พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ (8 ตุลาคม พ.ศ. 2337 – 27 เมษายนพ.ศ. 2399) มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าพนมวัน ประสูติเมื่อวันพุธ เดือน 11 ขึ้น 14 ค่ำ ปีขาล ฉศก จุลศักราช 1156 ตรงกับวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2337 เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาศิลา (สกุลเดิม ณ บางช้าง; มารดาชื่อ ฟักทอง ราชินิกุล ณ บางช้าง; ตาชื่อ ขุนสนิทภิรมย์ ซึ่งเป็นบุตรของเจ้ามุก ส่วนยายชื่อเชียง บุตรีของเจ้าแทนและเจ้ามุก โดยเจ้าแทนมีศักดิ์เป็นพระชนกทอง หรือพระชนกในสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ เป็นต้น ราชสกุล "พนมวัน" พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น กรมหมื่นพิพิธภูเบนทร และได้ทรงกำกับกรมพระนครบาล วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2375 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนกรมขึ้นเป็น กรมขุนพิพิธภูเบนทร และโปรดเกล้าฯ ให้กำกับกรมคชบาล ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนกรมขึ้นเป็นกรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์นเรนทรสุริยวงศ์ อิศวรพงศพรพิพัฒนศักดิรัตนธำรง คุณาลงกฎเกียรติวิบุลย อดุลยเดชบพิตร ในวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2394 กรมพระพิพิธฯ ทรงกำกับ กรมพระนครบาล (เวียง) ระหว่างรัชกาลที่ 2 ถึงรัชกาลที่ 3 โดยมีการโปรดฯ ให้กำกับกรมพระคชบาลเพิ่มอีกหนึ่งกรมอีกด้วย โดยกรมทั้งสองต่างเป็นกรมสำคัญที่มีผู้คนสังกัดมากทั้งสองกรม พระองค์ประทับอยู่ที่วังท้ายหับเผย (วังที่ 1) และสิ้นพระชนม์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันจันทร์ เดือน 5 แรม 8 ค่ำ ปีมะโรง อัฐศก จุลศักราช 1218 ตรงกับวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2399 สิริพระชันษา 62 ปี ณ เดือน 4 ขึ้น 11 ค่ำ วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2400 เจ้าพนักงานได้อัญเชิญพระศพ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ มาลงเรือเอกไชยที่หน้าวัดพระเชตุพน เวลา 2 ยามเศษ แห่หามไปเข้าเมรุผ้าขาวที่หลังวัดอรุณราชวราราม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการมหรสพ 2 วัน 2 คืน พระราชทานพระโกศทองใหญ่ (เมื่อชักพระศพ) และได้เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงพระศพ ณ เดือน 4 ขึ้น 13 ค่ำ วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2400 พระประวัติพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ มีพระอนุชาและพระภคินีร่วมเจ้าจอมมารดา 5 พระองค์ ได้แก่
ความเกี่ยวข้องกับการสืบราชสมบัติในพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงพระบรมวงศ์ผู้ทรงอาวุโส ช่วงใกล้จะเสด็จสวรรคตนั้น พระนามของกรมขุนพิพิธฯ นั้นปรากฏอยู่ในรายชื่อเจ้านายสี่พระองค์ที่ทรงหมายจะให้สืบราชสมบัติต่อจากพระองค์ โดยรายชื่อดังกล่าวมีชื่ออยู่ด้วยกัน 4 พระองค์ ประกอบด้วย
กรมพระพิพิธฯ มีเจ้ากรม และจางวาง เป็นพวกราชินิกุลบางช้างพระญาติพระวงศ์ รวมทั้งข้าหลวงคนน้ำข้าในกรมอีกมาก ครั้นเมื่อปลายรัชกาลที่ 3 ครั้งทรงพระประชวรจวนจะเสด็จสวรรคต กรมพระพิพิธฯ ท่านมีข้าในกรมมากมาย ซึ่งส่วนมากเป็นเชื้อสายพวกบางช้างดังกล่าว เมื่อคราวสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ สวรรคต พวกข้าในกรมก็เคยหวังกันไว้ว่าเจ้านายจะได้เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลฯ กรมพระพิพิธฯ จึงทรงพระวิตกว่า หากเปลี่ยนรัชกาลไม่ว่าท่านพระองค์ใดจะเสด็จขึ้นครองราชย์ แต่อำนาจก็คงอยู่ที่เจ้าพระยาพระคลัง (สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์) และพระยาศรีพิพัฒน์ (สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ) ซึ่งอาจจะพาลหาเหตุเอาผิดกับท่าน กรมพระพิพิธฯ จึงทรงระดมผู้คนพวกข้าในกรมที่อยู่ข้างนอกเข้ามาอยู่ในวัง ข้าในกรมของท่านมีมากมายดังกล่าวพากันเข้ามาอยู่ระวังรักษาพระองค์ล้นหลามจนต้องไปอาศัยนอนวัดโพธิ์ที่อยู่ใกล้ ๆ ความทราบถึงเจ้าพระยาพระคลังจึงได้ไปเฝ้าปรับความเข้าใจ เหตุการณ์ก็สงบเรียบร้อย กรมพระพิพิธฯ ปล่อยข้าในกรมกลับไปหมด ดนตรีปี่พาทย์และการละครกรมพระพิพิธฯ นั้น โปรดดนตรีปี่พาทย์และการละครเป็นอย่างมาก โดยทรงมีทั้งวงปี่พาทย์ และละครนอก ในช่วงรัชกาลที่ 2 และ ละครใน ในช่วงรัชกาลที่ 3 ในพระนิพนธ์เรื่อง "ตำนานละคร" ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวว่า ฯ กรมพระพิพิธฯ ทรงมีวงปี่พาทย์ผู้ชายวงหนึ่ง ซึ่งเป็นปี่พาทย์เครื่องใหญ่สำหรับทำรับเสภา คือประกอบการเล่นเสภา โดยเป็นพระราชนิยมใน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 และ ในสมัยรัชกาลที่ 3 แม้ละครของหลวงไม่มี แต่ก็มีละคร อย่างละครหลวงของเจ้านาย และขุนนางใหญ่โตถึง 11 และ โรง 1 ใน 11 คือ ละครฯ โรงของ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ ซึ่งว่ากันว่า กระบวนรำสวยงามดีกว่าโรงอื่น ๆ ทั้งนั้น การศึกในปี พ.ศ. 2369 เกิดศึกเจ้าอนุวงศ์ ยกทัพเข้ามายึดนครราชสีมา ในรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้กรมขุนพิพิธฯ เป็นแม่ทัพบัญชาการกองทัพ ตั้งทัพสกัดตามชายทุ่ง ตั้งแต่ สามเสน ถึงทุ่งวัวลำพอง (หัวลำโพง) โค้งออกตามชายทุ่งบางกะปิ ไปจรดแม่น้ำเจ้าพระยา กรมพระพิพิธฯ เป็นแม่ทัพทรงตั้งกองบัญชาการอยู่ที่บริเวณวัดแหลม (วัดแหลม หรือ บางที ก็เรียกว่า "วัดไทรทอง" เนื่องด้วยคงมีต้นไทรใหญ่อยู่ในวัดเป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อมาวัดแหลม ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร") ทรงวางแนวรบที่สองตามแนวกำแพง พระนครด้านนอก (คลองบางลำภูโค้งไปตามคลองโอ่งอ่าง) แต่กองทัพเวียงจันทน์ พ่ายแพ้กองทัพไทยทุกด้านที่ยกเข้ามา ยังไม่ทันบุกเข้ามาถึงพระนคร หลังศึกเจ้าอนุวงศ์สงบ กรมพระพิพิธฯ จึงทรงชักชวนเจ้าพี่เจ้าน้องให้ร่วมกันบูรณะวัดแหลม ทรงสร้างพระเจดีย์เรียงรายไว้หน้าวัด 5 องค์ ถึงรัชกาลที่ 4 จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดว่า "วัดเบญจบพิตร" หมายถึงวัดของเจ้านาย 5 พระองค์ ต่อมาถึงรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงซื้อที่ดินราษฎรทางด้านสวนในบริเวณใกล้กับวัดเบญจบพิตร เพื่อทรงสร้างวังส่วนพระองค์ ทรงพระราชดำริว่า วัดเบญจบพิตร นั้น ทรุดโทรมแล้ว จึงทรงถวายที่ดินเป็นที่วิสุงคามสีมา สร้างวัดเบญจบพิตรขึ้นใหม่ ให้งดงามพร้อมสรรพเป็นวัดใหญ่ พระราชทานนามให้ใกล้เคียงชื่อเดิมว่า "วัดเบญจมบพิตร" เติม "ม" ลงไป มีความหมายว่า วัดที่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ 5 ทรงสร้าง พระโอรส-พระธิดาพระองค์มีหม่อม 4 คน คือ หม่อมน่วม หม่อมจับ หม่อมตาด และหม่อมไม่ปรากฏนาม โดยมีพระโอรสและพระธิดา ดังต่อไปนี้
พระเกียรติยศ
พระอิสริยยศ
ภายหลังสิ้นพระชนม์
พงศาวลี
อ้างอิง
|