ประเทศโครเอเชีย45°10′N 15°30′E / 45.167°N 15.500°E
โครเอเชีย (อังกฤษ: Croatia; โครเอเชีย: Hrvatska, ออกเสียง: [xř̩ʋaːtskaː]) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐโครเอเชีย (อังกฤษ: Republic of Croatia; โครเอเชีย: Republika Hrvatska, เสียงอ่านภาษาโครเอเชีย: [ˈrepǔblika ˈxř̩ʋaːtskaː]) เป็นประเทศที่ตั้งอยู่บนทางแยกกลางระหว่างยุโรปกลาง และตะวันออกเฉียงใต้ แนวชายฝั่งของประเทศตั้งอยู่บริเวณทะเลเอเดรียติก มีชายแดนติดกับสโลวีเนียทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ฮังการีทางตะวันออกเฉียงเหนือ เซอร์เบียทางตะวันออก บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา และมอนเตเนโกรทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงมีขอบเขตทางทะเลติดต่อกับอิตาลีทางทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ โครเอเชียมีเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดคือซาเกร็บ เป็นหนึ่งในเขตการปกครองหลักของประเทศ โดยแบ่งเป็น 20 เทศมณฑล มีเมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ สปลิต, ริเยกา และ ออซิเยกซึ่งเป็นศูนย์กลางทางอุตสาหกรรม และ การท่องเที่ยว ประเทศมีขนาดพื้นที่ 56,594 ตารางกิโลเมตร (21,851 ตารางไมล์) มีประชากรราว 3.9 ล้านคน[11] ชาวโครแอตซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวโครเอเชียเข้ามาตั้งรกรากบริเวณปัจจุบันเมื่อปลายศตวรรษที่ 6 ซึ่งขณะนั้นดินแดนส่วนใหญ่ยังเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคอิลิเรีย อาณาเขตทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นสองดัชชีในศตวรรษที่ 7[12] โครเอเชียได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 879 ในรัชสมัยของดยุกมันซิเมียร์แห่งโครเอเชียซึ่งครองราชย์ตั้งแต่ ค.ศ. 879 ถึง 892 ต่อมา พระเจ้าตอมิสลัฟที่ 1 แห่งโครเอเชียกลายเป็นปฐมกษัตริย์แห่งโครเอเชียใน ค.ศ. 925 และได้ขยายอาณาเขตและความรุ่งเรืองจนกลายเป็นอาณาจักร ในช่วงวิกฤติการสืบราชสันตติวงศ์หลังจากราชวงศ์ตรีปิมิโรวิชสิ้นสุดลง โครเอเชียและฮังการีได้กลายเป็นรัฐร่วมประมุขใน ค.ศ. 1102 ต่อมาใน ค.ศ. 1527 โครเอเชียต้องเผชิญกับสงครามโครเอเชีย–ออตโตมันร้อยปี รัฐสภาโครเอเชียมีมติเลือกจักรพรรดิแฟร์ดีนันท์ที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นครองบัลลังก์ ต่อมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1918 รัฐแห่งชาวสโลวีน โครแอต และเซิร์บได้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงสั้น ๆ ภายหลังการยุบตัวของจักรวรรดิหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ความเป็นอิสระจากออสเตรียและฮังการีได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการ ณ เมืองซาเกร็บในเดือนธันวาคมปีเดียวกันนั้น ดินแดนทั้งหมดถูกควบรวมเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย ภายหลังการบุกครองยูโกสลาเวียโดยฝ่ายอักษะในสงครามโลกครั้งที่สอง ดินแดนส่วนใหญ่ได้กลายเป็นรัฐหุ่นเชิดของนาซีเยอรมนีในนามรัฐเอกราชโครเอเชีย ขบวนการต่อต้านเผด็จการนำไปสู่การสถาปนาสาธารณรัฐสังคมนิยมโครเอเชีย ซึ่งภายหลังสงครามได้กลายมาเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งและเป็นองค์ประกอบของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1991 มีการออกเสียงประชามติรับรองเอกราช และสงครามประกาศอิสรภาพโครเอเชียประสบความสำเร็จในเวลาสี่ปี ส่งผลให้ประเทศได้รับเอกราชถาวร และเป็นที่รู้จักในชื่อ "สาธารณรัฐโครเอเชีย" มาถึงปัจจุบัน โครเอเชียเป็นสาธารณรัฐด้วยระบบรัฐสภา และปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป, ยูโรโซน, พื้นที่เชงเกน, เนโท, สภายุโรป, องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป, องค์การการค้าโลก, สหประชาชาติ รวมทั้งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสหภาพเมดิเตอร์เรเนียน ปัจจุบันโครเอเชียอยู่ระหว่างการยื่นขอเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา และมีส่วนร่วมในการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ รวมทั้งกองกำลังช่วยเหลือความมั่นคงระหว่างประเทศ และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งไม่ถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเป็นครั้งแรกระหว่าง ค.ศ. 2008–2009 โครเอเชียเป็นประเทศพัฒนาแล้ว และมีรายรับสูงตามการจัดอันดับโดยธนาคารโลก ประเทศนี้อยู่ในอันดับ 40 ตามดัชนีการพัฒนามนุษย์[13] รายได้หลักมาจากการบริการ, ภาคอุตสาหกรรม และเกษตรกรรม ในขณะที่การท่องเที่ยวเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาเกือบ 20 ล้านคนใน ค.ศ. 2019[14][15][16] นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 21 รัฐบาลโครเอเชียเน้นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะเส้นทางคมนาคมและสิ่งอำนวยความสะดวกตามแนวเส้นทางข้ามทวีปยุโรป และได้กลายเป็นผู้นำด้านพลังงานในภูมิภาคตั้งแต่ทศวรรษ 2020 โดยมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการกระจายพลังงานในทวีปยุโรป ผ่านคลังเก็บก๊าซธรรมชาติซึ่งตั้งอยู่บริเวณรอบนอกเกาะเกิร์ก โครเอเชียมีระบบประกันสังคมที่มีคุณภาพ รวมถึงการดูแลสุขภาพโดยถ้วนหน้า เยาวชนมีสิทธิขั้นพื้นฐานในการศึกษาตั้งแต่ระดับประถมถึงมัธยมโดยไม่เสียค่าเล่าเรียน ในขณะเดียวกันรัฐบาลมีการปลูกฝังค่านิยมทางวัฒนธรรมผ่านสถาบัน และลงทุนในด้านสื่อและสิ่งพิมพ์ ภูมิศาสตร์โครเอเชียตั้งอยู่ระหว่างภูมิภาคยุโรปกลาง ภูมิภาคยุโรปใต้ และภูมิภาคยุโรปตะวันออก รูปร่างของประเทศคล้ายกับพระจันทร์เสี้ยวหรือเกือกม้า ซึ่งช่วยให้สามารถติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ได้แก่ สโลวีเนีย ฮังการี เซอร์เบีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา มอนเตเนโกร และอิตาลี (อีกฟากหนึ่งของทะเลเอเดรียติก) โดยแผ่นดินใหญ่ของโครเอเชียถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนไม่ติดต่อกันโดยชายฝั่งทะเลสั้น ๆ ของบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา รอบ ๆ เมืองเนอุม (Neum) ภูมิประเทศของโครเอเชียมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่
ประวัติศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์พื้นที่ที่รู้จักกันในปัจจุบันในนามโครเอเชียได้ดำรงอยู่ตลอดตั้งแต่ช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ ฟอสซิลของมนุษย์ยุคหินในยุคพาเลโอลิธิคถูกขุดค้นพบในที่ตั้งเมืองที่โด่งดังและเป็นที่ถูกนำเสนอมากที่สุดอยู่ที่เมืองคราปินาในทางตอนเหนือของประเทศโครเอเชีย เศษซากของวัฒนธรรมนีโอลิธิคและคัลโคลิธิคมากมายถูกค้นพบในทุกบริเวณของประเทศ สัดส่วนที่ใหญ่สุดของที่เมืองคราปินาคือหุบเขาแม่น้ำของทางตอนเหนือของประเทศโครเอเชีย และวัฒนธรรมสำคัญที่ถูกค้นพบในบริเวณนั้น ได้แก่ วัฒนธรรมสตาร์เชโว วูเชดอล และบาเดน ต่อมาช่วงยุคเหล็กได้เหลือร่องรอยวัฒนธรรมฮัลชตัตต์อิลลิเรียและวัฒนธรรมเซลติกลาเทน ยุคกรีกโรมันหลังจากนั้น ชาวอิลลิเรียและชาวลิบูร์เนียได้ตั้งรกรากในบริเวณนี้ ในขณะที่อาณานิคมกรีกแห่งแรกถูกก่อตั้งขึ้นในเกาะฮวาร์ เกาะคอร์ชูลา และเกาะวิส ในคริสต์ศักราชที่ 9 อาณาเขตของประเทศโครเอเชียในปัจจุบันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน จักรพรรดิดีโอเคลเตียนมีปราสาทใหญ่ที่สร้างขึ้นในเมืองสปลิต ซึ่งพระองค์ได้ถอนตัวหลังจากสละราชสมบัติในคริสต์ศักราชที่ 309 ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 5 จักรพรรดิจูเลียส เนโปสปกครองดินแดนเล็ก ๆ จากปราสาท หลังจากอพยพจากประเทศอิตาลี เนื่องจากการถูกเนรเทศในปี 475 ภายหลังได้ถูกลอบปลงพระชนม์ในปี ค.ศ. 480 ในช่วงยุคนี้ได้จบลงที่ชาวอวาร์และชาวโครแอตได้บุกรุกในครึ่งปีแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 7 และการล่มสลายของเมืองโรมัน ชาวโรมันที่รอดชีวิตได้หนีไปยังในที่ที่เหมาะสม อย่างในชายฝั่ง เกาะ และภูเขา เมืองดูบรอฟนิกถูกตั้งขึ้นโดยผู้รอดชีวิตจากเอปิดาอูรุม (Epidaurum) แหล่งกำเนิดชนกลุ่มชาวโครแอตยังไม่แน่นอนและมีหลากหลายทฤษฎีที่โต้เถียงกัน ชนชาติสลาฟและอิเรเนียนเป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงบ่อยที่สุด ทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางคือทฤษฎีชาวสลาฟ เสนอการอพยพของชาวไวต์โครแอตจากอาณาเขตของไวต์โครเอเชียระหว่างในยุคการอพยพ โดยทางตรงกันข้าม ทฤษฎีชาวอิเรเนียน เสนอที่มาของชาวอิเรเนียน โดยมีพื้นฐานจากแผ่นจารึกทำนาย ซึ่งมีข้อความที่จารึกชื่อเป็นภาษากรีก Χορούαθ[ος], Χοροάθος, and Χορόαθος (Khoroúathos, Khoroáthos, and Khoróathos) และตีความได้เป็นชื่อของชาวโครเอเชีย ราชวงศ์ฮับส์บูร์กและออสเตรีย-ฮังการี (ค.ศ. 1538–1918)หลังจากชัยชนะที่เด็ดขาดของออตโตมัน โครเอเชียได้แยกเป็นอาณาเขตพลเมืองและอาณาเขตทางทหาร ซึ่งแบ่งแยกในปี ค.ศ. 1538 อาณาเขตทางทหารกลายเป็นที่รู้จักกันใน "แนวหน้ากองทหารโครเอเชีย" (Croatian Military Frontier) และอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิโดยตรง ออตโตมันได้รุดหน้าไปในอาณาเขตของโครเอเชียต่อไปจนถึงปี ค.ศ. 1593 ศึกของซีซีค เป็นการพ่ายแพ้ของชาวออตโตมันครั้งแรก และการรักษาเสถียรภาพของเขตแดน ในระหว่างสงครามเติร์กครั้งยิ่งใหญ่ (ค.ศ. 1683-1698) เขตสลาโวเนียได้ถูกยึดคืนมา แต่ทางตะวันตกของบอสเนีย ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของโครเอเชียมาตลอด ก่อนที่ออตโตมันจะพิชิตได้ ยังคงอยู่นอกการปกครองของโครเอเชีย เขตแดนในปัจจุบันระหว่างสองประเทศนี้เป็นเศษซากของผลการพิชิตนี้ ดัลมาเชีย ชายแดนทางตอนใต้ของประเทศถูกนิยามใกล้เคียงกัน โดยสงครามออตโตมัน-เวเนเชียนครั้งที่ห้าและครั้งที่เจ็ด สงครามออตโตมันกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางประชาการอย่างมาก ชาวโครแอตอพยพไปยังออสเตรีย และรัฐเบอร์เกนแลนด์ในปัจจุบัน ซึ่งชาวโครแอตเป็นลูกหลานโดยตรงของผู้ที่ไปอาศัยเหล่านั้น เพื่อแทนที่การอพยพของประชากร ราชวงศ์ฮับส์บูร์กโน้มน้าวประชาชนชาวคริสเตียนของบอสเนียและเซอร์เบียเข้าร่วมรับราชการทางทหารในแนวหน้าทางทหารของโครเอเชีย การอพยพของชาวเซิร์บไปยังแถบนี้ถึงขั้นขีดสุดในระหว่างช่วงการอพยพของชาวเซิร์บครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1690 และ ค.ศ. 1737-1739 รัฐสภาของโครเอเชียสนับสนุนกฎการสืบราชบัลลังก์ของพระเจ้าชาร์ลที่ 3 และเซ็นสัญญากฎการสืบราชบังลังก์ของพวกเขาในปี 1712 ต่อมาจักรพรรดิปฏิญาณที่จะพิจารณาสิทธิพิเศษและสิทธิทางการเมืองของราชอาณาจักรโครเอเชีย และพระราชินีมาเรีย เทเรซา สร้างคุณูปการที่สำคัญในเรื่องของโครเอเชีย ระหว่างใน ค.ศ. 1797 และ ค.ศ. 1809 จักรวรรดิฝรั่งเศสที่หนึ่งค่อย ๆ ยึดครองทางตะวันออกของชายฝั่งเอเดรียติกทั้งหมดและส่วนใหญ่ของพื้นที่ชนบท สิ้นสุดที่บริเวณสาธารณรัฐเวเนเชียนและสาธารณรัฐรากูซัน และก่อตั้งมลรัฐอิลลิเรีย เพื่อตอบสนองราชนาวีที่เริ่มการปิดล้อมทะเลเอเดรียติก นำไปสู่ศึกวิส (Battle of Vis) ในปี 1811 มลรัฐอิลลิเรียถูกยึดครองโดยชาวออสเตรียในปี 1813 และถูกรวมโดยจักรวรรดิออสเตรีย ตามด้วยรัฐสภาของเวียนนาในปี 1815 การถูกรวมนี้นำไปสู่การก่อตั้งอาณาจักรดัลมาเชียและการบูรณะบบบริเวณชายฝั่งของโครเอเชียให้แก่ราชอาณาจักรโครเอเชีย ในตอนนี้ทั้งสองได้อยู่ภายใต้ราชวงศ์เดียวกัน ในช่วงปี 1830 และช่วงปี 1840 มีลัทธิรักชาติแบบโรแมนติกกระตุ้นการฟื้นฟูโครเอเชียระดับชาติ การรณรงค์ทางการเมืองและทางวัฒนธรรมสนับสนุนการเป็นหนึ่งเดียวของชาวสลาฟใต้ในจักรวรรดิ จุดสนใจพื้นฐานของทางจักรวรรดิคือ การกำหนดภาษามาตรฐาน รวมไปถึงการส่งเสริมวรรณกรรมโครเอเชียและวัฒนธรรมโครเอเชีย ในระหว่างการปฏิวัติฮังการี ในปี 1848 โครเอเชียได้อยู่ฝ่ายออสเตรีย ยอซิป เยลาชิช ช่วยในการต่อสู้รบกับกองกำลังฮังการีในปี 1849 และนำไปสู่ยุคนโยบายการทำให้เป็นเยอรมัน (Germanization) ในเวลาต่อไปมา ในปี 1860 ความล้มเหลวของนโยบายเริ่มชัดเจนขึ้น นำไปสู่การประนีประนอมของออสเตรีย-ฮังการีของปี 1867 และการสร้างการรวมตัวระหว่างบุคคลระหว่างจุดสูงสุดของจักรวรรดิออสเตรียและราชอาณาจักรฮังการี สนธิสัญญาทิ้งสถานะของโครเอเชียให้กับฮังการี และสถานะเปลี่ยนโดยข้อยุติโครเอเชีย-ฮังการี ในปี 1868 เมื่อราชอาณาจักรโครเอเชียและสลาโวเนียได้รวมเป็นหนึ่งเดียว ราชอาณาจักรดัลมาเชียยังคงเป็นอยู่ในการปกครองของออสเตรียทางพฤตินัย ขณะที่รีเยกา (Rijeka) ได้รับสถานะเมืองแยกตัว (Corpus separatum) ในปี 1779 หลังจากออสเตรีย-ฮังการียึดครองบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาจากสนธิสัญญาเบอร์ลิน แนวหน้าทางทหารโครเอเชียถูกโค่นล้ม และอาณาเขตได้กลับคืนเป็นของโครเอเชียใน ค.ศ. 1881 ตามบทบัญญัติข้อยุติของโครเอเชีย-ฮังการี ความพยายามในการรื้อฟื้นออสเตรีย-ฮังการีที่นำมาซึ่งไปสู่การรวมโครเอเชียในฐานะหน่วยสหพันธรัฐ หยุดโดยการเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 1 ยูโกลสลาเวีย (ค.ศ. 1918–1991)วันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1918 รัฐสภาโครเอเชีย (Sabor) ประกาศเอกราชและตัดสินใจที่จะเข้าร่วมรัฐแห่งชาวสโลวีน โครแอต และเซิร์บที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ ซึ่งภายหลังได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับราชอาณาจักรเซอร์เบียในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1918 จึงได้ชื่อใหม่ว่า ราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน ทางสภาโครเอเชียไม่เคยยื่นข้อเสนอในการรวมกับเซอร์เบียและมอนเตเนโกร รัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 1921 กำหนดให้ประเทศเป็นรัฐเดี่ยว แล้วยกเลิกระบบสภาของโครเอเชียและเขตการปกครองทางประวัติศาสตร์ ส่งผลให้การปกครองตนเองของโครเอเชียได้สิ้นสุดไป รัฐธรรมนูญใหม่ขัดแย้งกับพรรคการเมืองแห่งชาติที่มีการสนับสนุนโดยกว้าง คือพรรค Croatian Peasant Party (HSS) นำโดย สเตฟาน ราดิช สถานการณ์ทางการเมืองย่ำแย่ลงเมื่อราดิชถูกลอบสังหารในสมัชชาแห่งชาติใน ค.ศ. 1928 นำไปสู่ยุคเผด็จการของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ใน ค.ศ. 1929 ต่อมายุคเผด็จการได้สิ้นสุดลงอย่างทางการใน ค.ศ. 1931 เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์กำหนดรัฐธรรมนูญที่รวมศูนย์กลางไว้แห่งเดียวและเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นประเทศยูโกสลาเวีย พรรค Croatian Peasant (HSS) สนับสนุนการรวมสหพันธรัฐยูโกสลาเวีย ทำให้เป็นผลของข้อตกลง Cvetković–Maček ของเดือนสิงหาคม ปี 1939 และการก่อตั้งเขตการปกครองตนเองบาโนวีนา (Banovina) ในโครเอเชีย รัฐบาลยูโกสลาเวียยังคงควบคุมการป้องกันตัวเอง สวัสดิการภายใน การค้า และการขนส่ง ขณะที่ปัญหาอื่น ๆ เหลือให้ทางสภาโครเอเชียจัดการ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1941 ยูโกสลาเวียอยู่ภายใต้การควบคุมของนาซีเยอรมนีและฟาสซิสต์อิตาลี ตามด้วยการบุกรุกอาณาเขตของประเทศโครเอเชีย ประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา และพื้นที่เซอร์เมียถูกผนวกรวมเป็นรัฐเอกราชโครเอเชีย (Independent State of Croatia – NDH) ซึ่งเป็นรัฐหุ่นเชิดของนาซีเยอรมนี พื้นที่ฝั่งดัลมาเชียถูกผนวกรวมกับอิตาลี และพื้นที่บารันยา (Baranja) และเมจิมูเรีย (Međimurje) ในทางตอนเหนือของโครเอเชีย ได้ถูกผนวกรวมเข้ากับฮังการี รัฐเอกราชโครเอเชียปกครองโดย อานเต ปาเลวิช และกลุ่มคลั่งชาติอูสตาเช (Ustaše)
ร่วมสมัย
การเมืองการปกครองการแบ่งเขตการปกครองโครเอเชียแบ่งออกเป็น 20 เทศมณฑล (counties - županija) กับ 1 เขตเมืองหลวง* จัดกลุ่มรายชื่อโดยแบ่งตามภูมิภาคทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์: แม่แบบ:Croatian counties
เศรษฐกิจ
โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมและโทรคมนาคม
เชื้อชาติ
4.5 ล้านคน ประกอบด้วยชาวโครแอท (89.6%) ชาวเซิร์บ (4.54%) และอื่น ๆ ได้แก่ ชาวบอสเนีย ฮังการี สโลวีน เช็ก (5.9%) ศาสนาอาหาร
อาหารพื้นเมืองของชาวโครแอตไม่ต่างจากอาหารแบบยุโรปโดยทั่วไป ในกรุงชาเกร็บมีร้านอาหารให้เลือกมากมาย ที่เป็นเอกลักษณ์ก็คือร้านกาแฟในสไตล์ Side-Walk Cafe ที่เน้นการเสพบรรยากาศดี ๆ เคล้ากาแฟรสละมุนลิ้น ส่วนเมนูอร่อยที่ควรชิมก็คือไส้กรอก Spek และ Kulen ซึ่งเป็นอาหารเฉพาะถิ่น ในขณะที่ขนมหวานขึ้นชื่อของโครเอเชียก็คือคุกกี้รูปหัวใจเคลือบน้ำตาลสีแดงที่มีรสชาติหวานมันลงตัว หมายเหตุ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|