ชูพงศ์ ถี่ถ้วน
ชูพงศ์ ถี่ถ้วน เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองในต่างประเทศ อดีตนักการเมืองชาวไทย เลขาธิการศูนย์กลางประชาชนแห่งประเทศไทยและประธานชมรมคนรู้ใจ ปัจจุบันมีชื่อในกลุ่มผู้ถูกเรียกให้ไปรายงานตัวต่อ คสช. และถูกออกหมายจับ ในฐานะผู้ที่ไม่ไปรายงานตัวคดีมาตรา 112[2][3] เขาย้ายไปอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสตั้งแต่ พ.ศ. 2563 เป็นต้นมา[4] ประวัติชูพงศ์ ถี่ถ้วน เกิดเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 ที่อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนดีบุกพังงาวิทยายน และจบโรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย สาขาเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม[5] ชูพงศ์ ถี่ถ้วน เป็นเคลื่อนไหวด้านแรงงาน สมาชิกสหภาพรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย ซึ่งร่วมกับทนง โพธิ์อ่าน สมศักดิ์ โกศัยสุข[6] และเป็นอดีตประธานสหภาพแรงงานประปาส่วนภูมิภาค[7] โดยชูพงศ์ ถี่ถ้วน ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้เป็นกรรมการฝ่ายลูกจ้าง เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2528[8] และได้ลาออกจากกรรมการแรงงานสัมพันธ์ฝ่ายลูกจ้าง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2528[9] และกลางปี พ.ศ. 2529 กลุ่มทนง โพธิ์อ่านมีความขัดแย้งกับกลุ่มนายชูพงศ์ ถี่ถ้วน ในเรื่องปัญหาการตีความสถานภาพของกรรมการสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย[10] บทบาทการเมืองชูพงศ์ ถี่ถ้วน เคยเข้าสู่การเมืองโดยเป็นผู้สมัครเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2539 ที่จังหวัดพังงา สังกัดพรรคความหวังใหม่ ซึ่งแข่งกับ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ผลปรากฏว่าฝ่ายหลังได้รับการเลือกตั้ง[11] ต่อมาเป็นเลขาธิการประจำคณะกรรมาธิการแรงงาน (พ.ศ. 2544-2548)[12] และเป็นคณะที่ปรึกษาประธานประจำคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง (พ.ศ. 2548-2549)[13] การเคลื่อนไหวทางสังคมสภาปฏิวัติแห่งชาติชูพงศ์ ถี่ถ้วน เป็นลูกศิษย์รุ่นแรกๆ ของประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เจ้าของทฤษฎีปฏิวัติประชาธิปไตย ที่ยืนอยู่คนละด้านกับแนวทางชนบทล้อมเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยและได้มีส่วนร่วมในสภาปฏิวัติแห่งชาติ ซึ่งต่อถูกจับกุมด้วยข้อหาทำลายความมั่นคงแห่งชาติ พร้อมกับพวกรวม 14 คน การประท้วงคมชัดลึกชูพงศ์ ถี่ถ้วนขึ้นเวทีม็อบแท็กซี่ที่ขนส่งหมอชิต โดยการชักชวนของไกรวัลย์ เกษมศิลป์ จนกลายเป็นแกนนำกลุ่มสมาพันธ์พิทักษ์ประชาธิปไตย[14] ภายหลังย้ายสถานที่ชุมนุมจากหมอชิต มาสมทบกับกลุ่มของนายคำตา แคนบุญจันทร์ เลขาธิการสมัชชาคนจน[15] เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2549 กลุ่มคาราวานคนจน ที่เป็นกลุ่มที่นำหนังสือพิมพ์มาแสดงเป็นกลุ่มแรก บนเวทีปราศรัยสวนจตุจักร จำนวนนับพันคน นำโดย นายคำตา แคนบุญจันทร์ นายอรรถฤทธิ์ สิงห์ลอ นายชินวัฒน์ หาบุญพาด นายประยูร ครองยศ นายทองเจือ ชาติกิจเจริญ เป็นต้น[16] เคลื่อนขบวนจากสวนจตุจักร มาชุมนุมหน้าอาคารอินเตอร์ลิงก์ทาวเวอร์ เพื่อประท้วงคมชัดลึก จากการนำเสนอข่าวประจำวันศุกร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2549 ซึ่งกล่าวในทำนองว่า หากผู้รับสนองพระบรมราชโองการไม่รับผิดชอบในความผิดพลาดของพระราชกฤษฎีกาแล้ว จะให้ใครรับผิดชอบ ซึ่งทำให้ประชาชนฟ้องร้องดำเนินคดีต่อนายสนธิ และหนังสือพิมพ์คมชัดลึก เป็นจำนวนมาก ในหลายพื้นที่ เหตุการณ์ในครั้งนี้ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ นักวิชาการ สื่อมวลชน รวมถึงนิสิต นักศึกษา ได้ยกย่องและให้กำลังใจในการแสดงความรับผิดชอบของหนังสือพิมพ์คมชัดลึก และประณามการกระทำของกลุ่มมวลชนบางกลุ่มที่เป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมือง ในการคุกคามเสรีภาพของสื่อมวลชน[17] ต่อมาวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาจำคุก นายคำตา แคนบุญจันทร์ สมัชชาเกษตรรายย่อย , นายอรรถฤทธิ์ สิงห์ลอ เลขาธิการคาราวานคนจน , นายชูพงศ์ ถี่ถ้วน , นายธนวิชญ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา แกนนำคาราวานคนจน , นายชินวัฒน์ หาบุญพาด แนวร่วม นปช. และ นายสำเริง อดิษะ แกนนำคาราวานคนจน เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐาน ร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้เกิดความหวาดกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย, กักขัง หน่วงเหนี่ยว และ พรบ.ควบคุมการโฆษณาด้วยเครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 กรณีนำกลุ่มผู้ชุมนุมไปปิดล้อมอาคารอินเตอร์ลิงก์ ทาวเวอร์[18] หลังรัฐประหาร พ.ศ. 2549ภายหลังเกิดการรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ชูพงศ์ได้ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศกรณีการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549[19] ซึ่งต่อมาได้ก่อตั้งวิทยุชุมชนคนรู้ใจ คลื่น 87.75 ร่วมกับไกรวัลย์ เกษมศิลป์[7] และยูนิตี้เรดิโอ เอฟเอ็ม 89.75 วิทยุชุมชนเพื่อความสมานฉันท์ของคนในชาติ ร่วมกับชินวัฒน์ ก็มีชื่อเป็นผู้ดำเนินรายการร่วมกับชินวัฒน์ หาบุญพาด จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ[15] ซึ่งเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ทักษิณ ชินวัตร ไดโทรศัพท์มายังสถานีวิทยุชุมชนคนรู้ใจ ในรายการจิ้งจกคาบข่าว[20] ซึ่งได้นำคำสัมภาษณ์ของทักษิณ ชินวัตรในรายการ ไปเผยแพร่ในเว็บ www.chupong.com โดยบนเว็บไซต์ได้จัดทำแบบฟอร์มให้ประชาชนร่วมลงชื่อเป็นมติปวงชนชาวไทย โดยเรียกร้อง 4 ข้อ คือ การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ต้องการรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ยินยอมให้มีการทำรัฐประหาร และให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และรัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ จัดการเลือกตั้งภายในปี 2550[20] หลังรัฐประหาร พ.ศ. 2557ชูพงศ์ ถี่ถ้วนมีชื่อในกลุ่มผู้ถูกเรียกให้ไปรายงานตัวต่อ คสช. และถูกออกหมายจับ ในฐานะผู้ที่ไม่ไปรายงานตัวคดีมาตรา 112 ซึ่งปัจจุบันชูพงศ์ ถี่ถ้วน ยังคงพักอาศัยอยู่ที่ฝรั่งเศส และจัดรายการออนไลน์ผ่านโลกออนไลน์อยู่บ่อยครั้ง ผ่านสถานี ชูพงศ์ เปลี่ยนระบอบ[21] และในปี พ.ศ. 2560 ชูพงศ์ ถี่ถ้วน ได้ก่อตั้งพรรคไทยก้าวหน้า ซึ่งมีอุดมการณ์พรรคคือ การเปลี่ยนระบอบการปกครองจากระบอบราชาธิปไตย ให้เป็นระบอบประชาธิปไตย และมีหลักการปกครอง 5 ประการ คือ อำนาจสูงสุดเป็นของปวงชน เสรีภาพ เสมอภาค ยึดหลักกฎหมาย และการเลือกตั้ง[22] เครื่องราชอิสริยาภรณ์
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น |