ราชวงศ์ที่สิบแปดแห่งอียิปต์
ราชวงศ์ที่สิบแปดแห่งอียิปต์ จัดเป็นราชวงศ์แรกในช่วงสมัยราชอาณาจักรใหม่ของอียิปต์ ซึ่งเป็นยุคที่อียิปต์โบราณเรืองอำนาจสูงสุด ราชวงศ์ที่สิบแปดครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ 1550/1549 ถึง 1292 ปีก่อนคริสตกาล ราชวงศ์นี้เรียกอีกอย่างว่า ราชวงศ์ทุตโมส เนื่องจากฟาโรห์จากราชวงศ์นี้จำนวน 4 พระองค์ทรงใช้พระนามว่า ทุตโมส ฟาโรห์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของอียิปต์หลายพระองค์มาจากราชวงศ์ที่สิบแปด รวมถึงฟาโรห์ทุตอังค์อามุน ซึ่งฮาวเวิร์ด คาร์เตอร์เป็นผู้ค้นพบสุสานของพระองค์ในปี ค.ศ. 1922 ส่วนฟาโรห์ที่มีชื่อเสียงอื่นๆ ของราชวงศ์ ได้แก่ ฟาโรห์ฮัตเชปซุต (ราว 1479–1458 ปีก่อนคริสตกาล) ฟาโรห์สตรีผู้ครองราชย์ยาวนานที่สุดของราชวงศ์พื้นเมือง และฟาโรห์อะเคนอาเตน (ประมาณ 1353–1336 ปีก่อนคริสตกาล) หรือ "ฟาโรห์นอกรีต" กับพระมเหสีผู้ยิ่งใหญ่ของพระองค์พระนามว่า เนเฟอร์ติติ ราชวงศ์ที่สิบแปดมีลักษณะเฉพาะตัวในบรรดาราชวงศ์อียิปต์ที่มีฟาโรห์สตรีจำนวนพระองค์ที่ทรงครองราชย์ สตรีที่ปกครองในฐานะฟาโรห์แต่เพียงผู้เดียว: พระนางฮัตเชปซุค และพระนางเนเฟอร์เนเฟรูอาเตน ซึ่งมักสันนิษฐานว่าเป็นพระองค์เดียวกันกับพระนางเนเฟอร์ติติ[1] ประวัติราชวงศ์ช่วงต้นราชวงศ์ที่สิบแปดแห่งอียิปต์ราชวงศ์ที่สิบแปดสถาปนาขึ้นโดยฟาโรห์อาห์โมสที่ 1 ซึ่งเป็นพระอนุชาหรือพระราชโอรสของฟาโรห์คาโมส ผู้ปกครองพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่สิบเจ็ด พระองค์เสร็จสิ้นการดำเนินการทางทหารเพื่อขับไล่ผู้ปกครองชาวฮิกซอส รัชสมัยของพระองค์ถูกมองว่าเป็นจุดสิ้นสุดของสมัยช่วงระหว่างกลางที่สองและการเริ่มต้นของสมัยราชอาณาจักรใหม่ พระมเหสีของฟาโรห์อาห์โมส คือ พระนางอาโมส-เนเฟอร์ทาริ เป็น "สตรีที่ได้รับการเคารพนับถือมากที่สุดในประวัติศาสตร์อียิปต์ และเป็นพระอัยยิกาแห่งราชวงศ์ที่สิบแปด"[2] พระองค์ได้รับการบูชาอย่างเทพเจ้าหลังจากที่พระองค์เสด็จสวรรคต ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 1 ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากฟาโรห์อาห์โมส ผู้เป็นพระราชบิดา ซึ่งเหตุการณ์ภายในรัชสมัยของพระองค์ไม่ค่อยเป็นที่ทราบมากนัก[3] ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 1 อาจจะทรงไม่มีรัชทายาทที่เป็นบุรุษ และฟาโรห์พระองค์ต่อไป คือ ฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 ซึ่งดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ผ่านการอภิเษกสมรส ในรัชสมัยของพระองค์ พรมแดนของอาณาจักรอียิปต์แผ่ขยายออกไปทางเหนือถึงเมืองคาร์เคมิชบนแม่น้ำยูเฟรติส และทางใต้ถึงเมืองคูร์กัสเลยแก่งน้ำตกแม่น้ำไนล์ที่สี่ลงไป ฟาโรห์ทุตโมสที่ 2 ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 และพระมเหสีฮัตเชปซุต ซึ่งเป็นพระราชธิดาของฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 หลังจากสวามีของพระองค์เสด็จสวรรคตและช่วงระยะเวลาของการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระราชโอรสเลี้ยงของพระองค์ (ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นฟาโรห์ในพระนามว่า ทุตโมสที่ 3) พระนางฮัตเชปซุตทรงกลายเป็นฟาโรห์ตามพระราชสิทธิและทรงปกครองมากว่ายี่สิบปี ฟาโรห์ทุตโมสที่ 3 ซึ่งทรงกลายเป็นที่รู้จักในฐานะฟาโรห์ทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณ พระองค์ทรงครองราชย์ยาวนานเช่นกัน พระองค์ทรงมีผู้สำเร็จราชการร่วมครั้งที่สองในช่วงปลายพระชนม์ชีพกับพระราชโอรสของพระองค์พระนามว่า ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 2 ฟาโรห์ทุตโมสที่ 4 ทรงสืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อจากฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 2 โดยซึ่งสืบทอดพระราชบัลลังก์ตามด้วยพระราชโอรสพระนามว่า ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 ซึ่งรัชสมัยดังกล่าวถูกมองว่าเป็นจุดสูงสุดในราชวงศ์นี้ รัชสมัยของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ความงดงามทางศิลปะ และอำนาจระหว่างประเทศ ดังที่เห็นได้จากรูปสลักกว่า 250 รูป (มากกว่าฟาโรห์พระองค์อื่นๆ) และตราประทับแมลงสคารับขนาดใหญ่ 200 ตัวที่ค้นพบตั้งแต่ซีเรียจนถึงนิวเบีย[4] ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 ทรงโปรดให้ดำเนินโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งขอบเขตของโครงการดังกล่าวสามารถเทียบได้กับโครงการในรัชสมัยของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ที่ยาวนานกว่ามากในช่วงราชวงศ์ที่สิบเก้าเท่านั้น[5] พระมเหสีของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 คือ พระนางทีเย ซึ่งมีอิสริยยศเป็นพระอัครมเหสี ซึ่งพระองค์ทรงโปรดให้ขุดทะเลสาบเทียมตามที่อธิบายไว้ในตราประทับแมลงสคารับจำนวนสิบเอ็ดตัว[6] ฟาโรห์อะเคนอาเตนแห่งสมัยอามาร์นา และฟาโรห์ทุตอังค์อามุนฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 อาจจะทรงครองบัลลังก์ร่วมกันนานถึง 12 ปีกับฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 4 ผู้เป็นพระราชโอรส ซึ่งมีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยวกับข้อสันนิษฐานดังกล่าวที่ว่ามีการสำเร็จราชการร่วมหรือไม่ โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนพิจารณาว่ามีการสำเร็จราชการร่วมที่ยาวนาน อันสั้น หรือไม่มีเลย ในปีที่ 5 แห่งการครองราชย์ของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 4 พระองค์ทรงได้เปลี่ยนพระนามเป็น อะเคนอาเตน (ꜣḫ-n-jtn, "มีประสิทธิภาพแต่เทพอาเตน") และทรงย้ายเมืองหลวงไปที่บริเวณอามาร์นา ซึ่งพระองค์ตั้งชื่อเมืองว่า อะเคตอาเตน ในรัชสมัยของพระองค์ เทพอาเตน (jtn, จานรัศมีสุริยะ) ได้กลายเป็นเทพสำคัญที่โดดเด่นที่สุด และในที่สุดก็ได้รับการพิจารณาให้เป็นเทพเจ้าเพียงพระองค์เดียว[7] ไม่ว่าจะรวมถึงลัทธิเอกเทวนิยมที่แท้จริงหรือไม่ก็ตามยังคงเป็นประเด็นถกเถียงในกลุ่มนักวิชาการ บางคนกล่าวว่า ฟาโรห์อะเคนอาเตนทรงสร้างลัทธิเอกเทวนิยม ในขณะที่คนอื่น ๆ ชี้ให้เห็นว่าพระองค์เพียงแค่ทรงยกลัทธิสุริยะที่มีอำนาจเหนือกว่าอีกลัทธิหนึ่ง ในขณะที่พระองค์ทรงไม่เคยละทิ้งเทพเจ้าดั้งเดิมหลายพระองค์โดยสิ้นเชิง ชาวอียิปต์ยุคหลังถือว่า "สมัยอามาร์นา" เป็นความผิดแปลกที่น่าเสียดาย หลังจากการสวรรคตของฟาโรห์อะเคนอาเตน มีการสืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อโดยฟาโรห์สเมนค์คาเรและพระนางเนเฟอร์เนเฟรูอาเตน ซึ่งปรากฏข้อมูลมากนัก ในช่วง 1334 ปีก่อนคริสตกาล ฟาโรห์ทุตอังค์อาเตน ผู้เป็นพระราชโอรสในฟาโรห์อะเคนอาเตนทรงขึ้นครองพระราชบัลลังก์ หลังจากนั้นไม่นาน พระองค์ทรงได้ฟื้นฟูลัทธิที่นับถือพระเจ้าหลายพระองค์ในอียิปต์ และต่อมาทรงได้เปลี่ยนพระนามเป็น ทุตอังค์อามุน เพื่อถวายเป็นพระเกียรติแก่เทพเจ้าอามุนแห่งอียิปต์[8] มัมมี่หมายเลข 317a และ 317b ซึ่งเป็นมัมมี่ของพระราชธิดาที่สิ้นพระชนม์เมื่อคราวประสูติกาล ซึ่งเป็นสมาชิกของราชวงศ์รุ่นสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกันทางสายโลหิตของราชวงศ์ที่สิบแปดแห่งอียิปต์ ฟาโรห์ไอย์และฟาโรห์ฮอร์เอมเฮบสมาชิกสองพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่สิบแปด คือ ฟาโรห์ไอย์และฟาโรห์ฮอร์เอมเฮบ ซึ่งได้กลายเป็นผู้ปกครองจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่ในราชสำนัก ถึงแม้ว่าฟาโรห์ไอย์ อาจะทรงเป็นพระมาตุลาของพระราชมารดาของฟาโรห์อะเคนอาเตน ในฐานะร่วมสายโลหิตเดียวกันของยูยาและทจูยู ฟาโรห์ไอย์อาจจะทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอังค์เอสเอนอามุน ซึ่งเป็นพระอัครมเหสีที่ทรงเป็นม่ายและเป็นพระขนิษฐาต่าพระมารดาของฟาโรห์ทุตอังค์อามุน เพื่อที่จะได้อำนาจอันชอบธรรม หลังจากนั้นพระองค์ก็มีพระชนม์ชีพอยู่ได้ไม่นาน จากนั้น ฟาโรห์ไอย์ก็ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางเทย์ ซึ่งเดิมทีเป็นพระนมของพระนางเนเฟอร์ติติ ฟาโรห์ไอย์ทรงมีรัชสมัยที่สั้น ผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์คือฟาโรห์ฮอร์เอมเฮบ ซึ่งเป็นนายพลในรัชสมัยของฟาโรห์ทุตอังค์อามุน ซึ่งฟาโรห์ไอย์อาจจะทรงตั้งใจให้เป็นผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์ในกรณีที่พระองค์ไม่มีพระราชโอรสที่ยังมีพระชนม์ชีพ ซึ่งต่อมาก็คือ[9] ฟาโรห์ฮอร์เอมเฮบอาจจะแย่งชิงพระราชบัลลังก์ไปจากฟาโรห์ไอย์ในการก่อกบฏ ถึงแม้ว่าพระราชโอรสหรือพระราชโอรสบุญธรรมของฟาโรห์ไอย์พระนามว่า นัคต์มิน ซึ่งจะได้รับการเสนอพระองค์ให้เป็นมกุฎราชกุมารของพระราชบิดา/พระราชบิดาบุญธรรม แต่ดูเหมือนว่าเจ้าชายนัคต์มินจะสิ้นพระชนม์ในรัชสมัยของฟาโรห์ไอย์ ทำให้ฟาโรห์ฮอร์เอมเฮบทรงมีโอกาสครองพระราชบัลลังก์ต่อไป ฟาโรห์ฮอร์เอมเฮบก็เสด็จสวรรคตโดยไม่มีรัชทายาทที่ยังมีพระชนม์ชีพ พระองค์จึงแต่งตั้งให้ราชมนตรีปา-รา-เมส-ซู ขึ้นเป็นมกุฎราชกุมาร ราชมนตรีผู้นี้ทรงขึ้นครองพระราชบัลลังก์ใน 1292 ปีก่อนคริสตกาลในฐานะฟาโรห์รามเสสที่ 1 และเป็นฟาโรห์พระองค์แรกของราชวงศ์ที่สิบเก้าแห่งอียิปต์ ตัวอย่างทางด้านขวานี้แสดงให้เห็นบุรุษคนหนึ่งนามว่า ไอย์ซึ่งได้รับตำแหน่งทางศาสนาอันสูงส่งในตำแหน่งอุปมหาปุโรหิตแห่งอามุน และมหาปุโรหิตแห่งมัตที่ธีบส์ และหน้าที่มีความรุ่งเรืองในรัชสมัยของทุตอังค์อามุนเมื่อสร้างรูปสลัก ภาพแกะสลักของกษัตริย์ไอย์ ซึ่งเป็นผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์ของฟาโรห์ทุตอังค์อามุนที่ปรากฏบนรูปสลัก จึงเป็นความพยายามของช่างฝีมือที่จะ "พัฒนา" ประติมากรรม[10] ความสัมพันธ์กับดินแดนนิวเบียจักรวรรดิแห่งราชวงศ์ที่สิบแปดได้พิชิตนิวเบียล่างทั้งหมดในรัชสมัยฟาโรห์ทุตโมสที่ 1[11] ในรัชสมัยของฟาโรห์ทุตโมสที่ 3 ชาวอียิปต์ได้ควบคุมนิวเบียไปโดยตรง ซึ่งไปถึงแก่งน้ำตกแม่น้ำไนล์ที่ 4 โดยอิทธิพลของอียิปต์หรือขยายออกไปนอกเหนือจุดนี้[12][13] ชาวอียิปต์เรียกบริเวณนี้ว่า คุช และปกครองโดยอุปราชแห่งคุช ราชวงศ์ที่สิบแปดได้รับทองคำนิวเบีย หนังสัตว์ งาช้าง ไม้มะเกลือ วัวควาย และม้า ซึ่งมีคุณภาพดีเยี่ยม[11] ชาวอียิปต์สร้างวิหารไปทั่วนิวเบีย วิหารที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งอุทิศให้กับเทพอามุนที่เฌเบล บาร์คัล ในเมืองแนปาตา วิหารแห่งอามุนแห่งนี้ได้รับการขยายให้ใหญ่ขึ้นโดยฟาโรห์แห่งอียิปต์และนิเบียในช่วงเวลาต่อมา เช่น ฟาโรห์ทาฮาร์กา
ความสัมพันธ์กับดินแดนตะวันออกใกล้หลังจากสิ้นสุดยุคการปกครองโดยต่างชาติอย่างฮิกซอส ราชวงศ์ที่สิบแปดได้เข้าสู่ช่วงแห่งการขยายตัวอย่างเข้มข้น พิชิตพื้นที่กว้างใหญ่ของตะวันออกใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟาโรห์ทุตโมสที่ 3 ได้ส่ง "ชาซู" กลุ่มชาวเบดูอินทางตอนเหนือของคานาอัน และดินแดนของเรทเจนูไกลถึงซีเรียและไมตานนี ในการรบทางทหารหลายครั้งประมาณ 1450 ปีก่อนคริสตกาล[14][15]
การระบุช่วงเวลาของราชวงศ์การหาอายุด้วยคาร์บอนกัมมันตภาพรังสีบ่งชี้ว่าช่วงเวลาของราชวงศ์ที่สิบแปดอาจเริ่มต้นเร็วกว่าช่วงเวลาเดิมคือ 1550 ปีก่อนคริสตกาลไม่กี่ปี ช่วงเวลาของเรดิโอคาร์บอนสำหรับการเริ่มของสมัยราชวงศ์ที่สิบแปดคือ 1570–1544 ปีก่อนคริสตกาล ค่าเฉลี่ยคือ 1557 ปีก่อนคริสตกาล[17] รายพระนามฟาโรห์ฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่สิบแปดทรงปกครองเป็นเวลาประมาณ 250 ปี (ประมาณ 1550–1298 ปีก่อนคริสตกาล) ช่วงเวลาและพระนามในตารางนำมาจากด็อดสันและฮิลตัน[18] ฟาโรห์หลายพระองค์ทรงถูกฝังพระบรมศพอยู่ในหุบเขากษัตริย์ในธีบส์ (KV) สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ Theban Mapping Project[19] ปรากฏการอภิเษกสมรสทางการทูตหลายครั้งเป็นที่ทราบกันดีสำหรับช่วงราชอาณาจักรใหม่ พระราชธิดาของกษัตริย์ต่างชาติเหล่านี้มักถูกกล่าวถึงเฉพาะในบันทึกคูนิฟอร์มและไม่ทราบจากแหล่งอื่น การอภิเษกสมรสน่าจะเป็นวิธีการยืนยันความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐเหล่านี้[20]
เส้นเวลาของราชวงศ์ที่สิบแปดแห่งอียิปต์
อ้างอิง
บรรณานุกรรม
ดูเพิ่ม
Information related to ราชวงศ์ที่สิบแปดแห่งอียิปต์ |