ประเทศเอสวาตินี
เอสวาตินี (สวาซิ: eSwatini, ออกเสียง [ɛswáˈtʼiːni]; อังกฤษ: Eswatini, ออกเสียง: /ˌɛswɑːtˈiːni/) มีชื่อทางการว่า ราชอาณาจักรเอสวาตินี (สวาซิ: Umbuso weSwatini; อังกฤษ: Kingdom of Eswatini) และยังคงรู้จักกันในภาษาอังกฤษและในอดีตว่า สวาซีแลนด์ (อังกฤษ: Swaziland, ออกเสียง: /ˈswɑːzilænd/; เปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 2018)[10][11] เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในภูมิภาคแอฟริกาใต้ มีอาณาเขตทางตะวันออกเฉียงเหนือติดต่อกับประเทศโมซัมบิก ส่วนทางเหนือ ตะวันตก และใต้ติดต่อกับประเทศแอฟริกาใต้ ด้วยระยะทางจากเหนือจรดใต้ไม่เกิน 200 กิโลเมตร (120 ไมล์) และจากตะวันออกจรดตะวันตก 130 กิโลเมตร (81 ไมล์) เอสวาตินีจึงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในทวีปแอฟริกา ประชากรของประเทศประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์สวาซีเป็นหลัก ภาษาที่ใช้แพร่หลายคือภาษาสวาซี (siSwati) ชาวสวาซีก่อตั้งอาณาจักรของตนในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ภายใต้การนำของพระเจ้าอึงกวาเนที่ 3[12] ชื่อประเทศและกลุ่มชาติพันธุ์มาจากพระนามของพระเจ้าอึมสวาตีที่ 2 พระมหากษัตริย์ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่ทรงขยายและรวมดินแดนสวาซีเป็นปึกแผ่น เขตแดนในปัจจุบันได้รับการกำหนดขึ้นใน ค.ศ. 1881 ในสมัยลัทธิอาณานิคมในทวีปแอฟริกา[13] หลังจากสงครามบูร์ครั้งที่สอง ราชอาณาจักรสวาซีแลนด์ตกเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษตั้งแต่ ค.ศ. 1903 จนกระทั่งได้รับเอกราชในวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1968[14] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2018 ได้มีการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก ราชอาณาจักรสวาซีแลนด์ ไปเป็น ราชอาณาจักรเอสวาตินี เพื่อสะท้อนถึงชื่อที่ใช้กันทั่วไปในภาษาสวาซี[15][16][11] ประเทศนี้ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ภายใต้การปกครองของสมเด็จพระราชาธิบดีอึมสวาตีที่ 3มาตั้งแต่ ค.ศ. 1986[17][18] มีการจัดการเลือกตั้งทุก 5 ปี เพื่อกำหนดเสียงข้างมากในรัฐสภาและวุฒิสภา รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้รับการประกาศใช้ใน ค.ศ. 2005 งานประเพณีที่สำคัญที่สุดของประเทศคือพิธีระบำกกหรือ อุมลางกา ในเดือนสิงหาคม/กันยายน[19] และระบำราชันหรือ อิงวาลา ในเดือนธันวาคม/มกราคม[20] เอสวาตินีเป็นประเทศกำลังพัฒนาและถูกจัดเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับล่าง เป็นสมาชิกสหภาพศุลกากรแอฟริกาตอนใต้และตลาดร่วมแอฟริกาตะวันออกและใต้ โดยมีคู่ค้าหลักในภูมิภาคคือแอฟริกาใต้ สกุลเงินลีลังเกนีของเอสวาตินีถูกผูกค่าเงินไว้กับสกุลเงินรันด์ของแอฟริกาใต้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ คู่ค้ารายใหญ่นอกภูมิภาคของเอสวาตินีคือสหรัฐ[21] และสหภาพยุโรป[22] การจ้างงานส่วนใหญ่ของประเทศนั้นมาจากภาคเกษตรกรรมและภาคการผลิต นอกจากนี้เอสวาตินียังเป็นสมาชิกของสมาคมพัฒนาการแอฟริกาตอนใต้, สหภาพแอฟริกา, เครือจักรภพแห่งประชาชาติ และสหประชาชาติ ประชากรของประเทศเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่สำคัญคือเอชไอวี/เอดส์และวัณโรค (ในระดับที่น้อยกว่า)[23][24] มีการประมาณว่าประชากรผู้ใหญ่ร้อยละ 26 ติดเชื้อเอชไอวี ณ ค.ศ. 2018 เอสวาตินีมีการคาดหมายคงชีพสั้นที่สุดเป็นอันดับที่ 12 ของโลก โดยอยู่ที่ 58 ปี[25] ประชากรของประเทศอยู่ในวัยหนุ่มสาว โดยมีอายุมัธยฐานอยู่ที่ 20.5 ปี และประชากรที่มีอายุ 14 ปีหรือต่ำกว่ามีจำนวนร้อยละ 37.5 ของประชากรทั้งหมดของประเทศ[26] อัตราการเติบโตของประชากรในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 1.2 ประวัติศาสตร์ชนชาติสวาซีเป็นชนเผ่างูนี เดิมอาศัยอยู่ทางแอฟริกากลาง ชนชาติสวาซีหรือเผ่างูนี ได้เคลื่อนย้ายลงมาทางแอฟริกาตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของราชอาณาจักรเอสวาตินีในปัจจุบันประมาณปี ค.ศ. 1750 ภายใต้การปกครองของพระเจ้าอึงวาเนที่ 3 จึงได้ถือว่ากษัตริย์พระองค์นี้เป็นกษัตริย์องค์แรกของราชอาณาจักรเอสวาตินีปัจจุบัน โดยครองราชย์อยู่จนถึงปี ค.ศ. 1780 เมื่อชนชาติเอสวาตินีอพยพลงมาอาศัยมาในบริเวณที่เป็นที่ตั้งของประเทศนี้ ใหม่ ๆ ได้เกิดข้อขัดแย้งในการแย่งดินแดนกับชนเผ่าซูลู ซึ่งมีความเข้มแข็งกว่าชนเผ่าสวาซี ต่อมาเมื่อมีการขุดพบทองคำในภูมิภาคนี้เมื่อปี ค.ศ. 1879 จึงมีคนผิวขาวจากยุโรปอพยพเข้าไปแสวงโชคกันมากและยึดดินแดนในภูมิภาคนี้เป็นเมืองขึ้น เอสวาตินีได้ตกเป็นเมืองขึ้นของคนผิวขาวเชื้อสายดัตช์ ซึ่งได้ครองดินแดนซึ่งเป็นที่ตั้งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ปัจจุบันด้วย ในขณะนั้นเรียกว่า Boer Republic of Transvaal ต่อมาคนเชื้อสายอังกฤษได้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้และได้ทำสงครามชนะคนเชื้อสายดัช (Boer) เมื่อปี ค.ศ. 1903 เอสวาตินีจึงกลายเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษหรือเป็น British High Commission Territory เอสวาตินีได้รับเอกราชเมื่อ 6 กันยายน ค.ศ. 1968 ซึ่งภายหลังจากที่ได้รับเอกราช เอสวาตินีเคยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามแบบอย่างของประเทศตะวันตก โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ และมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีพรรคการเมืองหลายพรรคและเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิในการเลือกตั้ง ต่อมาระหว่างปี ค.ศ. 1973-1977 สมเด็จพระราชาธิบดีซอบูซาที่ 2 แห่งราชวงศ์ดลามีนี ได้ทรงปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงการปกครองของเอสวาตินี โดยได้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเพิ่มอำนาจการปกครองให้อยู่ภายใต้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และห้ามการจัดตั้งพรรคการเมือง นอกจากนี้ ได้ทรงวางรากฐานการปกครองประเทศเอสวาตินีซึ่งใช้ปกครองประเทศสืบมาจนถึงปัจจุบัน โดยทรงนำแนวทางการปกครองประเทศแบบตะวันตกผสมผสานกับการปกครองตามประเพณีดั้งเดิมเข้าด้วยกัน ปัจจุบันสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ซึ่งมีอิทธิพลเหนือราชอาณาจักรเอสวาตินีพยายามกดดันให้เอสวาตินีเปลี่ยนเปลงการปกครองเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ก่อนการสวรรคตของพระเจ้าซอบูซาที่ 2 ในปี ค.ศ. 1982 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระมเหสีเจลีเว (Queen Dzeliwe) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จนกว่าเจ้าชายมาคอเซตีเว (Prince Makhosetive) ซึ่งประสูติแต่พระสนมอึนตอมบี (Ntombi) จะบรรลุนิติภาวะพระชันษา 21 ปีบริบูรณ์ แต่หนึ่งปีต่อมาพระสนมอึนตอมบีได้ยึดอำนาจจากพระมเหสี หลังจากนั้นอีกสามปีเจ้าชายมาคอเซตีเวที่มีพระชันษา 18 ปี ก็เสด็จขึ้นครองราชย์สถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าอึมสวาตีที่ 3 (Mswati III) แต่ก็ปกครองอาณาจักรร่วมกับพระมารดาในลักษณะพระมหากษัตริย์คู่จึงถึงปัจจุบัน[27] การเมืองเมื่อเอสวาตินีเป็นประเทศเอกราชแล้ว ก็มีการปกครองปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่ในปี 2520 สมเด็จพระราชาธิบดีซอบูซาที่ 2 (Sobhuza II) ทรงเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตราบถึงทุกวันนี้ แต่หลังการสวรรคตของกษัตริย์ซอบูซาที่ 2 ได้มีการสถาปนาพระเจ้าอึมสวาตีที่ 3 ซึ่งมีพระมารดาคือพระสนมอึนตอมบีเป็นผู้ปกครองร่วม ทำให้เกิดการแบ่งอำนาจในลักษณะที่เรียกว่าสถาบันพระมหากษัตริย์คู่ (Dual Monarchy)[27] ซึ่งมีโครงสร้างการเมืองที่รวมศูนย์กลางอยู่ที่กษัตริย์, พระมารดา และเหล่าเชื้อพระวงศ์ และพระญาติที่เป็นเพศชายของทั้งสองพระองค์[27] กษัตริย์มีพระราชอำนาจเหนือระบบศาลและการทหาร รวมไปถึงอำนาจในการแบ่งปันที่ดินแก่ราษฎรทั่วประเทศ แต่อำนาจเหล่านี้จะถูกต้องตามกฎหมายและมีความชอบธรรมได้ก็ต่อเมื่อได้ความร่วมมือจากพระมารดา[27] การแบ่งเขตการปกครองเอสวาตินีแบ่งการปกครองใหญ่เป็น 4 จังหวัด คือ
ภูมิศาสตร์มีลักษณะเป็นที่ราบสูงและภูเขา เศรษฐกิจเศรษฐกิจของเอสวาตินีเป็นเศรษฐกิจขั้นปฐมภูมิ พึ่งพิงภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร ประชาชนอยู่ในภาคการเกษตรกว่าร้อยละ 80 นอกจากนี้ สภาพเศรษฐกิจของเอสวาตินียังผูกพันอยู่กับสาธารณรัฐแอฟริกาใต้เป็นอย่างมาก โดยประมาณร้อยละ 80 ของสินค้านำเข้าจากแอฟริกาใต้ และร้อยละ 30 ของสินค้าส่งออกของเอสวาตินีส่งไปยังแอฟริกาใต้ นอกจากนั้น ระบบการเงินและการคลังรวมทั้งระบบภาษีศุลกากรของเอสวาตินีก็ผูกพันกับแอฟริกาใต้ ประชากรมีประชากรทั้งหมด 1,032,000 คน เป็นชาวแอฟริกันเป็นส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ และบางส่วนนับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 81.6 [ต้องการอ้างอิง] ของประชากรสามารถอ่านออกเขียนได้ วัฒนธรรมชนเผ่าพื้นเมืองท้องถิ่นซึ่งยังคงรักษาซึ่งเอกลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ดั้งเดิมของแต่ละชนเผ่า
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|