พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสรรควิไสยนรบดี
มหาอำมาตย์ตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสรรควิไสยนรบดี เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาทิพเกษร ทรงเป็นคนไทยคนแรกที่จบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ นับเป็นเจ้านายไทยพระองค์แรกและเป็นคนไทยคนที่ 2 ที่จบการศึกษาในวิชาระดับปริญญาเอก[1] พระนาม "ดิลกนพรัฐ" หมายถึง "ทรงเป็นเลิศแห่งเมืองเชียงใหม่" พระประวัติประสูติพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสรรควิไสยนรบดี มีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 44 ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาทิพเกษร เจ้านายฝ่ายเหนือในราชวงศ์ทิพย์จักร ประสูติในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันเสาร์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก ฉศก จ.ศ. 1246 ตรงกับวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2427 พระนามของพระองค์เจ้าดิลกนพรัฐปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุรายวันที่สมเด็จพระบรมราชปิตุลาธิบดี เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศได้ทรงบันทึกไว้ครั้งเมื่อยังทรงพระเยาว์ ณ วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2427 ความว่า "...เสด็จขึ้นเกือบค่ำ เสด็จลงสมโภชน้องชายลูกทิพย์เกสร ทูลหม่อมบนประทานชื่อว่า ดิลกนพรัฐ สมเด็จแม่ทรงแปลประทานเราว่า ศรีเมืองเชียงใหม่..." ขณะที่มีพระชันษาได้เพียง 16 ปี เจ้าจอมมารดาก็ได้ถึงแก่อนิจกรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2443 เป็นต้นมา จึงทรงอยู่ในความดูแลของเจ้าดารารัศมี พระราชชายา ซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา พระอัจฉริยภาพด้านการศึกษาพ.ศ. 2440 พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐได้เสด็จเข้ารับการศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ในคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก (พ.ศ. 2440) ขณะมีพระชันษาได้ 13 ปีบริบูรณ์ การเสด็จประพาสยุโรปครั้งนั้นมีพระราชโอรสตามเสด็จ 4 พระองค์ คือ
เมื่อถึงอังกฤษ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐได้ทรงเข้าเรียนที่โรงเรียนวอร์เรนฮิลล์ เพื่อศึกษาในระดับประถมศึกษาตอนปลาย ก่อนที่จะย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมชาร์เตอร์เฮาส์ ทั้ง ๆ ที่โรงเรียนมัธยมกินนอนอีตัน ได้ตกลงรับเข้าศึกษาแล้ว โดยจะเป็นนักเรียนไทยคนแรกที่นั่น เหตุผลที่พระองค์มิได้เสด็จไปเข้าอีตัน ก็เพราะพระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ ซึ่งได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้เป็นผู้ดูแลการศึกษาของพระราชโอรสในอังกฤษขณะนั้นดำริว่าพระเจ้าลูกยาเธอยังขาด "ความพร้อม" ที่จะไปเรียนที่อีตัน ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2443 พระองค์ดิลกนพรัฐได้เสด็จกลับกรุงเทพฯ เพราะเจ้าจอมมารดาทิพเกษรป่วยหนักและถึงแก่อนิจกรรม คราวนั้น พระองค์ได้ประทับอยู่ในเมืองไทยนานถึง 8 เดือน จนกระทั่งเสร็จสิ้นงานปลงพระศพของพระมารดา จึงทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เสด็จกลับไปศึกษาต่อที่อังกฤษในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2444 การว่างเว้นการเรียนไปนานหลายเดือนทำให้พระองค์ทรงเรียนตามพระสหายในชั้นเรียนไม่ทัน จึงต้องทรงย้ายไปเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมของเอกชนที่แครมเมอร์ และได้ทรงย้ายไปศึกษาที่เยอรมนีในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2444 ในระหว่าง พ.ศ. 2444-2446 พระองค์ได้ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนมัธยมที่เมืองฮาลเล ภายใต้การควบคุมดูแลของ ดร.ตริน ศาสตราจารย์ชาวเยอรมัน พระองค์ทรงมีความขยันหมั่นเพียรเป็นอย่างสูง จนสามารถเรียนรู้ภาษาเยอรมันได้อย่างแตกฉาน และสำเร็จชั้นมัธยมศึกษาภายในเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น ใน พ.ศ. 2446 เมื่อมีพระชันษา 19 ปีบริบูรณ์ และได้ประทับอยู่ในยุโรปมาแล้วกว่า 6 ปี พระองค์ได้ทรงเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยมิวนิกในหลักสูตรวิชาเศรษฐศาสตร์การเมือง หรือที่รู้จักกันในสมัยนี้ว่าวิชาเศรษฐศาสตร์ พระองค์ทรงเลือกศึกษาวิชาที่เน้นในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม, ลัทธิเศรษฐกิจ, เศรษฐศาสตร์แรงงาน ตลอดจนวิชารัฐศาสตร์ คือวิชาที่เกี่ยวกับการเมืองและการปกครอง พระองค์ทรงเริ่มการค้นคว้าเพื่อเรียบเรียงวิทยานิพนธ์เรื่อง "เกษตรกรรมในสยาม : บทวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของราชอาณาจักรสยาม" (เยอรมัน: Die Landwirtschaft in Siam: Ein Beitrag Zur Wirtschaftsgeschichte Des Konigreichs Siam) ใน พ.ศ. 2447 โดยทรงขอข้อมูลจากเมืองไทย ซึ่งกระทรวงเกษตราธิการได้รวบรวมส่งไปถวาย นอกจากนั้นก็ยังทรงค้นคว้าจากหนังสือและเอกสารอีกมากมายที่มีอยู่ในห้องสมุดมหาวิทยาลัย ทั้งที่เป็นภาษาเยอรมัน, ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส รายชื่อหนังสือและเอกสารเหล่านี้ปรากฏในบรรณานุกรมต่อท้ายพระวิทยานิพนธ์ของพระองค์ วิทยานิพนธ์เรื่องนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ถือเป็นเอกสารสำคัญสำหรับนักเศรษฐศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ด้านเศรษฐกิจโลกที่สนใจประเทศไทย ภายหลังที่ได้ทรงศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยมิวนิกเป็นเวลา 2 ปี พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐก็ได้ทรงย้ายไปศึกษาในแขนงวิชาเดียวกัน ณ มหาวิทยาลัยทือบิงเงิน (University of Tübingen) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของเยอรมนีตอนใต้อีกแห่งหนึ่ง (เมืองทือบิงเงินอันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ใกล้กับเมืองชตุทท์การ์ท และอยู่ไปทางทิศตะวันตกของเมืองมิวนิก) ณ มหาวิทยาลัยแห่งใหม่นี้ พระองค์ได้ทรงสำเร็จการศึกษาในหลักสูตรปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า "ดอกเตอร์ แดร์ เวียร์ทชาร์ฟทส์-วิสเซนชาร์ฟทสเทน" (เยอรมัน: Doktor der Wirtschafts-wissenschaften) ใน พ.ศ. 2450 ขณะทรงมีชันษาได้ 23 ปี ภายหลังที่ได้ทรงพิมพ์พระวิทยานิพนธ์เป็นหนังสือขนาดกะทัดรัดฉบับภาษาเยอรมันในชื่อว่า "เกษตรกรรมในสยาม : บทวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของราชอาณาจักรสยาม" (ภาษาเยอรมัน : Die Landwirtschaft in Siam) โดย “ปรินซ์ดิลก ฟอน สิอาม” (เยอรมัน: Dilock Prinz Von Siam ซึ่งคือการออกพระนามในภาษาเยอรมัน) ผลงานของพระองค์เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง และถือเป็นเอกสารสำคัญสำหรับนักเศรษฐศาสตร์และนักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของโลกที่สนใจประเทศไทยจักต้องค้นหามาศึกษา ในพระอัจฉริยภาพด้านการศึกษานั้น กล่าวสรุปได้ว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ
นอกจากนั้น พระองค์เป็นพระราชโอรส 1 ใน 4 พระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงสำเร็จการศึกษาด้านพลเรือนได้รับปริญญาจากมหาวิทยาลัย อันได้แก่
พระกรณียกิจสำคัญหลังจากพระองค์เจ้าดิลกนพรัฐได้โดยเสด็จ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชบิดาในคราวที่เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2450) นิวัติกลับสู่ประเทศไทยแล้ว ทรงเริ่มเข้ารับราชการในกระทรวงมหาดไทย ในตำแหน่งปลัดกรมพิเศษ แผนกอัยการต่างประเทศ ก่อนจะย้ายไปเป็นปลัดสำรวจ กรมมหาดไทยฝ่ายเหนือ ต่อมาได้ทรงดำรงตำแหน่งเจ้ากรมเลขานุการ ปฏิบัติงานขึ้นตรงต่อเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ) ในปี พ.ศ. 2453 พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐทรงได้รับพระราชทานยศเป็นอำมาตย์เอก (เทียบยศทหารพันเอก) ในรัชกาลที่ 6 ทรงได้เลื่อนยศขึ้นเป็นมหาอำมาตย์ตรี (เทียบยศทหารพลตรี) ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมพลำภัง (อธิบดีกรมการปกครอง) ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2454[2] และและได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้ช่วยราชปลัดทูลฉลอง ขณะที่ยังคงรั้งตำแหน่งเจ้ากรมพลำภัง (อธิบดีกรมการปกครอง) ต่อไปด้วย จากนั้นพระองค์ได้รับการแต่งตั้งเป็น สมุหมนตรี เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2454[3] ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2455 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ ขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรควิไสยนรบดี ซึ่งมีข้อความในประกาศว่า
นอกจากราชการในกระทรวงมหาดไทยแล้ว พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐยังสนพระทัยในการศึกษาระดับอนุบาล (คินเดอร์การ์เต้น) ซึ่งเป็นการศึกษาที่ริเริ่มขึ้นในเยอรมนี และได้ทรงเคยพบเห็นมาในระหว่างที่ศึกษาอยู่ในประเทศนั้น เมื่อเสด็จกลับมาจากยุโรปใหม่ ๆ ได้ทรงเป็นบรรณาธิการวารสารชื่อ กุมารใหม่ ซึ่งพิมพ์ออกมาได้ไม่กี่ฉบับอีกด้วย สิ้นพระชนม์และการพระศพพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐได้ทรงเสกสมรสกับเจ้าศิริมา ณ เชียงใหม่[5] พระญาติซึ่งกล่าวกันว่ามีพระสิริโฉมยิ่งนัก ทรงครองรักอยู่ได้ไม่นาน พระชายาก็ถึงแก่กรรมอย่างกะทันหันเพราะเป็นตะคริวขณะกำลังสรงน้ำในสระน้ำภายในพระราชวังดุสิต กรมหมื่นสรรควิไสยนรบดีทรงเสียพระทัยอย่างมิอาจจะหักห้ามได้ ประกอบกับประชวรพระเส้นประสาทพิการมาได้ 7 เดือนเศษ ท้ายที่สุดได้ทรงตัดสินพระทัยปลงพระชนม์เองด้วยพระแสงปืนในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2455 (นับแบบปัจจุบันตรงกับปี พ.ศ. 2456) หลังจากทรงกรมได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น สิริพระชันษา 28 ปี 254 วัน แต่ในหนังสือ เลาะวัง ซึ่งเขียนโดยจุลลดา ภักดิภูมินทร์ (หม่อมหลวงศรีฟ้า ลดาวัลย์) ให้ข้อมูลว่า "...ไม่ปรากฏว่าทรงมีหม่อมห้ามและโอรส ธิดา จึงไม่มีทายาทสืบสกุล" และ "ว่ากันว่า ทรงขัดข้องพระทัยเรื่องราชการงานเมือง เมื่อไม่ได้ดังที่ตั้งพระทัยดีเอาไว้ ก็ทรงน้อยพระทัย หุนหัน ไม่ได้มีเรื่องเกี่ยวกับรัก ๆ ใคร่ ๆ ส่วนพระองค์แต่อย่างใด"[6] บ่าย 4 โมงเศษหลังวันสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เสด็จแทนพระองค์มาพระราชทานน้ำสรงพระศพ เจ้าพนักงานเชิญพระศพลงพระลอง ประดิษฐานเหนือแว่นฟ้า 2 ชั้น ประกอบพระโกศมณฑปใหญ่ พระสงฆ์มีพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์ ทรงเป็นประธานสวดสดับปกรณ์ มีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมทั้งกลางวันกลางคืนและเครื่องประโคมประจำพระศพมีกำหนด 3 เดือน[7] วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2457 เจ้าพนักงานเชิญพระศพขึ้นรถพระวอวิมานออกจากวังถนนพายัพ เข้าถนนสามเสน บรรจบกับขบวนพระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภัทรายุวดี และขบวนพระศพหม่อมเจ้าดนัยวรนุช เข้าวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร ประดิษฐานทั้ง 3 พระศพบนแว่นฟ้าในศาลาการเปรียญ ประกอบพระโกศและเครื่องสูง พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมและเจ้าพนักงานประโคมดนตรีตลอดงาน จน 4 ทุ่มเศษ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาบำเพ็ญพระราชกุศล พระราชเวที (หรุ่ม พฺรหฺมโชติโก) เทศนาจบ พระสงฆ์สวดสดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนาและถวายอดิเรกแล้ว จึงเสด็จฯ กลับ วันที่ 28 พฤษภาคม เจ้าภาพบำเพ็ญกุศลแต่เช้า บ่าย 5 โมงเศษ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาทอดผ้าไตร 50 ไตร ผ้าขาว 100 พับ พระสงฆ์สวดสดับปกรณ์ถวายอนุโมทนาและถวายอดิเรกแล้ว เจ้าพนักงานเชิญพระศพขึ้นพระเมรุแล้วพระราชทานเพลิงพระศพ วันที่ 29 พฤษภาคม สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จแทนพระองค์มาทอดผ้าไตรสามหาบ พระสงฆ์สวดสดับปกรณ์แล้วเจ้าพนักงานอัญเชิญพระอัฐิกรมหมื่นสรรควิไสยนรบดีขึ้นรถม้าหลวงไปไว้หอพระนาคในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนพระอังคารเจ้าพนักงานอัญเชิญขึ้นรถม้าหลวงอีกคันไปบรรจุที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม[8] พระเกียรติยศ
พระอิสริยยศ
ภายหลังการสิ้นพระชนม์
พระยศพระยศพลเรือน
พระยศเสือป่าเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ราชตระกูล
อ้างอิง
|