สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (ฝรั่งเศส: République Démocratique du Congo) หรือบางครั้งมีผู้เรียกว่า คองโก (Congo) และ คองโก-กินชาซา (Congo-Kinshasa) หรือ คองโกใหญ่ และ คองโกตะวันออก เป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคแอฟริกากลางและเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่อันดับที่ 2 ของทวีป สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกมีอาณาเขตจรดสาธารณรัฐแอฟริกากลางและซูดานใต้ทางทิศเหนือ จรดยูกันดา รวันดา บุรุนดี และแทนซาเนียทางทิศตะวันออก จรดแซมเบียและแองโกลาทางทิศใต้ และจรดสาธารณรัฐคองโกทางทิศตะวันตก โดยมีทางออกสู่ทะเลตามแม่น้ำคองโกไปสู่อ่าวกินี ชื่อ คองโก (หมายถึง "นักล่า") มาจากกลุ่มชาติพันธุ์บาคองโก (Bakongo) ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณลุ่มน้ำคองโก ในอดีตสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเคยตกเป็นอาณานิคมของเบลเยียม โดยมีชื่อว่า เบลเจียนคองโก (Belgian Congo) ในปี พ.ศ. 2514 หลังจากได้รับเอกราช 11 ปี ก็ได้เปลี่ยนชื่อประเทศจากคองโก-กินชาซา (ใส่ชื่อเมืองหลวงไว้ข้างหลัง เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างประเทศนี้กับ สาธารณรัฐคองโก หรือ คองโก-บราซาวีล) เป็นสาธารณรัฐซาอีร์ จนถึงปี พ.ศ. 2540 จึงได้เปลี่ยนชื่อกลับมาเป็น "สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก" ตามเดิม ดินแดนของคองโก เป็นที่อยู่อาศัยครั้งแรกโดยนักล่าจากแอฟริกากลางเมื่อประมาณ 90,000 ปีก่อน และเข้าถึงได้โดยการขยายอาณาเขตของชนเผ่าบันตูเมื่อประมาณ 3,000 ปีที่แล้ว ทางตะวันตก อาณาจักรกองโกปกครองบริเวณปากแม่น้ำคองโกตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ถึง 19 และในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และตะวันออก มีอาณาจักรอาซานเด ลูบา และลุนดา ปกครองดินแดนนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 และ 17 จนถึงศตวรรษที่ 19 กษัตริย์เลออปอลที่ 2 แห่งเบลเยียม ทรงได้รับสิทธิในดินแดนคองโกอย่างเป็นทางการจากประเทศอาณานิคมของยุโรปในปี 1885 และประกาศให้เป็นดินแดนส่วนพระองค์ โดยตั้งชื่อเป็นเสรีรัฐคองโก ตั้งแต่ปี 1885 ถึง 1908 กองทัพอาณานิคมของเขาบังคับให้ประชากรในท้องถิ่นผลิตยางพาราและกระทำการโหดร้ายอย่างกว้างขวาง ในปี 1908 ทรงยกดินแดนเปลี่ยนสถานะกลายเป็นอาณานิคมของเบลเยียม คองโกได้รับเอกราชจากเบลเยียมเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1960 และต้องเผชิญกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนหลายครั้ง การลอบสังหารนายกรัฐมนตรี ปาทริส ลูมูมบา และการยึดอำนาจโดย โมบูตู เซเซ เซโก ในการรัฐประหารปี 1965 โมบูตูเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นซาอีร์ในปี 1971 และบังคับใช้เผด็จการส่วนตัวอันโหดร้าย จนกระทั่งเขาถูกโค่นล้มในปี 1997 โดยสงครามคองโกครั้งแรก จากนั้นประเทศก็เปลี่ยนชื่อกลับและต้องเผชิญกับสงครามคองโกครั้งที่สองระหว่างปี 1998 ถึง 2003 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 5.4 ล้านคน[4][5][6][7] สงครามยุติลงภายใต้ประธานาธิบดีโฌเเซ็ฟ กาบีลา ซึ่งปกครองประเทศตั้งแต่ปี 2001 ถึง 2019 ซึ่งสิทธิมนุษยชนในประเทศยังคงย่ำแย่ และรวมถึงการละเมิดบ่อยครั้ง เช่น การบังคับบุคคลให้สูญหาย การทรมาน การจำคุกตามอำเภอใจ และการจำกัดเสรีภาพของพลเมือง[8] หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปปี 2018 ในการเปลี่ยนแปลงอำนาจอย่างสันติครั้งแรกของประเทศนับตั้งแต่ได้รับเอกราช เฟลิกซ์ ซีเซเกดี สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากกาบีลา ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีตั้งแต่นั้นมา[9] ตั้งแต่ปี 2015 คองโกบริเวณตะวันออกเป็นที่เกิดความขัดแย้งทางทหารอย่างต่อเนื่องในเมืองกีวู สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์อย่างมาก แต่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความไม่มั่นคงทางการเมือง การขาดโครงสร้างพื้นฐาน การคอร์รัปชั่น และการขุดค้นและแสวงประโยชน์ทั้งในเชิงพาณิชย์และในอาณานิคมมานานหลายศตวรรษ ตามมาด้วยอิสรภาพที่ยาวนานกว่า 60 ปี โดยมีการพัฒนาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น . นอกจากเมืองหลวงกินชาซาแล้ว เมืองที่ใหญ่ที่สุดสองแห่งรองลงมาคือเมืองลูบูมบาชีและเมืองอึมบูจีไมอี ต่างก็เป็นชุมชนเหมืองแร่ การส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของคองโก คือแร่ธาตุดิบ โดยจีนยอมรับการส่งออกมากกว่า 50% ในปี 2019 ในปี 2021 ระดับการพัฒนามนุษย์ของคองโกอยู่ในอันดับที่ 179 จาก 191 ประเทศตามดัชนีการพัฒนามนุษย์[10] ใน ค.ศ. 2018 หลังจากสองทศวรรษของสงครามกลางเมือง และความขัดแย้งภายในที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ผู้ลี้ภัยชาวคองโกประมาณ 600,000 คนยังคงอาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน[11] เด็กสองล้านคนเสี่ยงต่อภาวะอดอยาก และการสู้รบดังกล่าวทำให้ผู้คนต้องพลัดถิ่น 4.5 ล้านคน[12] ประเทศนี้เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด สหภาพแอฟริกา ชุมชนการพัฒนาแอฟริกาตอนใต้ และชุมชนเศรษฐกิจรัฐแอฟริกากลาง นิรุกติศาสตร์สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ตั้งชื่อตามแม่น้ำคองโกซึ่งไหลผ่านประเทศ แม่น้ำคองโกเป็นแม่น้ำที่ลึกที่สุดในโลกและเป็นแม่น้ำที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกเมื่อปล่อยน้ำออก ซึ่ง Comité d'études du haut Congo ("คณะกรรมการเพื่อการศึกษาคองโกตอนบน") ซึ่งก่อตั้งโดยกษัตริย์เลออปอลที่ 2 แห่งเบลเยียมในปี 1876 และสมาคมระหว่างประเทศแห่งคองโก ซึ่งก่อตั้งโดยพระองค์ในปี 1879 ก็ได้รับการตั้งชื่อตามแม่น้ำ.[13] แม่น้ำคองโกได้รับการตั้งชื่อโดยกะลาสีเรือชาวยุโรปยุคแรกตามอาณาจักรกองโก และชาวบันตู ซึ่งเป็นชาวกองโก เมื่อพวกเขาพบแม่น้ำเหล่านี้ในศตวรรษที่ 16[14][15] คำว่า กองโก มาจากภาษากองโก (เรียกอีกอย่างว่า กีคองโก) ตามที่นักเขียนชาวอเมริกัน ซามูเอล เฮนรี่ เนลสัน กล่าวไว้ว่า "เป็นไปได้ว่าคำว่า 'คองโก' นั้นหมายความถึงการชุมนุมในที่สาธารณะ และมีรากฐานมาจากรากศัพท์ของคองก้าที่แปลว่า 'การรวบรวม'[16] ชื่อปัจจุบันของชาวกองโก คือชาวบาคองโกที่ได้รับการแนะนำในต้นศตวรรษที่ 20 ในอดีตสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเป็นที่รู้จักตามลำดับเวลา ได้แก่ เสรีรัฐคองโก เบลเจียนคองโก สาธารณรัฐคองโก-เลออปอลวีล สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และสาธารณรัฐซาอีร์ ก่อนที่จะกลับคืนสู่ชื่อเดิม ชื่อปัจจุบันก็คือสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก[1] ในสมัยได้รับเอกราช ประเทศนี้ได้รับการตั้งชื่อว่า สาธารณรัฐคองโก-เลออปอลวีล เพื่อแยกความแตกต่างจากสาธารณรัฐคองโก-บราซซาวีล ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยการประกาศใช้รัฐธรรมนูญลูลัวบูร์กเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 1964 ประเทศนี้จึงเปลี่ยนชื่อเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ซาอีร์ (ชื่อเดิมของแม่น้ำคองโก) เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 1971 โดยประธานาธิบดีโมบูตู เซเซ เซโก[17] คำว่า ซาอีร์ มาจากภาษาโปรตุเกสที่ดัดแปลงมาจากคำว่า Kikongo nzadi ("แม่น้ำ") ซึ่งเป็นคำตัดทอนจากคำว่า nzadi o nzere ("แม่น้ำซึ่งดูดกลืนแม่น้ำ")[18][19][20]: 171 แม่น้ำนี้เป็นที่รู้จักในชื่อซาอีร์ในช่วงศตวรรษที่ 16 และ 17; ดูเหมือนว่าคองโกจะค่อยๆ เข้ามาแทนที่ซาอีร์ในการใช้ภาษาอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 18 และคองโกเป็นชื่อภาษาอังกฤษที่นิยมใช้ในวรรณคดีสมัยศตวรรษที่ 19 แม้ว่าการอ้างถึงซาอีร์เป็นชื่อที่คนพื้นเมืองใช้ (เช่น มาจากการใช้ภาษาโปรตุเกส) ยังคงเป็นเรื่องธรรมดา[21] ในปี 1992 ที่ประชุมแห่งชาติอธิปไตยลงมติให้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น "สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก" แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง[22] จนกระทั่งประธานาธิบดีโลร็อง-เดซีเร กาบีลา ฟื้นชื่อประเทศในเวลาต่อมา เมื่อเขาโค่นล้มโมบูตูในปี 1997[23] และเพื่อแยกความแตกต่างจากสาธารณรัฐคองโกที่อยู่ใกล้เคียง บางครั้งจึงเรียกว่า คองโก (กินชาซา) คองโก-กินชาซา หรือ คองโกใหญ่[24] บางครั้งชื่อก็ย่อเป็นภาษาอังกฤษว่า DR Congo[25]DRC,[26] DROC[27] และ RDC (ในภาษาฝรั่งเศส)[26] ประวัติศาสตร์ก่อนการขยายตัวของชนเผ่าบันตู ดินแดนที่ประกอบด้วยสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเป็นถิ่นที่อยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์มีบูตีที่เก่าแก่ที่สุดในแอฟริกากลาง ภูมิทัศน์ของป่าเขตร้อนและภูมิอากาศแบบเส้นศูนย์สูตรที่เปียกชื้นทำให้ประชากรในภูมิภาคมีน้อยและขัดขวางการจัดตั้งสังคมที่ก้าวหน้า วัฒนธรรมนักล่าสัตว์ที่หลงเหลืออยู่ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในยุคปัจจุบัน ยุคก่อนอาณานิคมก่อนที่ดินแดนคองโกจะตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาติตะวันตก ดินแดนคองโกเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวปิ๊กมี่ (Pygmy) จากนั้นชนเผ่าบันตู (Bantu) ได้เริ่มเข้ามายึดครองพื้นที่และตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ และเริ่มมีการจัดระบบการปกครองโดยมีกษัตริย์เป็นประมุข มีการทำเกษตรกรรม และการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ทำจากเหล็ก ในศตวรรษที่ 16 ดินแดนคองโกแบ่งการปกครองออกเป็นหลายราชอาณาจักร โดยอาณาจักรที่มีความสำคัญ ได้แก่ ราชอาณาจักรลูบา (Luba Kingdom) และสหพันธรัฐคูบา (Kuba Federation) ซึ่งทั้งสองอาณาจักรได้เจริญรุ่งเรืองถึงที่สุดในศตวรรษที่ 18 เมื่อเข้าสู่ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ดินแดนคองโกเริ่มเสื่อมถอยลง เนื่องจากมีหลากหลายชนชาติ อาทิ อาหรับ สวาฮิลี นยัมเวซี เข้าไปทำการค้า และเข้าปล้นสะดมชนพื้นเมืองเพื่อบังคับให้เป็นทาส รวมทั้งฆ่าช้างเพื่อเอางา นอกจากนี้ ยังเริ่มแผ่ขยายอิทธิพลของตนจนแทรกซึมไปทั่วดินแดนคองโก ทำให้ดินแดนคองโกอ่อนแอลง[28] ยุคอาณานิคมในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 สมเด็จพระเจ้าเลออปอลที่ 2 แห่งเบลเยียมได้มอบหมายให้ เฮนรี มอร์ตัน สแตนลีย์ เดินทางสำรวจที่ลุ่มแม่น้ำคองโก ซึ่งเป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก และแหล่งทรัพยากร ตลอดจนแร่ธาตุที่สำคัญมากมาย โดยเฉพาะเพชร จากนั้นเบลเยียมจึงเข้ายึดครองดินแดนคองโก โดยกำหนดให้คองโกมีสถานะเป็นดินแดนส่วนพระองค์ และเป็นแหล่งทรัพยากรของเบลเยียม และใน การประชุมเบอร์ลิน ปี 1884-1885 ชาติตะวันตกให้การรับรองว่าดินแดนคองโกเป็นของกษัตริย์เบลเยียม โดยมีชื่อว่า เสรีรัฐคองโก หลังจากนั้น เบลเยียมได้สร้างเส้นทางคมนาคมเพื่ออำนวยความสะดวกในการขนถ่ายสินค้า และได้นำทรัพยากรจากคองโกไปใช้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังดัดแปลงรูปแบบเกษตรกรรมโดยให้ชาวคองโกเน้นการปลูกและแปรรูปยางพาราเพื่อส่งไปยังเบลเยียมที่อยู่ในช่วงพัฒนาประเทศ และเริ่มให้บริษัทเอกชนเบลเยี่ยมเข้ามาทำเหมืองแร่ อาทิ เพชร อัญมณี และแร่ธาตุที่สำคัญอื่นๆ[29][30] การประกาศเอกราชความต้องการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติและการกดขี่แรงงานชาวคองโกอย่างหนัก ทำให้ในปี 1908 ชาติตะวันตกอื่นๆ ไม่พอใจ และกดดันให้เบลเยี่ยมเปลี่ยนสถานะของคองโกจากดินแดนส่วนพระมหากษัตริย์เบลเยียมมาเป็นอาณานิคมของรัฐบาลเบลเยียมโดยใช้ชื่อเป็น เบลเจียนคองโก แทนการเปลี่ยนสถานะประเทศส่งผลให้สภาพความเป็นอยู่ของชาวคองโกดีขึ้น โดยประชาชนได้รับการศึกษาและได้ใช้ประโยชน์จากระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่เบลเยียมสร้างไว้ ต่อมานาย โฌแซ็ฟ คาซะ-วูบู และนาย ปาทริส ลูมูมบา ได้มีบทบาทแข็งขันในการเรียกร้องเอกราชให้คองโก นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังสนับสนุนชาวคองโกให้ลงประชามติเพื่อกำหนดสถานะของชาติตนได้ การพยายามเรียกร้องเอกราชเป็นเหตุให้เกิดการจลาจลในกรุงกินชาซา ในปี 1959 ซึ่งเบลเยียมไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทำให้เบลเยียมได้มอบเอกราชให้แก่คองโกในวันที่ 30 มิถุนายน 1960[31][32] หลังจากได้รับเอกราช คองโกได้จัดการเลือกตั้ง โดยนายลูมูมบาได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีและนายคาซะวูบูเป็นประมุขของรัฐ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ภายในประเทศคองโกยังอยู่ในความไม่สงบ เนื่องจากยังคงมีการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มกบฏต่างๆ และสถานการณ์ทวีความซับซ้อนมากขึ้นเมื่อกองกำลังทหารเบลเยี่ยมที่ถูกส่งเข้ามายังคองโกโดยให้เหตุผลว่า เพื่อปกป้องชาวเบลเยียมและภาคเอกชนที่ยังไม่สามารถกลับเบลเยียมได้ วิกฤตการณ์คองโกความไม่สงบได้แพร่ขยายไปยังหลายพื้นที่และเกิดการแย่งชิงอำนาจ ทำให้เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 1960 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council: UNSC) ได้รับรองข้อมติ UNSC ที่ 143 (1960) จัดตั้งภารกิจสหประชาชาติในคองโก (United Nations Operation in Congo: ONUC) เพื่อยืนยันการถอนกองกำลังเบลเยียมออกจากคองโก สนับสนุนรัฐบาลจัดระเบียบ ความเรียบร้อยภายในรัฐ และ รักษาบูรณภาพแห่งดินแดนคองโก อย่างไรก็ตาม โดยที่ภารกิจสหประชาชาติไม่สามารถละเมิดกิจการภายในประเทศได้ ความขัดแย้งระหว่างผู้นำประเทศได้ก่อตัวขึ้นส่งผลให้นายคาซะวูบู ปลดนายลูมูมบาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[33] ต่อมาเมื่อวันที่ 14 กันยายน โฌแซ็ฟ-เดซีเร โมบูตู (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น โมบูตู เซเซ เซโก) ผู้บัญชาการทหารคองโกได้ปลดนายคาซะวูบูออกจากตำแหน่ง ความขัดแย้งในคองโกยังดำเนินต่อไปและมีการแบ่งดินแดนออกเป็นส่วนย่อย จนกระทั่งปี 1965 นายโมบูตูได้เข้าควบคุมพื้นที่ได้สำเร็จและขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี สังกัดพรรคขบวนการประชาชนปฏิวัติ (MPR) โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 7 ปี[34] ภายใต้การปกครองโดยโมบูตูหลังจากเข้ารับตำแหน่ง นายโมบูตูได้บริหารประเทศแบบรวมศูนย์ โดยได้ยกเลิกตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้ประธานาธิบดีมีอำนาจจัดตั้งรัฐบาล วางนโยบายส่งเสริมความเป็นแอฟริกัน (African Authenticity) วางแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศด้วยการส่งเสริมให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน รักษาความสัมพันธ์อันดีกับประเทศตะวันตก และสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน และได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็นซาอีร์ ในปี 1971 [35]อย่างไรก็ตาม การบริหารงานของโมบูตูเต็มไปด้วยความผิดพลาด ทำให้เกิดปัญหาการคอร์รัปชั่น การบริโภคทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง การนำคนเผ่าเดียวกันกับตน (เผ่า Ngbanda) มาบริหารประเทศจนก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าภายในประเทศ จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลนายโมบูตู นำโดยกลุ่มต่อต้านที่ใหญ่ที่สุด คือ กลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติคองโก (FNLC) พยายามทำรัฐประหารเพื่อแยกดินแดนกาตันกา (อยู่ทางตอนใต้ของประเทศ) แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากรัฐบาลนายโมบูตูได้รับความช่วยเหลือจากกองกำลังทหารของฝรั่งเศส เบลเยียม และโมร็อกโก[36] นายโมบูตูพยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในประเทศโดยการวางนโยบายปฏิรูปทางการเมือง ทำให้ชาติตะวันตกเกิดความพอใจและเริ่มบริจาคเงินช่วยเหลือซาอีร์มากขึ้น แต่ประเทศกลับไม่พัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น เนื่องจากนายโมบูตูได้ยกเลิกโครงการพัฒนาประเทศต่างๆ ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเลวร้ายลงเรื่อย และในปี 1990 นายโมบูตูอนุญาตให้จัดตั้งพรรคการเมืองอื่นในซาอีร์ได้ แต่นายโมบูตูมีอำนาจเหนือพรรคการเมืองทั้งหมด ทำให้กลุ่มผู้ต่อต้านนายโมบูตูมีจำนวนมากขึ้น และต้องการขับไล่นายโมบูตูให้พ้นจากตำแหน่ง จากสถานการณ์ความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในซาอีร์ นายโมบูตูตัดสินใจจัดตั้งพรรคร่วมรัฐบาลในปี 1991 แต่ยังคงกุมอำนาจการบริหาร ความมั่นคง ตลอดจนกระทรวงต่างๆ ที่สำคัญไว้ การบริหารงานที่ผิดพลาดของนายโมบูตูส่งผลให้ระบบการบริหารราชการแผ่นดิน และระบบเศรษฐกิจของซาอีร์ล้มเหลว นอกจากนี้ความรุนแรงในซาอีร์ทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากปัญหาผู้อพยพชาวฮูตู ซึ่งหนีการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุรวันดาในปี 1994 ไหลทะลักเข้ามาในซาอีร์ ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าฮูตูและทุตซีในซาอีร์ และเริ่มบานปลายออกไปเป็นสงครามกลางเมืองเมื่อกองกำลังของซาอีร์ (Zairiam: FAZ) สนับสนุนชาวฮูตูให้ต่อต้านชาวคองโกที่มีเชื้อสายทุตซีที่อาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกของซาอีร์ ในทางกลับกันกองกำลังร่วมระหว่างรวันดาและยูกันดาได้บุกรุกเข้าไปในซาอีร์ เพื่อเข้าไปช่วยเหลือชนเผ่าทุตซีต่อสู้กับฮูตูและพยายามล้มล้างอำนาจของนายโมบูตูและคาดหวังที่จะเข้าควบคุมทรัพยากรธรรมชาติในซาอีร์ สงครามคองโกทั้งสองครั้งและปัจจุบันจนกระทั่งในปี 1997 นายโลร็อง เดซีเร กาบีลา ผู้นำกลุ่มต่อต้านรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังทหารรวันดา ยูกันดา แซมเบีย และแองโกลา ได้เข้าควบคุมพื้นที่ทางตะวันออกของซาอีร์ และสามารถเข้ายึดกรุงกินซาชาได้ในวันที่ 17 พฤษภาคม 1998 และนายโมบูตู ถูกปลดออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี และในวันที่ 29 พฤษภาคม นายกาบีลาได้สาบานตนเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ถึงแม้ว่านายกาบีลาเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว แต่กองกำลังทหารของรวันดาและยูกันดายังต้องการอยู่ภายในคองโกเพื่อเข้าควบคุมทรัพยากรจำนวนมากในประเทศ ดังนั้นกองกำลังทหารรวันดาจึงได้ถอนกำลังออกจากเมืองหลวง ไปตั้งมั่นที่เมืองโกมา และจัดตั้งกลุ่มกบฏขึ้นใช้ชื่อว่า ชุมนุมคองโกเพื่อประชาธิปไตย (RCD) นำโดยชนเผ่าทุตซี เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลนายกาบีลา ในขณะเดียวกันยูกันดาได้จัดตั้งกลุ่มการเคลื่อนไหวเพื่อการปลดปล่อยคองโก (MLC) ขึ้น ซึ่งนำโดยผู้นำทางทหารของคองโกชื่อ ฌอง ปิแอร์ เบมบ้า เพื่อต่อต้านอิทธิพลของรวันดาในคองโก การต่อสู้ของกลุ่มกบฏทั้งสองนำมาสู่การเกิดสงครามคองโกครั้งที่สอง ในคองโก นอกจากนี้กลุ่มประเทศประชาคมพัฒนาแอฟริกาตอนใต้ (SADC) ประกอบด้วย แองโกลา ซิมบับเว และนามิเบีย ได้ส่งกำลังทหารเข้าช่วยเหลือรัฐบาล ในฐานะเป็นพันธมิตรกลุ่มชุมชนพัฒนาแอฟริกาตอนใต้ นอกจากนี้ ซูดาน, ลิเบีย และชาดได้ส่งกองกำลังเข้าช่วยเหลือรัฐบาลนายกาบีลาด้วย[37] สหประชาชาติเริ่มเข้ามามีบทบาทแก้ไขความขัดแย้งในคองโกอีกครั้ง โดยเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 1999 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้รับรองข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงที่จัดตั้งภารกิจสหประชาชาติในคองโก (United Nations Organization Mission in DR Congo: MONUC) เพื่อเข้ามายุติสงคราม และในปีเดียวกันทุกฝ่ายได้ร่วมลงนามข้อตกลงหยุดยิงลูซากา (Lusaka Ceasefire Agreement) โดยรัฐบาลนายกาบีลาสามารถยึดพื้นที่ทางตะวันออกและทางใต้ของคองโกได้สำเร็จ ส่วนกลุ่มกบฏยึดพื้นที่ทางเหนือและตะวันตก อย่างไรก็ตามในปีถัดมา การดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงได้หยุดชะงักไป เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างชนเผ่ากลับมาปะทุอีกครั้งทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ทำให้ทั้งยูกันดาและรวันดาต่างส่งกองกำลังเข้ามาในคองโก และใน 2000 ความพยายามในการเจรจาสันติภาพระหว่างทั้งสามฝ่ายเกิดขึ้นอีกครั้ง โดยยูกันดาและคองโกได้ลงนามความตกลงรักษาสันติภาพลูอันดา (Luanda Agreement) ทำให้ยูกันดาถอนกำลังทหารออกจากคองโก และหลังจากนั้นกองกำลังรวันดาได้เริ่มถอนกำลังทหารเช่นกัน ในปี 2001 นายกาบีลาถูกลอบสังหาร ทำให้นายโฌแซ็ฟ กาบีลา บุตรชายขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแทน รัฐบาลนายโฌแซ็ฟ กาบีลา สนับสนุนให้จัดการเจรจาสันติภาพ เพื่อยุติสงคราม ในปี 2003 ทุกฝ่ายได้ลงนามในความตกลงสันติภาพพริทอเรีย (Pretoria Accord) ส่งผลให้ความขัดแย้งยุติลงชั่วระยะหนึ่ง ทำให้นายโฌแซ็ฟ กาบีลา สามารถจัดตั้งรัฐบาลผสม และรัฐสภาชั่วคราวได้สำเร็จ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในคองโกนี้ ได้รับการขนานนามว่าเป็น สงครามโลกแอฟริกา หรือ สงครามแอฟริกาครั้งใหญ่ เนื่องจากมีประเทศเข้าร่วมสงคราม 8 ประเทศ กลุ่มก่อความไม่สงบ 25 กลุ่ม และมีผู้เสียชีวิตจากสงคราม ความอดอยาก และโรคระบาดในขณะนั้นมากกว่า 5 ล้านคน หลังจากนั้น ในเดือนมิถุนายน 2003 ความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าได้กลับมาปะทุอีกครั้งบริเวณฝั่งตะวันออกของ DRC กองกำลังสหประชาชาติได้ส่งเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพเข้าไปควบคุมสถานการณ์ และในเดือนถัดมากลุ่มกบฏได้ร่วมกับรัฐบาลจัดตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่ และมีการจัดการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการขึ้นในปลายปี 2006 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการครั้งแรกในรอบ 40 ปี ตั้งแต่ได้รับเอกราช ซึ่งนายโฌแซ็ฟ กาบีลา ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี ในปลายปี 2006 ความไม่สงบได้ปะทุขึ้นอีกครั้งทางตอนเหนือของเมืองกีวู ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออก และติดกับพรมแดนรวันดา โดยนายโลร็อง นัมดา ชาวคองโกเชื้อสายฮูตู อดีตนายทหารในรัฐบาลได้รวบรวมกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบชาวคองโกเชื้อสายทุตซี และกลุ่มกองกำลังปลดปล่อยประชาธิปไตยแห่งรวันดา (FDLR) ซึ่งเป็นชนเผ่าฮูตูที่ได้รับการสนับสนุนจากรวันดา ได้บุกยึดบริเวณดังกล่าวจากรัฐบาล ส่งผลให้มีผู้หนีภัยจากการสู้รบมากกว่าหนึ่งหมื่นคน นอกจากนี้ สหรัฐฯ ตกลงให้ความช่วยเหลือทางกำลังทหารแก่รัฐบาลคองโก เพื่อต่อสู้กับนายนัมดา และกลุ่มกองกำลังปลดปล่อยประชาธิปไตยแห่งรวันดา (FDLR) ได้เข้าร่วมการสู้รบครั้งนี้ด้วย ต่อมาในปี 2007) รวันดาและคองโกได้ร่วมเจรจากันที่กรุงไนโรบี และในเดือนมกราคม 2008 คู่กรณีทุกฝ่ายได้เข้าร่วมการประชุมสันติภาพเพื่อเจรจาร่วมกัน โดยที่ประชุมตกลงให้มีการหยุดยิง แต่ในเดือนสิงหาคมและกันยายนปีเดียวกันความขัดแย้งกลับปะทุขึ้นอีกครั้งทางตอนเหนือของเมืองคิวู การสู้รบกับครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้หนีภัยจากการสู้รบมากกว่าหนึ่งล้านคน และยังคงมีเหตุการณ์รุนแรงในบริเวณภาคตะวันออกของประเทศจนถึงปัจจุบัน สืบเนื่องจากความขัดแย้งข้างต้น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้มีมติคว่ำบาตรคองโกอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2004 จนถึงปัจจุบัน โดยมีมาตรการห้ามขายอาวุธ ห้ามเดินทางผ่านหรือเข้าไปในดินแดน และการอายัดทรัพย์สินของบุคคลและองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้ง และการตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าประเภทแร่ธาตุที่นำเข้าจากคองโกและในปี 2010 คณะมนตรีความมั่นคงฯ ได้จัดตั้งภารกิจสร้างเสถียรภาพของสหประชาชาติในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (MONUSCO) เพื่อดำเนินงานต่อจาก MONUC รัฐบาลคองโกยังต้องหามาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบทางด้านตะวันออกของประเทศซึ่งเป็นพื้นที่ที่กลุ่มก่อความไม่สงบหลายครั้ง ปัจจุบัน (ตั้งแต่ปี 2018)วันที่ 30 ธันวาคม 2018 มีการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2019 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศให้ เฟลิกซ์ ซีเซเกดี ผู้สมัครฝ่ายค้านเป็นผู้ชนะการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี[38] และสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 มกราคม[39] อย่างไรก็ตาม มีข้อกังขาอย่างกว้างขวางว่าผลลัพธ์ถูกหลอกลวงและมีการตกลงระหว่างซีเซเกดี และ กาบีลา คริสตจักรคาทอลิกกล่าวว่าผลอย่างเป็นทางการไม่สอดคล้องกับข้อมูลที่ผู้ตรวจสอบการเลือกตั้งรวบรวมไว้[40] นอกจากนี้ รัฐบาลยัง "เลื่อน" การลงคะแนนเสียงไปจนถึงเดือนมีนาคมในบางพื้นที่ โดยอ้างถึงการระบาดของอีโบลาในกีวู รวมถึงความขัดแย้งทางทหารที่กำลังดำเนินอยู่ สิ่งนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์เนื่องจากภูมิภาคเหล่านี้เป็นที่รู้จักในฐานะฐานที่มั่นของฝ่ายค้าน[41][42][43] ในเดือนสิงหาคม 2019 หกเดือนหลังจากการเข้ารับตำแหน่งของนายซีเซเกดี มีการประกาศจัดตั้งรัฐบาลผสม[44] พันธมิตรทางการเมืองของกาบีลายังคงควบคุมกระทรวงสำคัญๆ สภานิติบัญญัติ ตุลาการ และบริการด้านความมั่นคง อย่างไรก็ตามซีเซเกดีประสบความสำเร็จในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับอำนาจของเขา ในการเคลื่อนไหวหลายครั้ง เขาได้รับชัยชนะเหนือสมาชิกสภานิติบัญญัติมากขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสมัชชาแห่งชาติเกือบ 400 คนจากทั้งหมด 500 คน ผู้พูดที่สนับสนุนกาบีลาของรัฐสภาทั้งสองแห่งถูกบังคับให้ออกไป ในเดือนเมษายน 2021 รัฐบาลใหม่ได้จัดตั้งขึ้นโดยไม่มีผู้สนับสนุนของกาบีลา[45] โรคหัดระบาดครั้งใหญ่ในประเทศทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 5,000 คนในปี 2019[46] การระบาดของโรคอีโบลาสิ้นสุดลงในเดือนมิถุนายน 2020 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 2,280 รายในช่วง 2 ปี[47] อีกการระบาดของอีโบลาที่เล็กกว่าในจังหวัดเอควาเทอร์เริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน 2020 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 55 รายในท้ายที่สุด[48][49] การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกได้มาถึงคองโกในเดือนมีนาคม 2020 โดยเริ่มรณรงค์ฉีดวัคซีนในวันที่ 19 เมษายน 2021[50][51] ลูกา อัตตานาซิโอ เอกอัครราชทูตอิตาลีประจำคองโกและผู้คุ้มกันของเขาถูกสังหารในนอร์กิวู เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2021[52] เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2021 การประชุมระหว่างประธานาธิบดี ฮิรุ เคนยัตตา ของเคนยาและซีเซเกดีส่งผลให้เกิดข้อตกลงใหม่ที่เพิ่มการค้าระหว่างประเทศและความปลอดภัย (การต่อต้านการก่อการร้าย การย้ายถิ่นฐาน ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และศุลกากร) ระหว่างทั้งสองประเทศ[53] ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการรัฐประหารในประเทศทำให้เกิดความไม่แน่นอน[54] แต่ความพยายามก่อรัฐประหารล้มเหลว[55] ภูมิศาสตร์ที่ตั้ง ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของทวีปแอฟริกา มีอาณาเขต
พื้นที่พื้นที่ 2,345,410 ตารางกิโลเมตร (ประกอบด้วยพื้นที่บนพื้นดิน 267,600 ตารางกิโลเมตร พื้นที่บนผืนน้ำ 77,810 ตารางกิโลเมตร) ซึ่งกว้างใหญ่เป็นอันดับที่สามของทวีปแอฟริการองลงมาจากซูดานและแอลจีเรีย ร้อยละ 50 ของพื้นที่เป็นป่าไม้เขตร้อน ภูมิประเทศตั้งอยู่ในเขตซับซาฮาราตอนกลางของแอฟริกา ทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับสาธารณรัฐคองโก ทางทิศเหนือติดกับสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับซูดานใต้ ทิศตะวันออกติดกับยูกันดา รวันดา และบุรุนดี แทนซาเนีย (ข้ามทะเลสาบแทนกันยีกา) ไปทางทิศใต้และตะวันออกเฉียงใต้ติดกับแซมเบีย ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดกับแองโกลา และทางทิศตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติกใต้และเขตปกครองพิเศษของแองโกลา ประเทศนี้อยู่ระหว่างละติจูด 6°N ถึง 14°S และลองจิจูด 12°E และ 32°E มันคร่อมเส้นศูนย์สูตร โดยหนึ่งในสามอยู่ทางเหนือและสองในสามอยู่ทางใต้ ด้วยพื้นที่ 2,345,408 ตารางกิโลเมตร (905,567 ตารางไมล์) จึงเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสองในแอฟริกาตามพื้นที่ รองจากแอลจีเรีย ด้วยตำแหน่งที่ตั้งที่เส้นศูนย์สูตร สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกจึงมีฝนตกชุกและมีความถี่ของพายุฝนฟ้าคะนองสูงที่สุดในโลก ปริมาณน้ำฝนต่อปีอาจสูงถึง 2,000 กรรม (79 นิ้ว) ในบางพื้นที่ และพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นป่าดงดิบคองโก ซึ่งเป็นป่าดิบชื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากป่าฝนอเมซอน พื้นที่กว้างใหญ่ของป่าเขียวขจีนี้ครอบคลุมส่วนใหญ่ของแอ่งน้ำกลางแม่น้ำที่กว้างใหญ่ ซึ่งลาดเอียงไปทางมหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศตะวันตก พื้นที่นี้ล้อมรอบด้วยที่ราบสูงที่รวมกันเป็นทุ่งหญ้าสะวันนาทางทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยมีลานภูเขาทางทิศตะวันตก และทุ่งหญ้าหนาทึบทอดยาวเลยแม่น้ำคองโกไปทางทิศเหนือ เทือกเขารเวนโซรี ที่มีธารน้ำแข็งพบได้ในภาคตะวันออกสุดขั้ว ภูมิอากาศตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร มีอากาศร้อนและฝนตกชุก ที่ราบสูงตอนใต้มีอากาศเย็นและแห้งแล้ง ส่วนที่ราบสูงทางภาคตะวันออกอากาศจะเย็นและเปียกชื้น สำหรับบริเวณด้านเหนือของเส้นศูนย์สูตร ฤดูฝนจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน - ตุลาคม และฤดูแล้งเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ ส่วนบริเวณตอนใต้ของเส้นศูนย์สูตร ฤดูฝนจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน - มีนาคมและฤดูแล้งระหว่างเดือนเมษายน - ตุลาคม ด้านตะวันตกซึ่งเป็นบริเวณที่ราบทั่วไป มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 26 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิแถบที่ราบสูงและภูเขาเฉลี่ยประมาณ 18 องศาเซลเซียส ภูมิอากาศของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเหมาะสมกับการเกษตรกรรมและป่าไม้ การเมืองหลังจากสี่ปีสลับสับเปลี่ยนระหว่างรัฐธรรมนูญสองฉบับ โดยมีการจัดตั้งสถาบันทางการเมืองขึ้นใหม่ในระดับต่างๆ ของรัฐบาล ตลอดจนการแบ่งเขตการปกครองใหม่สำหรับจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ในปี 2549 และการเมืองในสาธารณรัฐประชาธิปไตย ในที่สุดคองโกก็ตั้งรกรากเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประธานาธิบดีที่มั่นคง รัฐธรรมนูญเฉพาะกาล 2546[56] ได้จัดตั้งรัฐสภาโดยมีสภานิติบัญญัติสองสภา ประกอบด้วย วุฒิสภาและสมัชชาแห่งชาติ วุฒิสภามีหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศ สาขาบริหารตกเป็นของคณะรัฐมนตรี 60 คน นำโดยประธานาธิบดี 1 คนและรองประธานาธิบดี 4 คน ประธานาธิบดียังเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพ รัฐธรรมนูญเฉพาะกาลยังได้จัดตั้งองค์กรตุลาการที่ค่อนข้างเป็นอิสระ โดยมีศาลฎีกาที่มีอำนาจตีความตามรัฐธรรมนูญเป็นหัวหน้า[57] รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2549 หรือที่เรียกว่ารัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐที่สาม มีผลบังคับใช้ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่ควบคู่กันไปกับรัฐธรรมนูญเฉพาะกาลจนถึงการเข้ารับตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2549 ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สภานิติบัญญัติยังคงเป็นสองสภา ฝ่ายบริหารดำเนินการร่วมกันโดยประธานาธิบดีและรัฐบาล นำโดยนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากพรรคที่สามารถรักษาเสียงข้างมากในสภาแห่งชาติได้ รัฐบาลไม่ใช่ประธานาธิบดีมีหน้าที่รับผิดชอบต่อรัฐสภา รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังให้อำนาจใหม่แก่รัฐบาลส่วนภูมิภาค โดยสร้างรัฐสภาประจำจังหวัดซึ่งมีผู้ว่าการและหัวหน้ารัฐบาลส่วนภูมิภาคเป็นผู้ควบคุมดูแล รัฐธรรมนูญใหม่ยังเห็นการหายไปของศาลฎีกาซึ่งแบ่งออกเป็นสามสถาบันใหม่ อำนาจตีความตามรัฐธรรมนูญของศาลฎีกาอยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ[58] แม้ว่าจะตั้งอยู่ในอนุภูมิภาคแอฟริกากลางของสหประชาชาติ แต่ประเทศนี้ก็มีความเกี่ยวข้องทางเศรษฐกิจและระดับภูมิภาคกับแอฟริกาตอนใต้ในฐานะสมาชิกของ Southern African Development Community (SADC)[59] การแบ่งเขตการปกครองสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 25 จังหวัด (provinces) และ 1 นคร (city) ได้แก่
ต่างประเทศการเติบโตทั่วโลกในด้านความต้องการวัตถุดิบที่หายากและการเพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมในจีน อินเดีย รัสเซีย บราซิล และประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ทำให้ประเทศที่พัฒนาแล้วใช้กลยุทธ์ใหม่ที่บูรณาการและตอบสนองในการระบุและรับประกันอย่างต่อเนื่อง การจัดหาที่เพียงพอของ วัสดุเชิงกลยุทธ์และสำคัญที่จำเป็นสำหรับความต้องการด้านความปลอดภัย[60] การเน้นย้ำถึงความสำคัญของคองโกต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ความพยายามในการจัดตั้งหน่วยรบชั้นนำของคองโกเป็นแรงผลักดันล่าสุดจากสหรัฐฯ ในการสร้างกองกำลังติดอาวุธให้เป็นมืออาชีพในภูมิภาคที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์นี้[61] โดยมีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ในการเพิ่มความปลอดภัยให้กับคองโก ซึ่งอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น โคบอลต์ ซึ่งเป็นโลหะเชิงกลยุทธ์และมีความสำคัญอย่างยิ่งที่ใช้ในอุตสาหกรรมและการทหารจำนวนมาก[60] การใช้โคบอลต์มากที่สุดอยู่ในซูเปอร์อัลลอย ซึ่งใช้ทำชิ้นส่วนเครื่องยนต์ไอพ่น โคบอลต์ยังใช้ในโลหะผสมแม่เหล็กและในการตัดและวัสดุที่ทนทานต่อการสึกหรอ เช่น ซีเมนต์คาร์ไบด์ อุตสาหกรรมเคมีใช้โคบอลต์ในปริมาณมากในการใช้งานที่หลากหลาย รวมถึงตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับปิโตรเลียมและกระบวนการทางเคมี สารทำให้แห้งสำหรับสีและหมึกพิมพ์ เคลือบพื้นสำหรับเคลือบพอร์ซเลน สารลดสีสำหรับเซรามิกและแก้ว และเม็ดสีสำหรับเซรามิก สี และพลาสติก ประเทศนี้มีโคบอลต์สำรองถึง 80% ของโลก[62] เป็นที่เชื่อกันว่าเนื่องจากความสำคัญของโคบอลต์สำหรับแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและการทำให้โครงข่ายไฟฟ้ามีความเสถียรโดยมีสัดส่วนของพลังงานทดแทนที่ไม่ต่อเนื่องจำนวนมากในส่วนผสมไฟฟ้า คองโกอาจกลายเป็นเป้าหมายของการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น[60] ในศตวรรษที่ 21 การลงทุนของจีนในคองโกและการส่งออกของคองโกไปยังจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว ในเดือนกรกฎาคม 2019 ทูตสหประชาชาติจาก 37 ประเทศ รวมถึงคองโกได้ลงนามในจดหมายร่วมถึง UNHRC ปกป้องการปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่นๆ ของจีน[63] ในปี 2021 ประธานาธิบดี เฟลิกซ์ ชีเซิกดี เรียกร้องให้มีการทบทวนสัญญาการขุดที่ลงนามกับจีนโดยโจเซฟ กาบีลา [64] โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อตกลง 'แร่ธาตุสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน' มูลค่าหลายพันล้านของซิโคมีน[65][66] กองทัพกองทัพสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (FARDC) ประกอบด้วยบุคลากรประมาณ 144,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังทางบก รวมถึงกองทัพอากาศขนาดเล็กและกองทัพเรือขนาดเล็ก FARDC ก่อตั้งขึ้นในปี 2546 หลังจากสิ้นสุดสงครามคองโกครั้งที่สองและรวมกลุ่มกบฏในอดีตหลายกลุ่มเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เนื่องจากการมีอยู่ของอดีตกลุ่มกบฏที่ขาดระเบียบวินัยและได้รับการฝึกฝนมาไม่ดี ตลอดจนการขาดเงินทุนและใช้เวลาหลายปีในการต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธต่างๆ FARDC จึงต้องทนทุกข์ทรมานจากการทุจริตและความไร้ประสิทธิภาพอย่างอาละวาด ข้อตกลงที่ลงนามเมื่อสิ้นสุดสงครามคองโกครั้งที่สองเรียกร้องให้มีกองทัพ "ระดับชาติ ปรับโครงสร้างใหม่และบูรณาการ" ซึ่งจะประกอบด้วยกองกำลังของรัฐบาลกาบีลา (FAC) RCD และ MLC มีข้อกำหนดด้วยว่ากลุ่มกบฏเช่น RCD-N, RCD-ML และ ไม-ไม จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังติดอาวุธใหม่ นอกจากนี้ยังจัดให้มีการจัดตั้ง Conseil Supérieur de la Défense (สภากลาโหมระดับสูง) ซึ่งจะประกาศสถานะการปิดล้อมหรือสงครามและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิรูปภาคความมั่นคง การลดอาวุธ/ถอนกำลัง และนโยบายการป้องกันประเทศ FARDC จัดขึ้นบนพื้นฐานของกลุ่มซึ่งกระจายไปทั่วจังหวัดของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก กองทหารคองโกต่อสู้กับความขัดแย้งกีวู ในภูมิภาค จังหวัดนอร์-กีวู ทางตะวันออก ความขัดแย้งอีตูรีในภูมิภาคอีตูรีและการกบฏอื่น ๆ นับตั้งแต่สงครามคองโกครั้งที่สอง นอกจาก FARDC แล้ว ภารกิจรักษาสันติภาพที่ใหญ่ที่สุดของสหประชาชาติ หรือที่เรียกว่า MONUSCO ยังมีเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพอยู่ในประเทศนี้ด้วยประมาณ 18,000 คน สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกลงนามในสนธิสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการห้ามอาวุธนิวเคลียร์[67] การคอร์รัปชั่นรัฐบาลโมบูตูเก็บรายได้อย่างผิดกฎหมายอย่างไรในระหว่างการปกครองของเขา[68] โมบูตูจัดตั้งสถาบันการคอรัปชั่นเพื่อป้องกันไม่ให้คู่แข่งทางการเมืองท้าทายการควบคุมของเขา ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายทางเศรษฐกิจในปี 2539[69] โมบูตูถูกกล่าวหาว่าขโมยเงินไปมากถึง 4-5 พันล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่ดำรงตำแหน่ง[70] เขาไม่ใช่ผู้นำชาวคองโกคนแรกที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงไม่ว่าด้วยวิธีใด "รัฐบาลในฐานะระบบการโจรกรรมที่เป็นระบบกลับไปสู่กษัตริย์เลออปอลที่ 2" อดัม ฮอชไชลด์กล่าวในปี 2552[71] ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2552 ศาลสวิสตัดสินว่าอายุความในคดีการเรียกคืนทรัพย์สินระหว่างประเทศมีเงินฝากประมาณ 6.7 ล้านดอลลาร์ของโมบูตูในธนาคารสวิสหมดลงแล้ว ดังนั้นทรัพย์สินควรถูกส่งคืนให้กับครอบครัวของโมบูตู[72] ประธานาธิบดีกาบีลาได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจเมื่อเขาขึ้นสู่อำนาจในปี 2544[73] อย่างไรก็ตาม ในปี 2559 โครงการพอได้ออกรายงานโดยอ้างว่าคองโกดำเนินการในฐานะระบอบประชาธิปไตยแบบเผด็จการที่มีความรุนแรง.[74] ในเดือนมิถุนายน 2020 ศาลในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกตัดสินว่า Vital Kamerhe หัวหน้าเจ้าหน้าที่ของประธานาธิบดีซีเซเกดี มีความผิดฐานทุจริต เขาถูกตัดสินให้ใช้แรงงานหนักเป็นเวลา 20 ปี หลังจากเผชิญกับข้อหายักยอกเงินสาธารณะเกือบ 50 ล้านดอลลาร์ (39 ล้านปอนด์) เขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีทุจริตคอรัปชั่นในคอรัปชั่น[75] ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 การสืบสวนของศาลที่มุ่งเป้าไปที่กาบีลาและพรรคพวกของเขาได้เปิดขึ้นในกินชาซา หลังจากการเปิดเผยข้อกล่าวหายักยอกเงิน 138 ล้านดอลลาร์[76] สิทธิมนุษยชนการไต่สวนของศาลอาญาระหว่างประเทศในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเริ่มต้นโดยกาบีลา ในเดือนเมษายน 2547 อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศเปิดคดีในเดือนมิถุนายน 2547 ทหารเด็กถูกใช้อย่างกว้างขวางในคองโก และในปี 2554 มีการประเมินว่า เด็ก 30,000 คนยังคงปฏิบัติการร่วมกับกลุ่มติดอาวุธ[77] ตัวอย่างการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับได้รับการสังเกตและรายงานในผลการวิจัยของกระทรวงแรงงานสหรัฐเกี่ยวกับรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็กในคองโก ในปี 2556[78] และสินค้าหกรายการที่ผลิตโดยอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของประเทศปรากฏในรายชื่อสินค้าที่ผลิตโดยแรงงานเด็กหรือแรงงานบังคับในเดือนธันวาคม 2557 สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกห้ามการแต่งงานของเพศเดียวกันตั้งแต่ปี 2549[79] และทัศนคติต่อชุมชน LGBT มักจะเป็นไปในทางลบทั่วประเทศ[80] เศรษฐกิจธนาคารกลางคองโกมีหน้าที่รับผิดชอบในการพัฒนาและบำรุงรักษาฟรังก์คองโก ซึ่งทำหน้าที่เป็นสกุลเงินหลักในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ในปี 2550 ธนาคารโลกตัดสินใจมอบเงินช่วยเหลือแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกมูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 3 ปีถัดมา[81] รัฐบาลคองโกเริ่มเจรจาการเป็นสมาชิกในองค์กรเพื่อการประสานกฎหมายธุรกิจในแอฟริกา (OHADA) ในปี 2552[82] คองโกได้รับการพิจารณาอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในด้านทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งแร่ดิบที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์คาดว่าจะมีมูลค่าเกินกว่า 24 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ.[83][84][85] คองโกมีแร่โคลแทน 70% ของโลก โคบอลต์หนึ่งในสาม เพชรสำรองมากกว่า 30% และทองแดง 1 ใน 10[86][87] แม้จะมีความมั่งคั่งทางแร่มากมายเช่นนี้ แต่เศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกก็ตกต่ำลงอย่างมากตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1980 คองโกสร้างรายได้มากถึง 70% ของรายได้จากการส่งออกแร่ในช่วงปี 1970 และ 1980 และได้รับผลกระทบเป็นพิเศษเมื่อราคาทรัพยากรตกต่ำลงในเวลานั้น ภายในปี 2548 รายได้ 90% ของคองโกมาจากแร่ธาตุ.[88]ชาวคองโกเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ยากจนที่สุดในโลก คองโกมี GDP ต่อหัวต่ำที่สุดหรือเกือบต่ำที่สุดเสมอมาในโลก คองโกยังเป็นหนึ่งในยี่สิบประเทศที่มีอันดับต่ำที่สุดในดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น เหมืองแร่คองโกเป็นผู้ผลิตแร่โคบอลต์รายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้ผลิตทองแดงและเพชรรายใหญ่[89] ส่วนหลังมาจากจังหวัดคาไซทางตะวันตก จนถึงตอนนี้ เหมืองที่ใหญ่ที่สุดในคองโกตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดกาตังกา และมีการใช้เครื่องจักรสูง โดยมีกำลังการผลิตทองแดงและแร่โคบอลต์หลายล้านตันต่อปี และความสามารถในการกลั่นแร่โลหะ คองโกเป็นประเทศผู้ผลิตเพชรที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก[a] และคนงานเหมืองฝีมือดีและคนงานเหมืองรายย่อยเป็นส่วนใหญ่ในการผลิต เมื่อได้รับเอกราชในปี 1960 คองโกเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมมากที่สุดเป็นอันดับสองในแอฟริการองจากแอฟริกาใต้ มันมีภาคเหมืองแร่ที่เจริญรุ่งเรืองและภาคเกษตรกรรมที่ค่อนข้างมีประสิทธิผล[90] ธุรกิจต่างประเทศได้ลดการดำเนินงานลงเนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลลัพธ์ของความขัดแย้งในระยะยาว การขาดโครงสร้างพื้นฐาน และสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่ยากลำบาก สงครามทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงขึ้นจากปัญหาพื้นฐาน เช่น กรอบกฎหมายที่ไม่แน่นอน การทุจริต อัตราเงินเฟ้อ และการขาดความเปิดกว้างในนโยบายเศรษฐกิจและการดำเนินงานทางการเงินของรัฐบาล สภาพต่างๆ ดีขึ้นในปลายปี 2002 เมื่อกองทหารต่างชาติที่บุกรุกส่วนใหญ่ถอนตัวออกไป ภารกิจของกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลกจำนวนหนึ่งได้พบกับรัฐบาลเพื่อช่วยพัฒนาแผนเศรษฐกิจที่สอดคล้องกัน และประธานาธิบดีคาบิลาก็เริ่มดำเนินการปฏิรูป กิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังคงอยู่นอกข้อมูล GDP จนถึงปี 2011 คองโกมีดัชนีการพัฒนามนุษย์ต่ำที่สุดจาก 187 ประเทศที่ได้รับการจัดอันดับ[91] เศรษฐกิจของคองโก อาศัยการขุดฝีมือเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม กิจกรรมทางเศรษฐกิจขนาดเล็กจากการขุดงานฝีมือเกิดขึ้นในภาคนอกระบบ และไม่สะท้อนอยู่ในข้อมูล GDP[92] เชื่อกันว่าเพชรหนึ่งในสามของคองโกถูกลักลอบนำออกนอกประเทศ ทำให้ยากต่อการระบุปริมาณการผลิตเพชร[93] ในปี 2002 มีการค้นพบดีบุกทางตะวันออกของประเทศ แต่จนถึงปัจจุบันมีการขุดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น[94] การลักลอบขนแร่ที่มีข้อขัดแย้ง เช่น โคลตันและแคสซิเทอไรต์ แร่แทนทาลัมและดีบุก ตามลำดับ ช่วยจุดชนวนให้เกิดสงครามในคองโกตะวันออก[95] บริษัทเหมืองแร่ในกาตันกาซึ่งเป็นบริษัทที่มีชาวสวิสเป็นเจ้าของ เป็นเจ้าของโรงงาน Luilu Metallurgical ซึ่งมีกำลังการผลิตทองแดง 175,000 ตันและโคบอลต์ 8,000 ตันต่อปี ทำให้ที่นี่เป็นโรงกลั่นโคบอลต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากโครงการฟื้นฟูครั้งใหญ่ บริษัทกลับมาดำเนินการผลิตทองแดงอีกครั้งในเดือนธันวาคม 2007 และการผลิตโคบอลต์ในเดือนพฤษภาคม 2008[96] ในเดือนเมษายน 2013 NGO เปิดเผยว่าหน่วยงานด้านภาษีของคองโกล้มเหลวในการบัญชีเงิน 88 ล้านดอลลาร์จากภาคเหมืองแร่ แม้ว่าการผลิตจะเฟื่องฟูและผลการดำเนินงานทางอุตสาหกรรมในเชิงบวกก็ตาม เงินทุนที่ขาดหายไปนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2010 และหน่วยงานภาษีควรจ่ายเงินให้กับธนาคารกลางแล้ว[97]ต่อมาในปี 2013 Extractive Industries Transparency Initiative ได้ระงับการลงสมัครเป็นสมาชิกของประเทศเนื่องจากการรายงาน การติดตาม และการตรวจสอบที่เป็นเสรีนั้นไม่เพียงพอ แต่ในเดือนกรกฎาคม 2013 ประเทศได้ปรับปรุงแนวทางปฏิบัติด้านการบัญชีและความโปร่งใสจนถึงจุดที่ EITI ให้ประเทศเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 บริษัทจัดการสินทรัพย์ระดับโลก AllianceBernstein[98] นิยามคองโกในเชิงเศรษฐกิจว่าเป็น "ซาอุดีอาระเบียแห่งยุครถยนต์ไฟฟ้า" เนื่องจากมีทรัพยากรโคบอลต์ ซึ่งจำเป็นต่อแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้า[99] การคมนาคมการขนส่งภาคพื้นดินในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเป็นเรื่องยากมาโดยตลอด ภูมิประเทศและภูมิอากาศของแอ่งคองโกเป็นอุปสรรคอย่างร้ายแรงต่อการก่อสร้างถนนและทางรถไฟ อีกทั้งระยะทางทั่วประเทศอันกว้างใหญ่นี้ยังมีระยะทางที่ยาวไกล โดยคองโกมีแม่น้ำที่ใช้เดินเรือได้มากกว่าและเคลื่อนย้ายผู้โดยสารและสินค้าทางเรือและเรือข้ามฟากมากกว่าประเทศอื่นๆ ในแอฟริกา แต่การขนส่งทางอากาศยังคงเป็นวิธีเดียวที่มีประสิทธิภาพในการเคลื่อนย้ายสินค้าและผู้คนระหว่างสถานที่ต่างๆ ในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบท การบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดเรื้อรัง การคอรัปชั่นทางการเมือง และความขัดแย้งภายในได้นำไปสู่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว พลังงานทั้งทรัพยากรถ่านหินและน้ำมันดิบส่วนใหญ่ใช้ในประเทศจนถึงปี 2008 คองโกมีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำจากแม่น้ำคองโกที่เขื่อนอิงกา[100] ประเทศนี้ยังครอบครองป่าไม้และระบบแม่น้ำในแอฟริกาถึง 50% ที่สามารถจ่ายไฟฟ้าพลังน้ำให้กับทั้งทวีป ตามรายงานของสหประชาชาติเกี่ยวกับความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของประเทศและบทบาทที่เป็นไปได้ในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในแอฟริกากลาง[101] การผลิตและการจำหน่ายไฟฟ้าได้รับการควบคุมโดย Société nationale d'électricité แต่มีเพียง 15% ของประเทศเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้[102] คองโกนั้นเป็นสมาชิกของกลุ่มแหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้าสามแห่ง ได้แก่ แหล่งพลังงานแอฟริกาตอนใต้ แหล่งพลังงานแอฟริกาตะวันออก และแหล่งพลังงานแอฟริกากลาง ประชากรความหนาแน่นเดอะเวิลด์แฟกต์บุ๊ก ประมาณการว่าในปี 2023 จำนวนประชากรจะมากกว่า 111 ล้านคน[103] ระหว่างปี 1950 ถึง 2000 ประชากรของประเทศเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าจาก 12.2 ล้านคนเป็น 46.9 ล้านคน[104] ศาสนาศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลักในคองโกการสำรวจในปี 2013–14 ซึ่งจัดทำโดยโปรแกรมการสำรวจประชากรและสุขภาพ ในปี 2013–2014 ระบุว่าชาวคริสต์คิดเป็น 93.7% ของประชากร (โดยมีชาวคาทอลิกคิดเป็น 29.7%, โปรเตสแตนต์ 26.8% และคริสเตียนอื่นๆ 37.2%) ขบวนการศาสนาคริสต์แนวใหม่ ลัทธิคิมบังกิมีความยึดมั่น 2.8% ในขณะที่ชาวมุสลิมคิดเป็น 1%[105] ประมาณการล่าสุดอื่น ๆ พบว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาส่วนใหญ่ รองลงมาคือ 95.8% ของประชากร ตามรายงานของสำนักวิจัยพิวในปี 2010[106] ประมาณการ ในขณะที่ CIA World Factbook รายงานตัวเลขนี้เป็น 95.9%[107] สัดส่วนของผู้นับถือศาสนาอิสลามมีประมาณตั้งแต่ 1% ถึง 12%[108] ภาษาภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาทางการของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก เป็นที่ยอมรับทางวัฒนธรรมว่าเป็นภาษากลางซึ่งอำนวยความสะดวกในการสื่อสารระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ของคองโก จากรายงานของ OIF ในปี 2018 ชาวคองโก 49 ล้านคน (51% ของประชากร) สามารถอ่านและเขียนภาษาฝรั่งเศสได้[109] จากการสำรวจในปี 2021 พบว่า 74% ของประชากรสามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้ ทำให้เป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในประเทศ[110] ในกินชาซา 67% ของประชากรในปี 2014 สามารถอ่านและเขียนภาษาฝรั่งเศสได้ และ 68.5% สามารถพูดและเข้าใจภาษาฝรั่งเศสได้[111] มีภาษาพูดประมาณ 242 ภาษาในประเทศ โดยสี่ภาษามีสถานะเป็นภาษาประจำชาติ ได้แก่ กีตูบา (กีคองโก) ลิงกาลา ชิลูบา และสวาฮิลี แม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนจำกัดที่พูดภาษาเหล่านี้เป็นภาษาแรก แต่ประชากรส่วนใหญ่พูดเป็นภาษาที่สองรองจากภาษาพื้นเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเอง ลิงกาลาเป็นภาษาทางการของ Force Publique ภายใต้การปกครองอาณานิคมของเบลเยียม และยังคงเป็นภาษาหลักในกองทัพจนถึงทุกวันนี้ นับตั้งแต่การก่อจลาจลเมื่อเร็วๆ นี้ กองทัพส่วนหนึ่งที่ดีในภาคตะวันออกก็ใช้ภาษาสวาฮีลี ซึ่งใช้แข่งขันกันเพื่อชิงความเป็นกลางของภาษากลาง ภายใต้การปกครองของเบลเยียม ชาวเบลเยียมได้จัดตั้งการสอนและการใช้ภาษาประจำชาติสี่ภาษาในโรงเรียนประถมศึกษา ทำให้เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในแอฟริกาที่มีความรู้ในภาษาท้องถิ่นในช่วงยุคอาณานิคมของยุโรป แนวโน้มนี้กลับหลังจากได้รับเอกราช เมื่อภาษาฝรั่งเศสกลายเป็นภาษาเดียวของการศึกษาในทุกระดับ[112] ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 ภาษาประจำชาติทั้งสี่ได้รับการแนะนำอีกครั้งในช่วงสองปีแรกของการศึกษาระดับประถมศึกษา โดยภาษาฝรั่งเศสกลายเป็นภาษาเดียวในการศึกษาตั้งแต่ปีที่สามเป็นต้นไป แต่ในทางปฏิบัติ โรงเรียนประถมศึกษาหลายแห่งในเขตเมืองใช้ภาษาฝรั่งเศสเพียงอย่างเดียวตั้งแต่แรก ปีการศึกษาไปข้างหน้า[112] ภาษาโปรตุเกสได้รับการสอนในโรงเรียนคองโกเป็นภาษาต่างประเทศ ความคล้ายคลึงกันของคำศัพท์และหน่วยเสียงกับภาษาฝรั่งเศสทำให้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาที่ค่อนข้างง่ายสำหรับผู้คนในการเรียนรู้ ผู้พูดภาษาโปรตุเกสส่วนใหญ่ประมาณ 175,000 คนในคองโก เป็นชาวแองโกลาและชาวโมซัมบิก สาธารณสุขโรงพยาบาลในคองโกรวมถึงโรงพยาบาลทั่วไปของกินชาซา คองโกมีอัตราการตายของทารกสูงเป็นอันดับสองของโลก (รองจากชาด) ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2554 ด้วยความช่วยเหลือจากกาวี ได้มีการแนะนำวัคซีนใหม่เพื่อป้องกันโรคปอดบวมทั่วเมืองกินชาซา[113] ในปี 2012 ประมาณว่าประมาณ 1.1% ของผู้ใหญ่อายุ 15-49 ปีอาศัยเป็นโรคเอชไอวี/เอดส์[114] มาลาเรีย[115][116] และไข้เหลืองเป็นปัญหา.[117] ในเดือนพฤษภาคม 2019 ยอดผู้เสียชีวิตจากการระบาดของอีโบลาในคองโก ทะลุ 1,000 รายแล้ว[118] อุบัติการณ์ของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับไข้เหลืองในคองโกนั้นค่อนข้างต่ำ ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2564 มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เสียชีวิตเนื่องจากไข้เหลืองในคองโก[119] จากข้อมูลของกลุ่มธนาคารโลก ในปี 2016 มีผู้เสียชีวิต 26,529 รายบนท้องถนนในคองโก เนื่องจากอุบัติเหตุจราจร[120] หน่วยงานบรรเทาทุกข์ด้านอาหารฉุกเฉินแห่งสหประชาชาติเตือนว่าท่ามกลางความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นและสถานการณ์ที่ย่ำแย่ลงภายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ชีวิตหลายล้านชีวิตตกอยู่ในความเสี่ยงเนื่องจากอาจเสียชีวิตจากความหิวโหย จากข้อมูลของโครงการอาหารโลก ในปี 2020 ประชาชนสี่ในสิบคนในคองโกขาดความมั่นคงทางอาหาร และประมาณ 15.6 ล้านคนกำลังเผชิญกับวิกฤตความหิวโหยที่อาจเกิดขึ้น[121] ระดับมลพิษทางอากาศในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) นั้นไม่ดีต่อสุขภาพอย่างมาก ในปี 2020 มลพิษทางอากาศเฉลี่ยต่อปีในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกอยู่ที่ 34.2 µg/m³ ซึ่งเกือบ 6.8 เท่าของแนวทาง PM2.5 ขององค์การอนามัยโลก (5 g/m³: กำหนดไว้ในเดือนกันยายน 2021)[122] ระดับมลพิษเหล่านี้คาดว่าจะลดอายุขัยของพลเมืองโดยเฉลี่ยของคองโก ลงได้เกือบ 2.9 ปี[122] ปัจจุบัน คองโกยังไม่มีมาตรฐานคุณภาพอากาศโดยรอบระดับชาติ[123] การศึกษาในปี 2014 อัตราการรู้หนังสือของประชากรที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 49 ปีอยู่ที่ประมาณ 75.9% (ชาย 88.1% และหญิง 63.8%) ตามการสำรวจทั่วประเทศของ DHS ระบบการศึกษาอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวง 3 แห่ง ได้แก่ กระทรวงประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอาชีวศึกษา (MEPSP) กระทรวงอุดมศึกษาและอุดมศึกษา (MESU) และ กระทรวงกิจการสังคม (มส.) การศึกษาระดับประถมศึกษาไม่ฟรีและไม่บังคับ[124] ทั้งที่รัฐธรรมนูญคองโกบอกว่าควรจะเป็น (มาตรา 43 ของรัฐธรรมนูญคองโกปี 2005)[125] ผลจากสงครามคองโกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 ถึงต้นทศวรรษที่ 2000 เด็กกว่า 5.2 ล้านคนในประเทศนี้ไม่ได้รับการศึกษาใดๆ[126] นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามกลางเมือง สถานการณ์ดีขึ้นอย่างมาก โดยจำนวนเด็กที่เข้าเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาเพิ่มขึ้นจาก 5.5 ล้านคนในปี 2545 เป็น 16.8 ล้านคนในปี 2561 และจำนวนเด็กที่เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาเพิ่มขึ้นจาก 2.8 ล้านคนในปี 2550 เป็น 4.6 ล้านคนในปี 2558 จากข้อมูลของ ยูเนสโก[127] การเข้าเรียนในโรงเรียนจริงก็ดีขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยนักเรียนประถมเข้าเรียนสุทธิประมาณ 82.4% ในปี 2014 (82.4% ของเด็กอายุ 6-11 ปีเข้าเรียน; 83.4% สำหรับเด็กผู้ชาย 80.6% สำหรับเด็กผู้หญิง)[128]
การอพยพเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในประเทศและสภาพโครงสร้างของรัฐ ทำให้การรับข้อมูลการย้ายถิ่นที่เชื่อถือได้เป็นเรื่องยากมาก อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานบ่งชี้ว่าคองโกยังคงเป็นประเทศปลายทางสำหรับผู้อพยพ แม้ว่าจำนวนผู้อพยพในช่วงนี้จะลดลงก็ตาม การย้ายถิ่นฐานมีความหลากหลายมากโดยธรรมชาติ ผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัย ซึ่งเป็นผลมาจากความขัดแย้งที่รุนแรงมากมายในภูมิภาคเกรตเลกส์ ถือเป็นกลุ่มย่อยที่สำคัญของประชากร นอกจากนี้ การดำเนินงานเหมืองขนาดใหญ่ของประเทศยังดึงดูดแรงงานอพยพจากแอฟริกาและที่อื่นๆ อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการโยกย้ายจำนวนมากสำหรับกิจกรรมเชิงพาณิชย์จากประเทศอื่นๆ ในแอฟริกาและส่วนอื่นๆ ของโลก แต่การเคลื่อนไหวเหล่านี้ยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างดี[129] การอพยพย้ายถิ่นฐานไปยังแอฟริกาใต้และยุโรปก็มีบทบาทเช่นกัน การย้ายถิ่นฐานไปยังคองโก ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากความรุนแรงที่ใช้อาวุธในประเทศนี้ ตามที่องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน จำนวนผู้อพยพในคองโกลดลงจากเพียงหนึ่งล้านคนในปี 1960 เป็น 754,000 คน ปี 1990 เหลือ 480,000 คน ปี 2005 เหลือประมาณ 445,000 คน ปี 2010 ไม่มีตัวเลขอย่างเป็นทางการ ส่วนหนึ่งเนื่องมาจาก ความโดดเด่นของเศรษฐกิจนอกระบบในคองโกยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับผู้อพยพผิดปกติ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเชื่อมโยงทางชาติพันธุ์ของประเทศเพื่อนบ้านกับพลเมือง การอพยพย้ายถิ่นอย่างผิดปกติถือเป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญ[129] ตัวเลขของชาวคองโกในต่างประเทศมีความแตกต่างกันอย่างมากขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา ตั้งแต่สามถึงหกล้านคน ความคลาดเคลื่อนนี้เกิดจากการขาดข้อมูลที่เป็นทางการและเชื่อถือได้ ผู้อพยพจากคองโกอยู่เหนือผู้อพยพระยะยาวทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในแอฟริกาและในยุโรปเพียงเล็กน้อย 79.7% และ 15.3% ตามลำดับ ตามข้อมูลประมาณปี 2000 ประเทศปลายทางใหม่ ได้แก่ แอฟริกาใต้ และจุดต่างๆ ระหว่างเส้นทางสู่ยุโรป คองโกได้มีผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยจำนวนมากที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคและที่อื่นๆ ตัวเลขเหล่านี้พุ่งสูงสุดในปี 2004 ตามข้อมูลของ UNHCR มีผู้ลี้ภัยจากคองโกมากกว่า 460,000 คน; ในปี 2008 ผู้ลี้ภัยชาวคองโกมีจำนวนทั้งหมด 367,995 คน โดย 68% อาศัยอยู่ในประเทศอื่นในแอฟริกา[129] ตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา ผู้อพยพชาวคองโกมากกว่า 400,000 คนถูกไล่ออกจากแองโกลา[130] วัฒนธรรมวัฒนธรรมสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากและวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไปทั่วประเทศ ตั้งแต่ปากแม่น้ำคองโกบนชายฝั่ง ต้นน้ำผ่านป่าดงดิบและทุ่งหญ้าสะวันนาในใจกลาง ไปจนถึงภูเขาที่มีประชากรหนาแน่นในระยะไกล ทิศตะวันออก. ตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากลัทธิล่าอาณานิคม การต่อสู้เพื่อเอกราช ความซบเซาของยุคโมบูตู และล่าสุดคือสงครามคองโกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง แม้จะมีแรงกดดันเหล่านี้ แต่ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของคองโกก็ยังคงรักษาความเป็นปัจเจกชนไว้ได้ ประชากร 81 ล้านคนของประเทศ (พ.ศ. 2559) ส่วนใหญ่เป็นชาวชนบท 30% ที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองเปิดรับอิทธิพลตะวันตกมากที่สุด กีฬากีฬาหลายชนิดที่เล่นในคองโกรวมถึงฟุตบอล บาสเก็ตบอล และรักบี้ กีฬานี้มีการเล่นในสนามกีฬาหลายแห่งทั่วประเทศ รวมถึงสนามกีฬาเฟรเดริก คิบาสซา มาลีบา[131] ขณะที่ซาอีร์ได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1974 ในระดับนานาชาติ ประเทศนี้มีชื่อเสียงเป็นพิเศษในด้านผู้เล่นบาสเกตบอลและฟุตบอล NBA มืออาชีพ ไดเคมเบ มูตอมโบ เป็นหนึ่งในนักบาสเก็ตบอลแอฟริกันที่เก่งที่สุดที่เคยเล่นเกมนี้มูตอมโบเป็นที่รู้จักกันดีในโครงการด้านมนุษยธรรมในประเทศบ้านเกิดของเขา บิสแมค บิยอมโบ, คริสเตียน เอเยนก้า, โจนาธาน คูมิงก้า และ เอ็มมานูเอล มูดิเอย์ เป็นคนอื่นๆ ที่ได้รับความสนใจในระดับนานาชาติอย่างมากในวงการบาสเก็ตบอล ผู้เล่นชาวคองโกหลายคนและผู้เล่นเชื้อสายคองโก รวมถึงกองหน้า โรเมลู ลูกากู ยานนิค โบลาซี และ ดิยูเมอร์ซี เอ็มโบกานี มีชื่อเสียงในวงการฟุตบอลโลก คองโกชนะการแข่งขันฟุตบอลแอฟริกันคัพออฟเนชันถึงสองครั้ง ทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติดีอาร์คองโกผ่านเข้ารอบสุดท้ายในการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์แห่งชาติแอฟริกาปี 2021[132] ประเทศนี้มีทีมชาติในวอลเลย์บอลชายหาดที่เข้าร่วมการแข่งขัน CAVB Beach Volleyball Continental Cup ปี 2018–2020 ทั้งในส่วนของหญิงและชาย[133] ดนตรีคองโกมีอิทธิพลต่อคิวบารัมบา แต่เดิมคัมบามาจากคองโกและเมอแรงค์ และต่อมาทั้งสองก็ให้กำเนิด soukous[134] ประเทศในแอฟริกาอื่น ๆ ผลิตแนวเพลงที่มาจากชาวคองโก วงดนตรีแอฟริกันบางวงร้องเพลงเป็นภาษาลิงกาลา ซึ่งเป็นหนึ่งในภาษาหลักในคองโก ปาปา เวมบา ชาวคองโกคนเดียวกันภายใต้การแนะนำของ "le sapeur" ได้สร้างบรรยากาศให้กับชายหนุ่มรุ่นใหม่ที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าดีไซเนอร์ราคาแพง พวกเขาเป็นที่รู้จักในฐานะดนตรีคองโกรุ่นที่สี่และส่วนใหญ่มาจากวง Wenge Musica ที่มีชื่อเสียงในอดีต ศิลปินดนตรี เอลิโซ คิซองกา ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ในอังกฤษมีพื้นเพมาจากคองโก วรรณกรรมนักเขียนชาวคองโกใช้วรรณกรรมเป็นหนทางในการพัฒนาจิตสำนึกแห่งชาติในหมู่ประชาชนของคองโก เฟรเดอริก กัมเบมบา ยามูซานกี ได้เขียนวรรณกรรมสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไปของผู้ที่เติบโตในคองโก ในช่วงเวลาที่พวกเขาตกเป็นอาณานิคม ต่อสู้เพื่อเอกราชและหลังจากนั้น ยามูซังกิให้สัมภาษณ์[135] กล่าวว่าเขารู้สึกถึงความห่างไกลในวรรณคดีและต้องการแก้ไขที่เขาเขียนนวนิยายเรื่อง Full Circle ซึ่งเป็นเรื่องราวของเด็กชายชื่อเอ็มมานูเอลซึ่งในตอนต้นของหนังสือรู้สึกถึงความแตกต่างในวัฒนธรรมระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในคองโกและที่อื่น ๆ[136] ไรส์ เนซ่า โบเนซ่า นักเขียนจากจังหวัดกาตันกา เขียนนวนิยายและบทกวีเพื่อส่งเสริมการแสดงออกทางศิลปะเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการกับความขัดแย้ง[137] อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|