของสวีเดนและรับผิดชอบการปฏิบัติการในยามสงบของกองทัพสวีเดน ภารกิจหลักของหน่วยงานคือการฝึกอบรมและปรับใช้กองกำลังรักษาสันติภาพในต่างประเทศ กองกำลังติดอาวุธแบ่งออกเป็นกองทัพบกกองทัพอากาศและกองทัพเรือ หัวหน้ากองกำลังติดอาวุธคือผู้บัญชาการทหารสูงสุด (Överbefälhavaren, ÖB) ซึ่งเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรอาวุโสที่สุดในประเทศ ในทางนิตินัย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดจนถึงปี 1974 แต่ในความเป็นจริง เป็นที่เข้าใจกันอย่างชัดเจนตลอดศตวรรษที่ 20 พระมหากษัตริย์จะไม่มีบทบาททางพฤตินัยในฐานะผู้นำทางทหาร[45][46] ภายหลังสิ้นสุดสงครามเย็น ผู้ชายเกือบทั้งหมดที่อายุถึงการเกณฑ์ทหารได้ถูกเกณฑ์เข้ากองทัพ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จำนวนเพศชายที่เข้าเกณฑ์ทหารลดลงอย่างมาก ในขณะที่จำนวนอาสาสมัครหญิงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยจำนวนทหารเกณฑ์ทั้งหมด 45,000 นาย ในปี 2003 ลดลงเหลือ 15,000 และในวันที่ 1 กรกฎาคม 2010 สวีเดนได้ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร โดยเปลี่ยนไปใช้กำลังอาสาสมัครทั้งหมดแทน แต่มีการระบุไว้ตามกฎหมายว่าจะมีการเรียกเกณฑ์เพิ่มเติมในการเตรียมพร้อมในการป้องกันประเทศ[47] เศรษฐกิจโครงสร้างสวีเดนเป็นประเทศที่มีการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมสูงมาก เกษตรกรรมที่เคยเป็นเศรษฐกิจหลักของประเทศมีการจ้างงานน้อยกว่าร้อยละสองของแรงงานทั้งหมดในปัจจุบัน[48] อุตสาหกรรมดั้งเดิมที่สำคัญของสวีเดนได้แก่ การป่าไม้ เหล็ก และไฟฟ้าพลังน้ำ แต่ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมขั้นสูงเช่นรถยนต์ อากาศยาน อาวุธ และเวชภัณฑ์ เข้ามามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจอย่างมาก การที่สวีเดนมีประชากรไม่สูงนัก ทำให้ตลาดภายในประเทศจำกัดและต้องพึ่งพาการส่งออก สวีเดนจึงเป็นแหล่งกำเนิดของบริษัทที่ประสบความสำเร็จในตลาดโลกจำนวนมาก เช่น วอลโว่ ซาบ อีริกส์สัน อีเล็กโทรลักซ์ เอชแอนด์เอ็ม เป็นต้น สวีเดนได้รับอันดับสามจากการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของเวิลด์อิโคโนมิกฟอรัมประจำปี 2006/07[49] สวีเดนมีการเก็บภาษีในอัตราที่สูง เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค และมีสหภาพแรงงานที่แข็งแกร่ง ธนาคารแห่งชาติสวีเดน Sveriges Riksbank เป็นธนาคารกลางที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ก่อตั้งในปี 1668[50] โดยปัจจุบัน ธนาคารให้ความสำคัญกับเสถียรภาพของราคา มีเป้าหมายเงินเฟ้อไม่เกินร้อยละ 2[51] ปัจจุบันสวีเดนยังคงใช้สกุลเงินครูนาสวีเดน โดยในปี 2003 ได้มีการลงประชามติเกี่ยวกับการใช้ค่าเงินยูโร ซึ่งร้อยละ 56 ลงคะแนนเสียงไม่เห็นด้วย[43][52] แม้ว่าสวีเดนเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป เมื่อปี 1995 แต่ยังไม่ยอมรับนโยบายเงินสกุลเดียว โดยได้ตัดสินใจไม่เข้าร่วมสหภาพเศรษฐกิจและการเงิน (Economic and Monetary Union – EMU) แม้ว่าระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจจะผ่านเกณฑ์ (convergence criteria) ที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้ก็ตาม และเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2003 ทางการสวีเดนได้ทำประชามติพบว่า ประชาชนกว่าร้อยละ 56.1 ไม่สนับสนุนให้สวีเดนเข้าร่วมการใช้เงินสกุลยูโร ตลาดสินค้าส่งออกสำคัญที่สุดของสวีเดนอยู่ในยุโรปตะวันตก โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งของสินค้าถูกส่งออกไปยังสหภาพยุโรป เช่น กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านนอร์ดิก (เดนมาร์ก ไอซ์แลนด์ ฟินแลนด์ และนอร์เวย์) เยอรมนี สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส สำหรับตลาดส่งออกนอกภูมิภาคยุโรปที่สำคัญของสวีเดน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น สำหรับในด้านการนำเข้า ประเทศคู่ค้าของสวีเดนที่สำคัญที่สุด คือ สหภาพยุโรป นอร์เวย์ และสหรัฐอเมริกา การท่องเที่ยวการท่องเที่ยวสร้างรายได้มหาศาลให้แก่สวีเดน นับตั้งแต่ทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา สวีเดนเปิดรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยนักท่องเที่ยวส่วนมากมาจากสหรัฐอเมริกา รวมถึงกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในสแกนดิเนเวีย และนักท่องเที่ยวจากเอเชียก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน สวีเดนขึ้นชื่อในด้านแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงาม โดยมีแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการรองรองโดยยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกถึง 15 แห่ง[53] โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมและโทรคมนาคมสวีเดนมีถนนลาดยาง 162,707 กม. (101,101 ไมล์) และทางด่วน 1,428 กม. (887 ไมล์) มอเตอร์เวย์สายหลักวิ่งผ่านสวีเดนและข้ามสะพาน Øresund ไปยังประเทศเดนมาร์ก แลยังมีมอเตอร์เวย์แห่งใหม่ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง สวีเดนเคยมีการสัญจรทางซ้ายมือ (Vänstertrafik ในภาษาสวีเดน) ประมาณ ค.ศ. 1736 และยังคงดำเนินต่อไปจนถึงศตวรรษที่ 20 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งปฏิเสธระบบการจราจรทางขวามือในปี 1955 แต่ต่อมา ได้มีการเปลี่ยนมาเป็นทางขวามือในปี 1967 รถไฟใต้ดินในกรุงสต็อกโฮล์มเป็นระบบการขนส่งใต้ดินเพียงระบบเดียวในสวีเดน และให้บริการในเมืองสต็อกโฮล์มผ่าน 100 สถานี ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดยังคงเป็นของรัฐ ในขณะที่เทศมณฑลต่าง ๆ จะรับผิดชอบด้านการเงิน ตั๋ว และการตลาด สำหรับรถไฟขบวนอื่น ๆ ผู้ให้บริการด้านการรถไฟที่มีชื่อเสียง ได้แก่ SJ, Veolia Transport, DSB, Green Cargo, Tågkompaniet และ Inlandsbanan[54][55][56] ท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่ ท่าอากาศยานสต็อกโฮล์มออลันดา (ผู้โดยสาร 16.1 ล้านคนในปี 2009)[57] ตั้งอยู่ทางเหนือของสต็อกโฮล์ม 40 กม. (25 ไมล์) ตามมาด้วย ท่าอากาศยานกอเทนเบิร์กลันด์เวตเตอร์ (ผู้โดยสาร 4.3 ล้านคนในปี 2008) และท่าอากาศยานสต็อกโฮล์มสกอฟสตา (2.0 ล้านคน) สวีเดนเป็นเจ้าของบริษัทท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดสองแห่งในสแกนดิเนเวีย ได้แก่ Port of Göteborg AB (Gothenburg) และบริษัทข้ามชาติ Copenhagen Malmö Port AB วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสวีเดนถูกจัดอันดับในฐานะของประเทศแห่งนวัตกรรมเป็นอันดับ 2 ของโลก จากการจัดอันดับ the Global Innovation Index 2012 ซึ่งเป็นเวลานับหลายทศวรรษที่สวีเดนได้เป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ ของโลก ที่นี่เป็นบ้านเกิดของ Bluetooth, Tetra Pak packaging, Skype และ Spotify ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่เป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม สวีเดนมีความโดดเด่นเรื่องโครงสร้างที่เอื้อต่อการพัฒนาและนวัตกรรม โดยสวีเดนอยู่อันดับที่ 1 ใน European innovation scoreboard 2020 จัดทำโดย Maastricht University โครงการภายใต้ European Commission เพื่อเปรียบเทียบศักยภาพด้านการวิจัยและนวัตกรรมในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป รวมทั้งประเมินจุดแข็งจุดอ่อนของประเทศนั้น ๆ ซึ่งจุดแข็งของสวีเดนคือ ทรัพยากรมนุษย์ ระบบดึงดูดการทำวิจัย และ eco-system ที่ส่งเสริมนวัตกรรม[58] นวัตกรรมของสวีเดนมีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) อย่างใกล้ชิด โดยรัฐบาลสวีเดนประกาศในโอกาสต่าง ๆ ว่า นวัตกรรมเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยสวีเดนบรรลุเป้าหมาย SDGs ทำให้การพัฒนานวัตกรรมต้องตอบโจทย์ความต้องการแก้ไขปัญหาในสังคม ซึ่งแทบทุกปัญหาจะมีความเชื่อมโยงกัน จึงต้องสร้างกระบวนการ (process) ที่ภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมและบทบาทในการผลักดัน เช่น การเพิ่มคุณภาพการจัดการอาหาร พลังงานสวีเดนมีตลาดพลังงานขนาดใหญ่ โดยมากมักเป็นพลังงานแปรรูป ตลาดพลังงานนอร์ดิกเป็นหนึ่งในตลาดพลังงานเสรีแห่งแรก ๆ ในยุโรป ในปี 2006 จากการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 139 TWh ไฟฟ้าจากไฟฟ้าพลังน้ำคิดเป็น 61 TWh (44%) และพลังงานนิวเคลียร์ 65 TWh (47%) วิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำมันในปี 1973 ตอกย้ำความมุ่งมั่นของสวีเดนในการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่นำเข้าจากต่างประเทศ ตั้งแต่นั้นมา การผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่มาจากไฟฟ้าพลังน้ำและพลังงานนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตาม การใช้พลังงานนิวเคลียร์มีอย่างจำกัด ในเดือนมีนาคม 2005 การสำรวจความคิดเห็นพบว่า 83% สนับสนุนการรักษาหรือเพิ่มพลังงานนิวเคลียร์[59] นักการเมืองได้ประกาศเกี่ยวกับการเลิกใช้น้ำมันในสวีเดน การลดลงของพลังงานนิวเคลียร์ และการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในด้านพลังงานหมุนเวียนและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน[60] ประเทศได้ดำเนินกลยุทธ์การเก็บภาษีทางอ้อมในฐานะเครื่องมือของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมมาหลายปีแล้ว ซึ่งรวมถึงภาษีพลังงานโดยทั่วไปและภาษีคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉพาะ สาธารณสุขการดูแลสุขภาพในสวีเดนส่วนใหญ่มาจากเงินภาษี โดยเป็นหลักสากลสำหรับพลเมืองทุกคนและมีกระจายอำนาจอย่างเท่าเทียม[61][62] แม้ว่าการดูแลสุขภาพของเอกชนก็มีอยู่เช่นกัน ระบบการดูแลสุขภาพในสวีเดนได้รับเงินจากภาษีที่เรียกเก็บโดยสภาเทศมณฑลและเทศบาลเป็นหลัก สภาทั้งหมด 21 แห่งรับผิดชอบการดูแลเบื้องต้นและโรงพยาบาลภายในประเทศ การดูแลสุขภาพของเอกชนเป็นสิ่งที่หาได้ยากในสวีเดน และแม้แต่สถาบันเอกชนก็ทำงานภายใต้สภาเทศบาลเมืองที่ได้รับคำสั่ง[63] สภาเทศบาลเมืองควบคุมกฎเกณฑ์และการจัดตั้งแนวปฏิบัติส่วนตัวที่อาจเกิดขึ้น แม้ว่าในประเทศส่วนใหญ่การดูแลผู้สูงอายุหรือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือด้านจิตเวชจะดำเนินการเป็นการส่วนตัว แต่ในสวีเดน หน่วยงานที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสาธารณะมีหน้าที่ดูแลการดูแลประเภทนี้ การดูแลสุขภาพในสวีเดนมีคุณภาพใกล้เคียงกับประเทศที่พัฒนาแล้วอื่น ๆ สวีเดนติดอันดับใน 5 ประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตของทารกต่ำ นอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่มีน้ำดื่มสาธารณะที่สะอาดและปลอดภัย ในปี 2018 การดูแลสุขภาพและการรักษาพยาบาลคิดเป็นประมาณร้อยละ 11 ของค่าจีดีพีทั้งประเทศ การศึกษาตามกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาของสวีเดน เด็กทุกคนที่มีอายุระหว่าง 7 ถึง 16 ปีที่อาศัยอยู่ในประเทศ มีหน้าที่ที่จะต้องไปโรงเรียนซึ่งถือว่าเป็นการศึกษาภาคบังคับและมีระยะเวลา 9 ปี การศึกษาภาคบังคับนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดใดทั้งสิ้นเด็กที่มีอายุ 6 ปีก็จะมีสิทธิ์ที่เข้าเรียนในชั้นประถมศึกษาได้หากผู้ปกครองต้องการ การศึกษาของสวีเดนแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับคือ ระดับปฐมวัย (Förskola) ระดับประถมศึกษา (Grundskola) เตรียมอุดมศึกษา (Gymnasium) และอุดมศึกษา (Högskola) มีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยหลายแห่งในสวีเดนซึ่งเก่าแก่[64]และใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ในเมืองอัปซาลา ลุนด์ กอเทนเบิร์ก และสต็อกโฮล์ม ในปี 2000 คนสวีเดน 32% สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทำให้ประเทศนี้อยู่อันดับที่ 5 ใน OECD ในแง่ผู้จบการศึกษา[65] รัฐบาลยังให้เงินอุดหนุนค่าเล่าเรียนสำหรับนักศึกษาต่างชาติที่กำลังศึกษาระดับปริญญาที่สถาบันในสวีเดนร่วมกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรปอีกหลายประเทศ[66] แม้ว่าร่างกฎหมายล่าสุดที่ผ่านใน Riksdag จะจำกัดเงินอุดหนุนนี้สำหรับนักศึกษาจากประเทศจำนวนผู้อพยพเข้าโรงเรียนในสวีเดนจำนวนมากได้รับการอ้างถึงว่าเป็นส่วนสำคัญของเหตุผลว่าทำไมสวีเดนจึงตกอันดับมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในยุโรปในการจัดอันดับการศึกษา PISA ระดับนานาชาติ[67][68][69] ภาษีโดยเฉลี่ย 27% ของเงินจากผู้เสียภาษีในสวีเดนจะถูกนำไปใช้เพื่อการศึกษาและการรักษาพยาบาล ในขณะที่ 5% ใช้ไปกับด้านการทหาร และ 42% ให้กับประกันสังคม[70] คนงานทั่วไปจะได้รับ 40% ของค่าแรงหลังจากหักภาษีแล้ว ภาษีทั้งหมดที่จัดเก็บโดยสวีเดนคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของจีดีพีกว่า 52.3% ในปี 1990 ประเทศเผชิญกับวิกฤตด้านอสังหาริมทรัพย์และการธนาคารในปี 1990-91 และผ่านการปฏิรูปภาษีในปีต่อมา ตั้งแต่ปี 1990 สวีเดนจัดเก็บภาษีได้ลดลง โดยมีอัตราภาษีรวมสำหรับผู้มีรายได้สูงสุดลดลงมากที่สุดในปี 2010 จีดีพีของประเทศมาจากการเก็บเป็นภาษี 45.8% สูงเป็นอันดับสองในกลุ่มประเทศ OECD และเกือบสองเท่าของเปอร์เซ็นต์ในสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ สวัสดิการอื่น ๆผู้มีถิ่นฐานในสวีเดนทุกคนจะได้รับเงินบำนาญจากรัฐ หน่วยงานบำเหน็จบำนาญแห่งสวีเดนมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องเงินบำนาญ รวมถึงผู้ที่เคยทำงานในสวีเดนแต่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศก็สามารถรับเงินบำนาญจากรัฐบาลสวีเดนได้เช่นกัน เงินบำนาญในสวีเดนมีหลายประเภทได้แก่ บำนาญจากการเกษียณอายุ เงินบำนาญอาชีพ และเงื่อนไขส่วนตัว บุคคลสามารถรับเงินบำนาญประเภทต่าง ๆ รวมกันได้[71][72] ประชากรศาสตร์ประชากรทั้งหมดของสวีเดนคือ 10,377,781 คน (ตุลาคม 2020)[73] โดยมีประชากรเกิน 10 ล้านคนเป็นครั้งแรกในวันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2017[74][75] ความหนาแน่นของประชากรโดยเฉลี่ยอยู่ที่มากกว่า 25 คนต่อตารางกิโลเมตร (65 ต่อตารางไมล์) หรือ 1,437 คนต่อตารางไมล์ในท้องที่ (การตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่องโดยมีผู้อยู่อาศัยอย่างน้อย 200 คน) 87% ของประชากรอาศัยอยู่ในเขตเมืองซึ่งครอบคลุม 1.5% ของพื้นที่ทั้งหมด[76] 63% ของชาวสวีเดนอยู่ในเขตเมืองใหญ่ โดยภูมิภาคทางใต้จะมีประชากรหนาแน่นกว่าทางเหนือมาก เมืองหลวงสต็อกโฮล์มมีประชากรในเขตเทศบาลประมาณ 950,000 คน เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองและสามคือกอเทนเบิร์กและมัลเมอ มหานครกอเทนเบิร์กมีประชากรมากกว่าหนึ่งล้านคน และเช่นเดียวกันสำหรับพื้นที่ทางตะวันตกของ Scania ริมฝั่งเออเรซุนด์ ภูมิภาค เออเรซุนด์ ซึ่งเป็นเขตแดนระหว่างเดนมาร์ก-สวีเดน รอบ ๆ เออเรซุนด์ ที่เมืองมัลเมอ มีประชากร 4 ล้านคน บริเวณนอกเมืองใหญ่ พื้นที่ที่มีความหนาแน่นของประชากรสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่ พื้นที่เกษตรกรรมของเอิสเตอร์เกิทลันด์ ชายฝั่งตะวันตก บริเวณรอบทะเลสาบมาลาเรน และพื้นที่เกษตรกรรมรอบอุปซอลา นอร์ลันด์ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 60% ของสวีเดน มีความหนาแน่นของประชากรต่ำมาก (ต่ำกว่า 5 คนต่อตารางกิโลเมตร) ภูเขาและพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ห่างไกลส่วนใหญ่แทบไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ความหนาแน่นของประชากรต่ำยังมีอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของสวีแลนด์ทางตะวันตก เช่นเดียวกับทางใต้และตอนกลางของสมอลด์ พื้นที่ที่เรียกว่า Finnveden ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ Småland และส่วนใหญ่อยู่ใต้เส้นขนานที่ 57 ก็ถือได้ว่าเกือบจะว่างเปล่าโดยแทบไม่มีผู้คน ระหว่าง ค.ศ. 1820 ถึง 1930 ชาวสวีเดนประมาณ 1.3 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นหนึ่งในสามของประชากรในประเทศในขณะนั้น อพยพไปยังอเมริกาเหนือ และส่วนใหญ่ไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา มีชาวอเมริกันสวีเดนมากกว่า 4.4 ล้านคนตามการประมาณการของสำนักสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐในปี 2006 ในแคนาดา ชุมชนบรรพบุรุษของสวีเดนมีมากถึง 330,000 คน ไม่มีสถิติอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับเชื้อชาติ แต่ตามสถิติของสวีเดน ประมาณ 2,634,967 (25.5%) ชาวสวีเดนมีพื้นเพเป็นชาวต่างชาติในปี 2019 ซึ่งกำหนดว่าเกิดในต่างประเทศหรือเกิดในสวีเดนกับบิดา มารดา ที่เกิดในต่างประเทศ ในจำนวนนี้ มี 2,019,733 คนเกิดในต่างประเทศ และ 615,234 คนเกิดในสวีเดนจากบิดา มารดา ที่เกิดในต่างประเทศ นอกจากนี้ 780,199 คนมีบิดามารดาที่เกิดในต่างประเทศกับบิดามารดาอีกหนึ่งคนที่เกิดในสวีเดน ผู้อพยพการย้ายถิ่นฐานเป็นปัจจัยสำคัญของการเติบโตของจำนวนประชากรและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและสังคมของสวีเดนในหลายศตวรรษที่ผ่านมา แง่มุมทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของการย้ายถิ่นฐานทำให้เกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับเชื้อชาติ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานสำหรับผู้ไม่อพยพ รูปแบบการตั้งถิ่นฐาน ผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายทางสังคมที่สูงขึ้น อาชญากรรม และพฤติกรรมในสังคม ไม่มีตัวเลขที่แน่นอนเกี่ยวกับภูมิหลังทางชาติพันธุ์ของผู้อพยพและลูกหลานของพวกเขาในสวีเดน เนื่องจากรัฐบาลสวีเดนไม่ได้อ้างอิงสถิติใด ๆ เกี่ยวกับเชื้อชาติ ผู้อพยพในสวีเดนส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเขตเมืองของสเวียยาลันด์และเยอตาลันด์[77] ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1970 การอพยพไปยังสวีเดนส่วนใหญ่เกิดจากการอพยพของผู้ลี้ภัยและการรวมครอบครัวจากประเทศในตะวันออกกลางและลาตินอเมริกา[78] ในปี 2019 สวีเดนอนุญาตให้รับผู้ลี้ภัยคน 21,958 คน และ 21,502 คนในปี 2018 ผู้อพยพจากต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดสิบกลุ่มในทะเบียนราษฎรสวีเดนในปี 2019 มาจาก[79]
ศาสนาในปี 2006 ชาวสวีเดนประมาณ 6.9 ล้านคนเป็นสมาชิกของคริสตจักรแห่งสวีเดน คิดเป็นร้อยละ 75 ของประชากรทั้งประเทศ โดยจำนวนสมาชิกลดลงเรื่อย ๆทุกปี[80] คริสตจักรแห่งสวีเดนเป็นโบสถ์นิกายลูเธอรัน นิกายโรมันคาทอลิกในสวีเดนมีสมาชิกราว 80,500 คน นอกจากคริสต์ศาสนา ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ จากการอพยพเข้า[81] จากการสำรวจ "ยูโรบารอมิเตอร์" ในปี 2005 ร้อยละ 23 ตอบแบบสอบถามว่าเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง[82] ภาษาประเทศสวีเดนมีภาษาทางการ โดยมีภาษาสวีเดนเป็นภาษาหลักของประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่พูด สวีเดนรับรองภาษาของชนกลุ่มน้อยห้าภาษา ได้แก่ ภาษาฟินแลนด์ เมแอนเกียลิ (Meänkieli) ภาษาซามิ ภาษาโรมานี และภาษายิดดิช ประเด็นเรื่องการให้ภาษาสวีเดนเป็นภาษาทางการถูกหยิบยกขึ้นมาในปี 2005 แต่การลงคะแนนเสียงในรัฐสภาแพ้ไป 145-147[83] ภาษาสวีเดนมีคล้ายคลึงกับภาษาเดนมาร์กและนอร์เวย์และสามารถเข้าใจร่วมกันได้ในหลายบริบท แต่แตกต่างกันในด้านการออกเสียงและการสะกดบางคำ ชาวนอร์เวย์และเดนมาร์กสามารถเข้าใจภาษาสวีเดนส่วนมากได้ โดยมีความยากกว่าภาษานอร์สเล็กน้อย ผู้ที่พูดภาษาสวีเดนมาตรฐานสามารถเข้าใจภาษานอร์เวย์ได้ง่ายกว่าภาษาเดนมาร์กมาก ภาษาถิ่นที่พูดกันใน Scania ซึ่งอยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศนั้นได้รับอิทธิพลจากภาษาเดนมาร์ก เนื่องจากภูมิภาคนี้เป็นส่วนหนึ่งของเดนมาร์ก และปัจจุบันตั้งอยู่ใกล้กับพื้นที่ดังกล่าว[84] เนื่องจากการหลั่งไหลเข้ามาของเจ้าของภาษาอาหรับในศตวรรษที่ 21 การใช้ภาษาอาหรับจึงมีแนวโน้มแพร่หลายในประเทศมากกว่าภาษาฟินแลนด์ อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเก็บสถิติอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการใช้ภาษา ชาวสวีเดนสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีเช่นเดียวกับเพื่อนบ้านประเทศสแกนดิเนเวียอื่น ๆ โดยเฉพาะจากการมีระบบการศึกษาที่พัฒนาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในวิชาบังคับทุกโรงเรียนตั้งแต่ปี 1940[85] โดย Eurobarometer ได้สำรวจประชากรและพบว่า 89% ของชาวสวีเดนสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี และสถานที่สาธารณะจะปรากฏภาษาอังกฤษให้เห็นเสมอ วัฒนธรรมสวีเดนมีนักเขียนหลายคนที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก รวมถึง ออกัสต์ สตรินด์เบิร์ก, แอสตริด ลินด์เกรน, เซลมา ลอเกร์เลิฟ และ แฮร์รี มาร์ตินสัน สวีเดนมีผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมทั้งหมด 7 คน[86] ศิลปินที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ ได้แก่ จิตรกร เช่น คาร์ล ลาร์สสัน และ แอนเดอร์ ซอร์น และประติมากร โยฮัน โทเบียส เซอร์เกล และ คาร์ล มิลเลส วัฒนธรรมสมัยศตวรรษที่ 20 ของสวีเดนเป็นที่รู้จักจากผลงานบุกเบิกในยุคแรก ๆ ในวงการภาพยนตร์ โดยมี เมาริตซ์ สติลเลอร์ และ วิคเตอร์ เซสเตริม เป็นสองผู้กำกับที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในแง่การปฏิวัติวงการภาพยนตร์ของนอร์ดิก[87] ในช่วงทศวรรษที่ 1920-1980 ผู้สร้างภาพยนตร์ อิงมาร์ เบิร์กแมน และ นักแสดง เกรทา การ์โบ และ อิงกริด เบิร์กแมน ได้กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติในวงการภาพยนตร์ เมื่อไม่นานมานี้ ภาพยนตร์ของ ลูคัส มูดิสสัน , ลาสซี่ ฮอลสตรอม และ รูเบน ออสต์ลุนด์ ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ตลอดช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970[88] สวีเดนถูกมองว่าเป็นผู้นำระดับนานาชาติใน "การปฏิวัติทางเพศ"[89] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ[90] ภาพยนตร์สวีเดนยุคแรก I Am Curious (Yellow) (1967) สะท้อนมุมมองเสรีนิยมเรื่องเพศ รวมถึงฉากแสดงความรักที่ได้รับความสนใจจากนานาชาติ เสรีนิยมทางเพศถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรับปรุงให้ทันสมัย โดยการทำลายจารีตประเพณีเดิมอันนำไปสู่การปลดปล่อยพลังและความปรารถนาตามธรรมชาติ[91] สวีเดนยังเปิดกว้างต่อการรักร่วมเพศอย่างมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นในภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมเช่น Show Me Love ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเลสเบี้ยนสาวสองคนในเมือง Åmål ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ของสวีเดน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2009 สวีเดนได้ยกเลิกกฎหมาย "หุ้นส่วนจดทะเบียน" และแทนที่ด้วยการแต่งงานที่เป็นกลางทางเพศโดยสมบูรณ์[92] สวีเดนยังเสนอการจดทะเบียนหุ้นส่วนภายในประเทศสำหรับคู่รักเพศเดียวกันและคู่รักเพศตรงข้ามอีกด้วย การอยู่ร่วมกัน (sammanboende) โดยคู่รักทุกวัยรวมทั้งวัยรุ่นและคู่สามีภรรยาสูงอายุเป็นที่แพร่หลาย[93] นับตั้งแต่ปี 2009 สวีเดนกำลังประสบปัญหาทางสังคมในการเปลี่ยนถ่ายไปสู่ยุค Baby Boomer หรือสังคมผู้สูงอายุ[94] สถาปัตยกรรมก่อนศตวรรษที่ 13 อาคารเกือบทั้งหมดทำจากไม้ แต่เริ่มเปลี่ยนไปใช้หินในภายหลัง[95] อาคารหินของสวีเดนยุคแรกเป็นโบสถ์แบบโรมาเนสก์ที่ฝั่งชนบท หลาย ๆ แห่งได้รับการสร้างขึ้น และมีผลกับโบสถ์ในเดนมาร์ก ซึ่งรวมถึงโบสถ์ลุนด์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 และโบสถ์ที่มีอายุน้อยกว่าในดัลบี แต่ยังรวมถึงโบสถ์แบบโกธิกยุคแรก ๆ อีกหลายแห่งที่สร้างขึ้นจากอิทธิพลของสันนิบาตฮันเซียติก เช่น ในเมืองอีสตัด มัลเมอ และเฮ็ลซิงบอร์ย วิหารในส่วนอื่น ๆ ของสวีเดนยังถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่นั่งของมุขนายกของสวีเดน มหาวิหารสการาสร้างด้วยอิฐจากศตวรรษที่ 14 และมหาวิหารอุปซอลาในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในปี ค.ศ. 1230 ฐานรากของมหาวิหารลินเชอปิงถูกสร้างขึ้น วัสดุเป็นหินปูน แต่ตัวอาคารใช้เวลาสร้างประมาณ 250 ปี ในอีกสองศตวรรษต่อมา สวีเดนมีระบบสถาปัตยกรรมแบบบาโรก และต่อมาเป็นสถาปัตยกรรมโรโกโก โครงการเด่นในช่วงเวลานั้น ได้แก่ เมืองคอลส์ครูนา ซึ่งปัจจุบันได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกและพระราชวังดร็อตนิงฮ็อล์มด้วย ค.ศ. 1930 เป็นปีแห่งการจัดนิทรรศการที่ยิ่งใหญ่ในสต็อกโฮล์ม ซึ่งเป็นการบุกเบิกของ สถาปัตยกรรมคำนึงประโยชน์ หรือ "funkis" เมื่อกลายเป็นที่รู้จัก สไตล์นี้เข้ามามีบทบาทในงานก่อสร้างในสวีเดนในทศวรรษต่อมา โครงการเด่น ๆ ในประเภทนี้ ได้แก่ โครงการ Million Programme ซึ่งเป็นที่พักอาศัยในอพาร์ตเมนต์ขนาดใหญ่ในราคาไม่แพง Ericsson Globe เป็นอาคารครึ่งวงกลมที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีรูปร่างเหมือนลูกบอลสีขาวขนาดใหญ่ และใช้เวลาสร้างสองปีครึ่ง ตั้งอยู่ในสต็อกโฮล์ม[96] ดนตรีมีการพยายามสร้างดนตรีนอร์สขึ้นใหม่ตามประวัติศาสตร์โดยใช้เครื่องมือที่พบในแหล่งไวกิง เครื่องดนตรีที่ใช้คือ ลูร์ (แตรชนิดหนึ่ง) เครื่องสายธรรมดา ขลุ่ยไม้ และกลอง สวีเดนมีดนตรีพื้นบ้านที่สำคัญคือ joik ซึ่งเป็นเพลงประเภท ซามี เป็นบทสวดที่เป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของชาวซามี แบบดั้งเดิม นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Carl Michael Bellman และ Franz Berwald สวีเดนยังมีประเพณีการขับร้องประสานเสียงที่โดดเด่นอีกด้วย[97][98] จากจำนวนประชากร 9.5 ล้านคน ประมาณว่าห้าถึงหกแสนคนมีความสามารถการร้องเพลงประสานเสียงกัน[99] ในปี 2007 ด้วยรายรับมากกว่า 800 ล้านดอลลาร์ สวีเดนเป็นผู้ส่งออกเพลงรายใหญ่เป็นอันดับสามของโลกเป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรเท่านั้น[100] สวีเดนมีเพลงแจ๊สที่ค่อนข้างมีชีวิตชีวา ศูนย์วิจัยดนตรีพื้นบ้านและดนตรีแจ๊สแห่งสวีเดนได้ตีพิมพ์ผลงานภาพรวมของดนตรีแจ๊สในสวีเดนโดย ลาร์ส เวสติน แฟชั่นความสนใจแฟชั่นเป็นเรื่องสำคัญในสวีเดน[101][102] และประเทศนี้มีสำนักงานใหญ่ของยี่ห้อดังอย่าง Hennes & Mauritz (รู้จักในนาม H&M)[103], J. Lindeberg (รู้จักในนาม JL) อย่างไรก็ตาม บริษัทเหล่านี้ประกอบด้วยผู้ซื้อส่วนใหญ่ที่นำเข้าสินค้าแฟชั่นจากทั่วยุโรปและอเมริกา โดยยังคงมีแนวโน้มของธุรกิจสวีเดนในการพึ่งพาเศรษฐกิจข้ามชาติเช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายแห่ง อาหารอาหารประจำชาติของประเทศสวีเดนคล้ายกับอาหารของแถบสแกนดิเนเวีย[104] เช่น ปลา (herring), ปลาเปรี้ยว (pickled herring) และไข่ปลาคาเวียร์ แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือลูกชิ้นสวีเดนหรือที่เรียกกันว่า Köttbullar มีลักษณะเป็นลูกชิ้นที่ปรุงรสแล้วมีทั้งเนื้อหมู เนื้อไก่ และเนื้อวัว กินกับมันฝรั่ง ซอส และควบคู่ไปกับแยมผลไม้ แยมจะมีรสหวานกินง่าย คนสวีเดนส่วนมากจะกินเนื้อสัตว์กับแยมผลไม้ เพื่อเป็นการเพิ่มรสชาติของอาหารและแก้เลี่ยน[105][106] สื่อมวลชนชาวสวีเดนเป็นหนึ่งในผู้บริโภคหนังสือพิมพ์รายใหญ่ที่สุดของโลก และเกือบทุกเมืองมีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นให้บริการ หนังสือพิมพ์อ่านตอนเช้าที่มีคุณภาพหลักของประเทศ ได้แก่ Dagens Nyheter (เสรีนิยม), Göteborgs-Posten (เสรีนิยม), Svenska Dagbladet (อนุรักษ์นิยมแบบเสรีนิยม) และ Sydsvenska Dagbladet (เสรีนิยม) หนังสือพิมพ์รายวันที่ใหญ่ที่สุดสองรายการคือ Aftonbladet (สังคมประชาธิปไตย) และ Expressen (เสรีนิยม) และยังมี Metro International หนังสือพิมพ์นานาชาติซึ่งแจกฟรี ก่อตั้งขึ้นในสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ข่าวของประเทศนี้รายงานเป็นภาษาอังกฤษโดย[107] บริษัทแพร่ภาพกระจายเสียงสาธารณะผูกขาดวิทยุและโทรทัศน์ในสวีเดนมาเป็นเวลานาน การอนุญาตวิทยุกระจายเสียงเริ่มต้นในปี 1925 เครือข่ายวิทยุที่สองเริ่มต้นในปี 1954 และเครือข่ายที่สามในปี 1962 เพื่อตอบสนองต่อการปเดสถานีวิทยุที่ละเมิดลิขสิทธิ์ วิทยุชุมชนที่ไม่แสวงหากำไรได้รับอนุญาตในปี 1979 และในปี 1993 วิทยุท้องถิ่นเชิงพาณิชย์ได้เริ่มดำเนินการ บริการโทรทัศน์ที่ได้รับทุนจากใบอนุญาตเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 1956 ช่องที่สองคือ TV2 เปิดตัวในปี 1969 สองช่องนี้ (ดำเนินการโดย Sveriges Television ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1970) ได้ผูกขาดการออกอากาศจนกระทั่งช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อเคเบิลทีวีและโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเปิดให้บริการ บริการดาวเทียมภาษาสวีเดนครั้งแรกคือ TV3 ซึ่งเริ่มออกอากาศจากลอนดอนในปี 1987 ตามด้วย Kanal 5 ในปี 1989 (ขณะนั้นรู้จักกันในชื่อ Nordic Channel) และ TV4 ในปี 1990 กีฬากิจกรรมกีฬาเป็นกิจกรรมหลักของชาติโดยมีประชากรกว่าครึ่งหนึ่งเข้าร่วมกิจกรรมกีฬาที่จัดขึ้นโดยรัฐบาล กีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดสองประเภท คือ ฟุตบอล และฮอกกี้น้ำแข็ง รองจากฟุตบอล กีฬาขี่ม้า (ซึ่งผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง) มีจำนวนผู้ฝึกหัดมากที่สุด นอกจากนี้ กอล์ฟ โอเรียนเทียริ่ง ยิมนาสติก และกีฬาประเภททีมของฮอกกี้น้ำแข็ง แฮนด์บอล ฟลอร์บอล บาสเก็ตบอล และวงดนตรีเป็นที่นิยมมากที่สุดเช่นกัน[108] ฮอกกี้น้ำแข็งชายทีมชาติสวีเดน หรือที่รู้จักกันในนาม Tre Kronor (อังกฤษ: Three Crowns; สัญลักษณ์ประจำชาติของสวีเดน) ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในโลก[109] ชนะเลิศการแข่งขันชิงแชมป์โลกถึงเก้าครั้ง[110] และรั้งอันดับสามในการนับเหรียญรางวัลรวมในการแข่งขันตลอดกาล และยังได้รับรางวัลเหรียญทองโอลิมปิกในปี 1994 และ 2006 ในปี 2006 ทีมนี้กลายเป็นทีมฮอกกี้ระดับชาติทีมแรกที่ชนะทั้งโอลิมปิกและชิงแชมป์โลกในปีเดียวกัน และกรีฑาถือว่าได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จหลายคนในช่วงที่ผ่านมา ปี เช่น Carolina Klüft และ Stefan Holm ฟุตบอลฟุตบอลทีมชาติสวีเดนประสบความสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลโลกพอสมควร โดยเข้าร่วมการแข่งขันรอบสุดท้ายถึง 17 ครั้ง ได้ตำแหน่งรองชนะเลิศเมื่อเป็นตนเองเจ้าภาพในฟุตบอลโลก 1958[111] และอันดับสามอีกสองครั้งในปี 1950 และ 1954 และเข้าร่วมฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 7 ครั้ง มีนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น นิลส์ ลีดโฮล์ม, เฮ็นริก ลอช็อน, เฟรียดริก ยุงแบร์ย, แคโรลีน ซีเกอร์ และซลาตัน อิบราฮีมอวิช วันหยุดนอกเหนือจากวันหยุดตามประเพณีของชาวคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ สวีเดนยังฉลองวันหยุดพิเศษบางอย่างซึ่งเป็นประเพณีก่อนคริสต์ศักราช พวกเขาจะร่วมฉลอง Walpurgis Night (Valborgsmässoafton) ในวันที่ 30 เมษายนด้วยการจุดไฟซึ่งเป็นวันฉลองของชาวคริสต์ของ Saint Walpurga[112] เป็นนักุญที่นับถือศาสนาคริสต์ในศตวรรษที่ 8[113] และวันแรงงานหรือวันแรงงานตรงกับ วันที่ 1 พฤษภาคม อุทิศให้กับการประท้วงสังคมนิยม วันแห่งแสงสว่างของนักบุญลูเซียซึ่งเป็นวันที่ 13 ธันวาคม เป็นที่ทราบกันดีในการเฉลิมฉลองอันวิจิตรบรรจงซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอิตาลีและเริ่มเทศกาลคริสต์มาสที่ยาวนานหนึ่งเดือน และ 6 มิถุนายน เป็นวันชาติของสวีเดน[114] และตั้งแต่ปี 2005 ถือเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ นอกจากนี้ยังมีการฉลองวันโบกธงอย่างเป็นทางการและปฏิทิน Namesdays ในสวีเดนในเดือนสิงหาคม ชาวสวีเดนจำนวนมากมีงาน kräftskivor (งานเลี้ยงอาหารค่ำ) โดยจะเสิร์ฟห่านย่างและสวาร์ตซอปปา ('ซุปดำ' ที่ทำจากน้ำสต๊อกห่าน ผลไม้ เครื่องเทศ สุรา และเลือดห่าน) การจัดอันดับนานาชาติ
ดูเพิ่มหมายเหตุ
อ้างอิง
อ่านเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิท่องเที่ยว มีคำแนะนำการท่องเที่ยวสำหรับ ประเทศสวีเดน
ภาครัฐ
สื่อข่าว
การค้า การเดินทาง
|