ประเทศในแอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือ
"สาธารณรัฐซูดาน" เปลี่ยนทางมาที่นี่ สำหรับอดีตอาณานิคมฝรั่งเศส ดูที่
ซูดานของฝรั่งเศส
ซูดาน (อังกฤษ : Sudan ; อาหรับ : السودان ) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐซูดาน (อังกฤษ : Republic of the Sudan ; อาหรับ : جمهورية السودان ) เป็นประเทศที่ในอดีตมีพื้นที่มากที่สุดในทวีปแอฟริกา ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีป มีเมืองหลวงชื่อคาร์ทูม มีพรมแดนทางทิศเหนือติดกับประเทศอียิปต์ ทิศใต้ติดต่อกับเซาท์ซูดาน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับทะเลแดง ทิศตะวันออกติดกับเอริเทรีย และเอธิโอเปีย ทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดกับสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ทิศตะวันตกติดกับประเทศชาด และทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับลิเบีย ชื่อของประเทศมาจากภาษาอาหรับว่า Bilad-al-Sudan ซึ่งแปลว่าดินแดนของคนผิวดำ [ 13] ปัจจุบันซูดานกลายเป็นประเทศที่ขาดความมั่นคงตามดัชนีความเสี่ยงของการเป็นรัฐที่ล้มเหลว เพราะการปกครองแบบเผด็จการทหาร และสงครามดาร์ฟูร์
ประวัติศาสตร์
ซูดานหรือนิวเบีย สมัยโบราณ มีชาวอียิปต์ เข้ามาตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่สมัยเก่าแก่ ในศตวรรษที่ 6 ชาวพื้นเมืองในซูดานหันมานับถือศาสนาคริสต์นิกายคอปติก อาหรับเข้ามาพิชิตแล้วนำเอาศาสนาอิสลาม มาให้
ในทศวรรษของปี ค.ศ. 1820 อียิปต์เอาซูดานไปครอบครองโดยรบชนะอาณาจักรในยุคแรก ๆ ได้รวมทั้งอาณาจักรของฟุง ในช่วงทศวรรษของปี ค.ศ. 1880 โมฮัมหมัด อาห์หมัด ซึ่งเรียกตัวเองว่ามาห์ธี (ผู้นำแห่งความสัตย์) กับสาวกของเขาก่อการปฏิวัติ
ในปี ค.ศ. 1898 กองกำลังผสมระหว่างอังกฤษ และอียิปต์ บุกทำลายกองทัพผูสืบตำแหน่งต่อจากมาห์ธีร์จนพังพินาศ ในปี ค.ศ. 1951 รัฐสภาอียิปต์ประกาศยกเลิกสนธิสัญญากับอังกฤษฉบับปี ค.ศ. 1899 และ 1936 แล้วแก้ไขรัฐธรรมนูญอียิปต์ให้ซูดานมีรัฐธรรมนูญแยกไปจากอียิปต์
ซูดานได้รับอิสรภาพโดยสมบูรณ์มีการปกครองระบบรัฐสภาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1956
ในปี ค.ศ. 1969 สภาปฏิวัติเข้ายึดอำนาจแต่งตั้งรัฐบาลพลเรือนบริหารประเทศ รัฐบาลประกาศจะสร้างซูดานเป็นรัฐสังคมนิยม 12 จังหวัดทางภาคเหนือของประเทศส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับ นับถือศาสนาอิสลาม และเคยมีอำนาจในรัฐบาลกลางมาช้านาน ใน 3 จังหวัดทางภาคใต้ส่วนใหญ่เป็นคนดำนับถือศาสนาเดิมของแอฟริกา ในปี ค.ศ. 1972 รัฐบาลยอมให้จังหวัดทางใต้ปกครองตนเอง แล้วทั้งสองซีกของประเทศก็เริ่มทำสงครามกลางเมืองในปี ค.ศ. 1988
ในทศวรรษของปี ค.ศ. 1980 ซูดานมีปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำและเลวร้ายลงไปอีก เมื่อมีผู้ลี้ภัยจากประเทศใกล้เคียงหลั่งไหลเข้ามา ภายหลังอยู่ในอำนาจมา 16 ปี ประธานาธิบดีไนไมรี ก็ถูกโค่นอำนาจจากการทำรัฐประหาร เมื่อปี ค.ศ. 1985 ในปี ค.ศ. 1986 ซูดานมีการเลือกตั้งระบอบประชาธิปไตยครั้งแรกในรอบ 18 ปี แต่แล้วรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็ถูกโค่นล้มอีก จากการรัฐประหารแบบไม่เสียเลือดเนื้อของฝ่ายทหารในปี ค.ศ. 1989
ในปี ค.ศ. 1991 ซูดานยอมให้สหประชาชาติ ช่วยบรรเทาทุกข์ครั้งใหญ่ เพราะมีประชากรประมาณ 7 ล้านคนที่กำลังขาดแคลนอาหาร
การแบ่งเขตการปกครอง
เขตทางการเมืองในซูดาน สามเหลี่ยมฮาลาอิบ อยู่ภายใต้การปกครองของอียิปต์ตั้งแต่ พ.ศ. 2543
ซูดานมีรัฐทั้งหมด 17 รัฐ ได้แก่
พื้นที่ที่เกิดความขัดแย้ง
นอกจากการบริหารโดยรัฐบาลกลาง ยังมีการบริหารภายนอกที่เกิดจากการทำสนธิสัญญาสันติภาพกับกลุ่มกบฏได้แก่
รัฐทางตอนเหนือและตอนกลาง
ส่วนการบริหารเฉพาะพื้นที่
พื้นที่พิพาทหรือเกิดความขัดแย้ง
ภูมิศาสตร์
ซูดานตั้งอยู่ในทวีฟแอฟริกาตอนเหนือ มีทางออกทะเลที่ทะเลแดง และมีความยาวของชายฝั่งประมาณ 853 กิโลเมตร[ 16] ซูดานมีพื้นที่ทั้งหมด 2,505,810 ตารางกิโลเมตร และเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา และเป็นอันดับสิบของโลก ซูดานมีอาณาเขตติดกับสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ประเทศชาด ลิเบีย อียิปต์ เอริเทรีย เอธิโอเปีย เคนยา ยูกันดา และมีความสำคัญทางภูมิศาสตร์เพราะมีจุดที่แม่น้ำบลูไนล์และไวท์ไนล์รวมกันเป็นแม่น้ำไนล์ ซึ่งอยู่ในเขตคาร์ทูม
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ ซึ่งถูกแบ่งออกจากกันด้วยเทือกเขาหลายแห่ง ได้แก่เทือกเขาเจเบล มาร์รา ทางตะวันตก ภูเขาคินเยติ อิมาตองบริเวณใกล้ชายแดนยูกันดา ซึ่งเป็นภูขาที่สูงที่สุด และในเขตตะวันออกมีเนินเขาทะเลแดง[ 17]
ทางตอนเหนือมีทะเลทรายนิวเบีย ตั้งแต่อดีตในทางตอนใต้มีปริมาณน้ำฝนมีมากกว่าจึงมีพื้นที่ที่มีบึงและป่าดิบชื้น ฤดูฝนของซูดานมีระยะเวลาประมาณ 3 เดือน (กรกฎาคมถึงกันยายน) ในตอนเหนือ และนานถึง 6 เดือน (มิถุนายนถึงพฤศจิกายน) ในตอนใต้ ในเขตแห้งแล้งมักเกิดพายุทราย ที่เรียกว่าฮาบูบ ซึ่งสามารถบดบังแสงอาทิตย์ได้โดยสิ้นเชิง ในตอนเหนือและตะวันตกซึ่งเป็นพื้นที่กึ่งทะเลทราย ผู้คนทำการเกษตรง่าย ๆ โดยพึ่งพาฝนที่ไม่ค่อยพอเพียง และมีชนเผ่าเร่ร่อน จำนวนมากที่เดินทางไปพร้อมกับฝูงแกะและอูฐ ในบริเวณใกล้แม่น้ำไนล์ มีการทำไร่ที่มีการชลประทานที่ดีกว่า ส่วนใหญ่ปลูกพืชที่ปลูกเพื่อการค้า[ 18]
ประเทศซูดานมีแหล่งทรัพยากรแร่ธาตุหลายอย่าง เช่น ปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ ทอง เงิน โครไมท์ แร่ใยหิน แมงกานีส ยิปซัม ไมกา สังกะสี เหล็ก ตะกั่ว ยูเรเนียม ทองแดง เกาลิไนท์ โคบอลต์ หินแกรนิต นิกเกิล และดีบุก [ 19]
การแปรสภาพเป็นทะเลทราย เป็นปัญหาทางสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของซูดาน[ 20] เกษตรกรมักทำการเกษตรโดยไม่คำนึงถึงการอนุรักษ์ธรรมชาติ จึงทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาเช่น การทำลายป่าไม้ ปัญหาดินจืด และปัญหาระดับน้ำบาดาลลดลง[ 21]
ประชากร
การแต่งงานของชาวนิวเบีย
จากการสำรวจของซูดานในปี พ.ศ. 2536 จำนวนประชากรถูกบันทึกไว้ที่ 25 ล้านคน แต่เนื่องจากสงครามกลางเมืองที่ดำเนินต่อเนื่อง หลังจากนั้นก็ไม่มีการสำรวจที่ทั่วถึงอีก ในปี พ.ศ. 2549 สหประชาชาติ ประมาณว่ามีจำนวนประชากรประมาณ 36.9 ล้านคน[ 22] ประชากรในเขตเมืองคาร์ทูม (คาร์ทูม โอมเดอร์มาน และคาร์ทูมเหนือ) เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วและมีจำนวนประมาณ 5-7 ล้านคน ซึ่งรวมทั้งประชากรประมาณ 2 ล้านคนที่ต้องย้ายถิ่นฐานจากเขตสงครามทางใต้และทางตะวันตก และพื้นที่แห้งแล้งทางตะวันออก
แม้ว่าซูดานจะเป็นต้นกำเนิดของผู้อพยพมากมาย แต่กลับมีชาวต่างชาติไม่น้อยอพยพเข้ามาในซูดาน ตามรายงาน World Refugee Survey 2008 ของคณะกรรมการเพื่อผู้ลี้ภัยและผู้อพยพของสหรัฐอเมริกา (U.S. Committee for Refugees and Immigrants: USCRI) พบว่ามีผู้อพยพและลี้ภัยอาศัยอยู่ในซูดาน 310,500 คนในปี พ.ศ. 2550 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเอริเทรีย (240,400 คน) ชาด (45,000 คน) เอธิโอเปีย (19,300 คน) และสาธารณรัฐแอฟริกากลาง (2,500 คน)[ 23] มีการรายงานว่ารัฐบาลซูดานไม่ให้ความร่วมมือต่อข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ในปี 2007 และยังส่งตัวผู้อพยพและผู้ลี้ภัยอย่างน้อย 1,500 คนกลับประเทศในปีเดียวกัน[ 23]
ซูดานมีชนเผ่า 597 เผ่าซึ่งพูดภาษาแตกต่างกันมากกว่า 400 สำเนียงภาษา[ 24] แต่มีสามารถแยกออกเป็นกลุ่มวัฒนธรรมหลัก 2 พวก คือชาวอาหรับเชื้อสายนิวเบีย และคนแอฟริกันผิวดำซึ่งไม่ใช่พวกอาหรับ ซึ่งสามารถแยกย่อยออกเป็นเผ่าและกลุ่มภาษาได้อีกนับร้อยกลุ่ม รัฐในเขตเหนือมีอาณาเขตครอบคลุมเกือบทั้งประเทศและรวมเอาเขตเมืองส่วนใหญ่ไว้ด้วย ชาวซูดานที่อาศัยอยู่ในเขตนี้เป็นชาวมุสลิมที่พูดภาษาอาหรับ เพราะได้รับการศึกษาเป็นภาษาอาหรับ แต่ส่วนใหญ่มักมีภาษาแม่ เป็นภาษาที่ไม่ใช่อาหรับ (เช่นนิวเบีย เบจา เฟอร์ นูบัน ฯลฯ)
ดังเช่นชาวอียิปต์ ชาวปาเลสไตน์ และชาวอาหรับอื่น ๆ ชาวอาหรับในซูดานส่วนใหญ่เป็นอาหรับโดยวัฒนธรรมมากกว่าด้วยเชื้อสาย ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากพวกนิวเบีย ซึ่งอยู่ในกลุ่มเซมิติก และหน้าตาเหมือนกับชาวเอธิโอเปีย ชาวเอริเทรีย และชาวโซมาเลีย
เมืองที่ใหญ่ที่สุดในซูดาน
อันดับ
ชื่อ
รัฐ
ประชากร
คาร์ทูม ออมเดอร์มาน
1
คาร์ทูม
คาร์ทูม
5,185,000
คาร์ทูมเหนือ พอร์ตซูดาน
2
ออมเดอร์มาน
คาร์ทูม
2,395,159
3
คาร์ทูมเหนือ
คาร์ทูม
1,725,570
4
พอร์ตซูดาน
ทะเลแดง
489,725
5
คาสซาลา
คัสสาลา
419,030
6
เอลโอเบด
คูร์ดูฟันเหนือ
418,280
7
วาดเมดานี
อัล จาซิราห์
345,290
8
อัลฟาเชอร์
ดาร์ฟูร์เหนือ
263,243
9
Ad-Damazin
บลูไนล์
212,712
10
เจเนนา
ดาร์ฟูร์ตะวันตก
200,000
อ้างอิง
↑ People and Society CIA world factbook
↑ الجهاز المركزي للتعبئة العامة والإحصاء
↑ Sudanese Fulani in Sudan
↑ Magdy, Samy; Elhennawy, Noha (21 November 2021). "Sudan military leaders reinstate deposed prime minister" . Associated Press . สืบค้นเมื่อ 5 July 2022 .
↑ Sudan Population 2021
↑ "Discontent over Sudan census" . News24 . Cape Town. Agence France-Presse. 21 May 2009. สืบค้นเมื่อ 8 July 2011 .
↑ "Sudan" . International Monetary Fund.
↑ "Sudan" . International Monetary Fund.
↑ "Sudan" . International Monetary Fund.
↑ "Sudan" . International Monetary Fund.
↑ "Gini Index" . World Bank. สืบค้นเมื่อ 16 June 2021 .
↑ Human Development Report 2020 The Next Frontier: Human Development and the Anthropocene (PDF) . United Nations Development Programme. 15 December 2020. pp. 343–346. ISBN 978-92-1-126442-5 . สืบค้นเมื่อ 16 December 2020 .
↑ "Sudan" . Online Etymology Dictionary.
↑ Page xii – Sudan administrative map (January, 1st, 1956) เก็บถาวร 2012-04-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน . (PDF) . Retrieved on 28 November 2011.
↑ South Sudan ready to declare independence เก็บถาวร 2013-05-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน . Menasborders.com (1956-01-01). Retrieved on 28 November 2011.
↑ "ISS Sudan geography" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2011-05-13. สืบค้นเมื่อ 2008-12-12 .
↑ "Country Studies" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2010-11-22. สืบค้นเมื่อ 2008-12-12 .
↑ Oxfam
↑ "Sudan embassy website" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2005-09-30. สืบค้นเมื่อ 2008-12-13 .
↑ "Developing a Desertification National Action Plan in Sudan" . United Nations Environment Programme. สืบค้นเมื่อ 2008-12-14 .
↑ "Dept of Forestry, University of Khartoum" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2010-05-28. สืบค้นเมื่อ 2008-12-20 .
↑ "World Population Prospects: Sudan" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2020-04-21. สืบค้นเมื่อ 2008-12-14 .
↑ 23.0 23.1 World Refugee Survey: Sudan
↑ Peter K. Bechtold, `More Turbulence in Sudan` in Sudan: State and Society in Crisis , ed. John Voll (Boulder, Westview, 1991) p.1
↑ Wick, Marc. "Sudan - Largest Cities" . GeoNames . GeoNames. สืบค้นเมื่อ 6 February 2017 .
อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ชื่อ "Const_Dec_En_unofficial" ซึ่งนิยามใน <references>
ไม่ถูกใช้ในข้อความก่อนหน้า
อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ชื่อ "raisethevoices_4Aug2019_const_dec" ซึ่งนิยามใน <references>
ไม่ถูกใช้ในข้อความก่อนหน้า
บรรณานุกรม
หนังสือ
Adams, William Y. (1977). Nubia. Corridor to Africa . Princeton University. ISBN 978-0691093703 .
Berry, LaVerle B., ed. (2015). Sudan: A Country Study . Library of Congress (Washington, D.C.) ISBN 978-0-8444-0750-0 .
Beswick, Stephanie (2004). Sudan's Blood Memory . University of Rochester. ISBN 978-1580462310 .
Brown, Richard P. C. (1992). Public Debt and Private Wealth: Debt, Capital Flight and the IMF in Sudan . London: Macmillan Publishers. ISBN 978-0-333-57543-7 .
Churchill, Winston (1899; 2000). The River War: An Historical Account of the Reconquest of the Soudan . Carroll & Graf (New York City). ISBN 978-0-7867-0751-5 .
Churchill, Winston (1902). "The Rebellion of the Mahdi". The River War (New and Revised ed.).
Clammer, Paul (2005). Sudan: The Bradt Travel Guide . Bradt Travel Guides (Chalfont St. Peter); Globe Pequot Press. (Guilford, Connecticut). ISBN 978-1-84162-114-2 .
Daly (1986). Empire on the Nile . [ต้องการอ้างอิงเต็มรูปแบบ ]
Evans-Pritchard, Blake; Polese, Violetta (2008). Sudan: The City Trail Guide . City Trail Publishing. ISBN 978-0-9559274-0-9 .
Edwards, David (2004). The Nubian Past: An Archaeology of the Sudan . Routledge. ISBN 978-0415369879 .
El Mahdi, Mandour . (1965). A Short History of the Sudan. Oxford University Press. ISBN 0-19-913158-9 .
Fadlalla, Mohamed H. (2005). The Problem of Dar Fur , iUniverse (New York City). ISBN 978-0-595-36502-9 .
Fadlalla, Mohamed H. (2004). Short History of Sudan . iUniverse (New York City). ISBN 978-0-595-31425-6 .
Fadlalla, Mohamed H. (2007). UN Intervention in Dar Fur , iUniverse (New York City). ISBN 978-0-595-42979-0 .
Hasan, Yusuf Fadl (1967). The Arabs and the Sudan. From the seventh to the early sixteenth century . Edinburgh University. OCLC 33206034 .
Hesse, Gerhard (2002). Die Jallaba und die Nuba Nordkordofans. Händler, Soziale Distinktion und Sudanisierung (ภาษาเยอรมัน). Lit. ISBN 978-3825858902 .
Holt, P. M.; Daly, M. W. (2000). History of the Sudan: From the coming of Islam to the present Day . Pearson. ISBN 978-0582368866 .
Jok, Jok Madut (2007). Sudan: Race, Religion and Violence . Oneworld Publications (Oxford). ISBN 978-1-85168-366-6 .
Köndgen, Olaf (2017). The Codification of Islamic Criminal Law in the Sudan. Penal Codes and Supreme Court Case Law under Numayri and al-Bashir . Brill (Leiden, Boston). ISBN 9789004347434 .
Levtzion, Nehemia; Pouwels, Randall, บ.ก. (2000). The History of Islam in Africa . Ohio University Press. ISBN 9780821444610 .
Loimeier, Roman (2013). Muslim Societies in Africa: A Historical Anthropology . Indiana University. ISBN 9780253007889 .
Morewood (1940). The British Defence of Egypt 1935–40 . Suffolk. [ต้องการอ้างอิงเต็มรูปแบบ ]
Morewood (2005). The British of Egypt . Suffolk. [ต้องการอ้างอิงเต็มรูปแบบ ]
Morewood. [ต้องการอ้างอิงเต็มรูปแบบ ]
Mwakikagile, Godfrey (2001). Slavery in Mauritania and Sudan: The State Against Blacks , in The Modern African State: Quest for Transformation . Nova Science Publishers (Huntington, New York). ISBN 978-1-56072-936-5 .
O'Fahey, R.S.; Spaulding, Jay L. (1974). Kingdoms of the Sudan . Methuen Young Books. ISBN 978-0416774504 .
Peterson, Scott (2001). Me Against My Brother: At War in Somalia, Sudan and Rwanda—A Journalist Reports from the Battlefields of Africa . Routledge (London; New York City). ISBN 978-0-203-90290-5 .
Prunier, Gérard (2005). Darfur: The Ambiguous Genocide . Cornell University Press (Ithaca, New York). ISBN 978-0-8014-4450-0 .
Ruffini, Giovanni R. (2012). Medieval Nubia. A Social and Economic History . Oxford University.
Shackelford, Elizabeth (2020). The Dissent Channel: American Diplomacy in a Dishonest Age . Public Affairs. ISBN 978-1-5417-2448-8 .
Shinnie, P.L. (1978). "Christian Nubia.". ใน J.D. Fage (บ.ก.). The Cambridge History of Africa. Volume 2 . Cambridge: Cambridge University. pp. 556–588. ISBN 978-0-521-21592-3 .
Spaulding, Jay (1985). The Heroic Age in Sennar . Red Sea. ISBN 978-1569022603 .
Suliman, Osman (2010). The Darfur Conflict: Geography or Institutions? . Taylor & Francis. ISBN 978-0-203-83616-3 .
Vantini, Giovanni (1975). Oriental Sources concerning Nubia . Heidelberger Akademie der Wissenschaften. OCLC 174917032 .
Welsby, Derek (2002). The Medieval Kingdoms of Nubia. Pagans, Christians and Muslims Along the Middle Nile . London: British Museum. ISBN 978-0714119472 .
Werner, Roland (2013). Das Christentum in Nubien. Geschichte und Gestalt einer afrikanischen Kirche (ภาษาเยอรมัน). Lit. ISBN 978-3-643-12196-7 .
Zilfū, ʻIṣmat Ḥasan (translation: Clark, Peter) (1980). Karari: The Sudanese Account of the Battle of Omdurman . Frederick Warne & Co (London). ISBN 978-0-7232-2677-2 .
บทความ
"Sudan." Background Notes, U.S. Department of State, 2009. online
"Quo Vadis bilad as-Sudan? The Contemporary Framework for a National Interim Constitution". Law in Africa (Cologne ; 2005). Vol. 8, pp. 63–82. ISSN 1435-0963 .
Lajtar, Adam (2011). "Qasr Ibrim's last land sale, AD 1463 (EA 90225)" . Nubian Voices. Studies in Christian Nubian Culture .
Martens-Czarnecka, Malgorzata (2015). "The Christian Nubia and the Arabs" . Studia Ceranea . 5 : 249–265. doi :10.18778/2084-140X.05.08 . ISSN 2084-140X .
McGregor, Andrew (2011). "Palaces in the Mountains: An Introduction to the Archaeological Heritage of the Sultanate of Darfur" . Sudan&Nubia . 15 : 129–141.
Peacock, A.C.S. (2012). "The Ottomans and the Funj sultanate in the sixteenth and seventeenth centuries". Bulletin of the School of Oriental and African Studies . 75 (1): 87–11. doi :10.1017/S0041977X11000838 . ISSN 0041-977X .
Sharkey, Heather J. (2007). "Arab Identity and Ideology in Sudan: The Politics of Language, Ethnicity and Race" (PDF) . African Affairs . 107 (426): 21–43. doi :10.1093/afraf/adm068 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2020-10-12. สืบค้นเมื่อ 2021-09-26 .
Spaulding, Jay (1974). "The Fate of Alodia" (PDF) . Meroitic Newsletter . 15 : 12–30. ISSN 1266-1635 .
Vantini, Giovanni (2006). "Some new light on the end of Soba". ใน Alessandro Roccati and Isabella Caneva (บ.ก.). Acta Nubica. Proceedings of the X International Conference of Nubian Studies Rome 9–14 September 2002 . Libreria Dello Stato. pp. 487–491. ISBN 978-88-240-1314-7 .
เว็บลิงก์
แหล่งข้อมูลอื่น
รัฐสมาชิก
ประเทศสังเกตการณ์
15°N 032°E / 15°N 32°E / 15; 32
นานาชาติ ประจำชาติ ภูมิศาสตร์ ศิลปิน ประชาชน อื่น ๆ