ราชวงศ์ที่สิบเอ็ดแห่งอียิปต์
ราชวงศ์ที่สิบเอ็ดแห่งอียิปต์ เป็นราชวงศ์ที่ผู้ปกครองเหล่านี้มีหลักฐานยืนยันเป็นอย่างดี รัชสมัยของผู้ปกครองพระองค์ที่อยู่ก่อนหน้ารัชสมัยฟาโรห์เมนทูโฮเทปที่ 2 จะถูกจัดรวมกลุ่มกับอีก 4 ราชวงศ์ก่อนหน้าให้อยู่ในสมัยช่วงระหว่างกลางที่หนึ่ง โดยในขณะที่ผู้ปกครองภายในราชวงศ์ช่วงหลังจะถือว่าอยู่ในช่วงสมัยราชอาณาจักรกลาง และศูนย์กลางงการเมืองการปกครองของฟาโรห์จากราชวงศ์นี้อยู่ที่เมืองธีบส์ในดินแดนอียิปต์บน ราชวงศ์ลำดับเหตุการณ์ที่สัมพันธ์กันของราชวงศ์ที่สิบเอ็ดแห่งอียิปต์ ได้รับการพิสูจน์ยืนยันอย่างดีจากหลักฐานชั้นต้นร่วมสมัย เว้นแต่ฟาโรห์อินเตฟและฟาโรห์เมนทูโฮเทปที่ 4 ที่มีหลักฐานยืนยันมาจากบันทึกพระนามกษัตริย์แห่งตูริน[1] จากข้อมูลของมาเนโท ราชวงศ์ที่สิบเอ็ดประกอบด้วยฟาโรห์จำนวน 16 พระองค์ ซึ่งทั้งหมดครองราชย์รวมกันเป็นเวลา 43 ปีนั้นขัดแย้งกับคำจารึกร่วมสมัยและหลักฐานจากบันทึกพระนามแห่งตูริน ซึ่งหลักฐานทั้งสองชิ้นได้ระบุว่า ราชวงศ์นี้ประกอบด้วยฟาโรห์จำนวน 7 พระองค์ที่ปกครองกันเป็นเวลารวม 143 ปี[2] แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากมาเนโทที่ว่าราชวงศ์นี้มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองธีบส์นั้นได้รับการพิสูจน์ยืนยันโดยหลักฐานชั้นต้นร่วมสมัย ในช่วงการปกครองของราชวงศ์นี้ดินแดนอียิปต์โบราณทั้งหมดได้ถูกผนวกรวมตัวกันขึ้นเป็นราชอาณาจักรกลาง ราชวงศ์นี้มีต้นกำเนิดมาจากผู้ปกครองท้องถิ่นนามว่า "อินเตฟ ผู้ยิ่งใหญ่ บุตรชายแห่งอิกู" ซึ่งถูกกล่าวถึงในจารึกชั้นต้นร่วมสมัยจำนวนหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ฟาโรห์เมนทูโฮเทปที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อทันทีของเขา ถือว่าเป็นฟาโรห์พระองค์แรกของราชวงศ์นี้ คำจารึกที่แกะสลักขึ้นในรัชสมัยของฟาโรห์วาอังค์ อินเตฟที่ 3 ได้บันทึกไว้ว่า พระองค์เป็นฟาโรห์พระองค์แรกจากราชวงศ์นี้ที่ได้อ้างว่าทรงสามารถครอบครองทั้งดินแดนอียิปต์ ซึ่งเป็นข้ออ้างที่เป็นหลักฐานที่ชี้ว่า ผู้ปกครองท้องถิ่นจากธีบส์ได้มีความขัดแย้งกับผู้ปกครองจากเฮราคลีโอโพลิส มักนาแห่งราชวงศ์ที่สิบแห่งอียิปต์ โดยฟาโรห์อินเตฟทรงดำเนินการทางการทหารจำนวนครั้งไปทางเหนือ และยึดครองอไบดอส ซึ่งเมืองที่มีสำคัญ สงครามระหว่างราชวงศ์ท้องถิ่นของธีบส์กับเฮราคลีโอโพลิสได้ดำเนินต่อไปเป็นระยะ ๆ จนถึงปีที่ 14 แห่งรัชสมัยของฟาโรห์เนบเฮเพตเร เมนทูโฮเทปที่ 2 เมื่อฝ่ายราชวงศ์ท้องถิ่นจากเฮราคลีโอโพลิสได้ปราชัยในสงคราม และราชวงศ์สิบเอ็ดก็สามารถรวบรวมอำนาจการปกครองขึ้นมาได้ โดยผู้ปกครองจากราชวงศ์นี้ได้แผ่อำนาจและอิทธิพลของราชอาณาจักรอียิปต์ต่อดินแดนต่าง ๆ ในดินแดนแอฟริกาและตะวันออกใกล้ ฟาโรห์เมนทูโฮเทปที่ 2 ได้ทรงส่งคณะเดินทางครั้งใหม่ไปยังฟีนิเซียเพื่อค้นหาไม้ซีดาร์ และฟาโรห์สอังค์คารา เมนทูโฮเทปที่ 3 ไดทรงส่งคณะเดินทางจากเมืองคอปโตส ซึ่งอยู่ทางใต้ของอียิปต์ไปยังดินแดนแห่งพุนต์ ยังไม่มีทราบแน่ชัดและความคลุมเครืออย่างมากเกี่ยวกับรัชสมัยของฟาโรห์พระองค์สุดท้ายและการสิ้นสุดของราชวงศ์นี้ ในบันทึกร่วมสมัยได้อ้างถึง "เจ็ดปีที่ว่างเปล่า" ภายหลังจากการเสด็จสวรรคตของฟาโรห์เมนทูโฮเทปที่ 3 ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลารัชสมัยของฟาโรห์เนบทาวีรา เมนทูโฮเทปที่ 4 โดยนักวิชาการในสมัยใหม่ได้ระบุว่า อเมนเอมฮัต ซึ่งเป็นราชมนตรีในรัชสมัยของพระองค์นั้นเป็นบุคคลคนเดียวกับกับฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 1 ซึ่งเป็นฟาโรห์พระองค์แรกจากราชวงศ์ที่สิบสองแห่งอียิปต์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีที่ว่า ราชมนตรีอเมนเอมฮัตได้ขึ้นมาสู่อำนาจและสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฟาโรห์หลังจากการการทำรัฐประหารภายในพระราชวัง รายละเอียดบางประการของการครองราชย์ของฟาโรห์เมนทูโฮเทปก็คือลางบอกเหตุอันน่าสังเกตทั้งสองอย่างถูกพบเห็นที่เหมืองหินในวาดีฮัมมามาต โดยราชมนตรีอเมนเอมฮัต รายพระนามฟาโรห์จากราชวงศ์ที่สิบเอ็ดแห่งอียิปต์
ดูเพิ่มอ้างอิง
|