ประเทศโอมาน
โอมาน (อังกฤษ: Oman; อาหรับ: عُمان) หรือชื่อทางการว่า รัฐสุลต่านโอมาน (อังกฤษ: Sultanate of Oman; อาหรับ: سلطنة عُمان) เป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ บนชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรอาหรับ มีพรมแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทางตะวันตกติดกับซาอุดีอาระเบีย และทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดกับเยเมน มีชายฝั่งบนทะเลอาหรับทางใต้และตะวันออก และอ่าวโอมานทางตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ก็ยังมีดินแดนส่วนแยกอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อีกด้วย มีเมืองหลวงที่เมืองที่ใหญ่ที่สุดคือมัสกัต ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โอมานเป็นอาณาจักรที่แข่งขันกับจักรวรรดิโปรตุเกสและบริติชเพื่อแย่งชิงอิทธิพลในอ่าวเปอร์เซียและมหาสมุทรอินเดีย อาณาจักรเจริญรุ่งเรื่องถึงขีดสุดในศตวรรษที่ 19 อิทธิพลของโอมานขยายไปทั่วช่องแคบฮอร์มุซไปจนถึงบริเวณที่เป็นประเทศอิหร่านและปากีสถานในปัจจุบัน[8] เมื่ออำนาจของโอมานเริ่มเสื่อมถอยลงในศตวรรษที่ 20 ดินแดนทั้งหมดก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหราชอาณาจักรเป็นเวลากว่า 300 ปี ในช่วงเวลานี้ความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรเกิดจากการมีผลประโยชน์ร่วมกัน สหราชอาณาจักรยอมรับความสำคัญทางภูมิศาสตร์ของโอมานในฐานะศูนย์กลางการค้าที่ยึดเส้นทางการค้าในอ่าวเปอร์เซียและมหาสมุทรอินเดีย และปกป้องอาณาจักรของพวกเขาในอนุทวีปอินเดีย และกรุงมัสกัตยังเคยเป็นท่าเรือการค้าหลักของภูมิภาคในอ่าวเปอร์เซียในอดีต สุลต่าน สมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านกอบูส บิน ซะอีด อาล ซะอีด ถือเป็นผู้นำตกทอดของประเทศในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างยาวนานตั้งแต่ ค.ศ. 1970 จนกระทั่งการสวรรคตใน ค.ศ. 2020[9] ตามกฎของการสืบราชบัลลังก์สุลต่านโอมาน พระราชโอรสของสุลต่านมักจะได้รับการประกาศให้เป็นกษัตริย์องค์ใหม่ อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านกอบูสไม่มีพระราชโอรส และ สมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านฮัยษัม บิน ฏอริก อาล ซะอีด ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังค์ต่อ[10] โอมานเป็นรัฐอิสระที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอาหรับ[11] และเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ สันนิบาตอาหรับ สภาความร่วมมืออ่าวอาหรับ ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และองค์การความร่วมมืออิสลาม โอมานมีปริมาณน้ำมันสำรองเป็นอันดับที่ 22 ของโลก[12] ใน ค.ศ. 2010 โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ จัดอันดับโอมานเป็นประเทศที่มีการพัฒนามากที่สุดในโลกในแง่ของการพัฒนาในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา[13] รายได้หลักของประเทศมาจากการท่องเที่ยว การค้า ประมง อินทผลัม และผลิตผลทางการเกษตรอื่น ๆ โอมานจัดอยู่ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจที่มีรายได้สูง และใน ค.ศ. 2021 โอมานอยู่ในอันดับที่ 73 ของประเทศที่สงบสุขที่สุดในโลกตามดัชนีสันติภาพโลก ภูมิศาสตร์ภูมิประเทศรัฐสุลต่านโอมานมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายและภูเขา มีชายฝั่งทะเลยาว 2,092 กิโลเมตร ปรากฏบริเวณที่เป็นภูเขาสูงอยู่ 2 บริเวณแคบ ๆ คือ บริเวณติดต่อกับเยเมน และบริเวณชายฝั่งอ่าวโอมาน ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบ และมีลุ่มบางแห่งแถบชายฝั่งบริเวณหัวแหลมและอ่าวอยู่หลายแห่งมีเกาะ กลุ่มเกาะอยู่ทางทิศตะวันออกของประเทศ เกาะและกลุ่มเกาะที่สำคัญ ได้แก่ เกาะมาสิราห์ กลุ่มเกาะคูเรีย มาเรีย และกลุ่มเกาะนิก้า นิโกร เป็นต้น ภูมิอากาศโอมานสามารถแบ่งเขตลักษณะภูมิอากาศได้ ดังนี้
ประวัติศาสตร์รัชสมัยสุลต่านซะอีด บิน ตัยมูรสุลต่านซะอีด บิน ตัยมูร ทรงขึ้นครองราชย์สมบัติเป็น สมเด็จพระราชาธิบดีในปี พ.ศ. 2475 ต่อมารัฐสุลต่านมัสกัตและโอมานได้รับเอกสิทธิ์ในการปกครองตนเองจากสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2494 ในรัชสมัยของพระองค์ทรงปกครองประเทศด้วยนโยบายอนุรักษนิยมและโดดเดี่ยวจนกระทั่ง พ.ศ. 2513 รัชสมัยสุลต่านกอบูส บิน ซะอีดสุลต่านกอบูส บิน ซะอีดขึ้นครองราชย์โดยกระทำการรัฐประหารพระบิดาแบบไม่นองเลือด ในปี พ.ศ. 2513 ต่อมาได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรเมื่อ 2 ธันวาคม 1971 พระองค์ได้ดำเนินนโยบายที่เน้นทางด้านการพัฒนาประเทศเป็นสำคัญ ทรงเป็นนักพัฒนาตลอด 30 กว่าปีที่ครองราชย์ ผลักดันการปฏิรูปทางการเมือง สนับสนุนสวัสดิการของประชาชน โอมานเคยมีความขัดแย้งกับเยเมนเหนือ จากการที่เยเมนเหนือให้การสนับสนุนฝ่ายกบฏแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดซุฟาร์ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า แนวร่วมประชาชนปลดปล่อยโอมาน (The Popular Front for the Liberation of Oman : PFLO) และ ภายหลังการไกล่เกลี่ยของประเทศสมาชิกคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) ได้มีการลงนามในความตกลงฟื้นฟูสัมพันธภาพใน พ.ศ. 2525 ต่อมา ได้มีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2526 อย่างไรก็ดี ได้เกิดการปะทะตามแนวชายแดนระหว่างประเทศทั้งสองอีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2531 แต่ภายหลังได้ตกลงที่จะลงนามในความตกลงเรื่องพรมแดนระหว่างกัน การเมืองการปกครองบริหารโอมานมีระบบการปกครองแบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ สุลต่านแห่งรัฐมีอำนาจสูงสุดในทุกด้าน อำนาจบริหารอยู่ที่คณะรัฐมนตรี ซึ่งองค์สุลต่านจะทรงแต่งตั้ง หรือ ถอดถอนรัฐมนตรีตามพระราชอัธยาศัย ประมุขของรัฐ สุลต่านกะบุส บิน ซาอิด อัล บู ซาอิด ทรงดำรงตำแหน่งเป็นสุลต่านแห่งรัฐสุลต่านโอมาน นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นิติบัญญัติในด้านนิติบัญญัติมีสภาโอมาน (Council of Oman) ทำหน้าที่เป็นเสมือนรัฐสภา ประกอบด้วยสภาสูง (สภา Majlis Addawla หรือ วุฒิสภา ตั้งขึ้นจากพระราชดำริขององค์สุลต่านกาบูสเมื่อเดือนตุลาคม 2540) สมาชิกมาจากการแต่งตั้ง 48 คน และสภาล่าง (Majlis Ash'Shura หรือ สภาผู้แทนราษฎร) สมาชิกมาจากการเลือกตั้งจำนวน 83 คน (การเลือกตั้งครั้งแรกมีขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม 2540 องค์สุลต่านทรงมีอำนาจตัดสินผลการเลือกตั้งในขั้นสุดท้าย) ทั้งสองสภาทำหน้าที่กลั่นกรองร่างกฎหมาย ให้ข้อเสนอแนะด้านเศรษฐกิจ (ยกเว้นด้านการปิโตรเลียม) และสังคมแก่รัฐบาล แต่ไม่มีอำนาจตัดสินใจ อำนาจด้านตุลาการอยู่ที่ศาลสูงสุด (Supreme Court) เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) สุลต่านกอบูสได้ประกาศออกกฎหมาย Basic Law ซึ่งอาจถือเป็นรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของโอมานได้นับแต่เริ่มครองราชย์เมื่อปี 2513 (ค.ศ. 1970) สุลต่าน กอบูส ทรงกำหนดเป้าหมายการปกครองประเทศ โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น หรือข้อเสนอแนะแก่รัฐบาล โดยมีรัฐสภาเป็นเวทีปรึกษาหารือ และทำงานร่วมกับรัฐบาล การแบ่งเขตการปกครองประเทศโอมานแบ่งออกเป็น 5 เขต (regions - mintaqah) และ 3 เขตผู้ว่าราชการ (governorates - muhafazah) ได้แก่
เศรษฐกิจเศรษฐกิจของโอมาน ก่อนเริ่มการผลิตน้ำมัน เป็นเศรษฐกิจที่พึ่งพาสินค้าเกษตรและประมงแบบพอประทังชีพ (subsistence agriculture) อย่างไรก็ดีเมื่อมีอุตสาหกรรมผลิตน้ำมันเชิงพาณิชย์ ซึ่งเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) จึงทำให้เกิดการหักเหในการพัฒนาประเทศ จากสังคมที่พึ่งผลผลิตทางการเกษตร มาเป็นการพึ่งพาน้ำมันเป็นสินค้าออก รายได้มหาศาลจากการขายน้ำมันดิบถูกนำมาใช้พัฒนาระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง นับแต่ปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) เป็นต้นมา จนปัจจุบันโอมานได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่มีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่รวดเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในโลก แม้ว่าโอมานจะมีทรัพยากรน้ำมันไม่มากเท่าประเทศเพื่อนบ้านรัฐริมอ่าวอื่น ๆ ในตะวันออกกลาง แต่เมื่อหลายปีที่ผ่านมาโอมานได้ขุดพบน้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำมันสำรองในประเทศได้เพิ่มขึ้นจาก 2.9 พันล้านบาร์เรล เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) เป็น 5.5 พันล้านบาร์เรลในปลายปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) มีบ่อน้ำมันทั้งที่อยู่ภายนอกและภายในชายฝั่งจำนวนมากถึง 95 บ่อ เมื่อปี 2543 โอมานมีรายได้สุทธิจากการขายน้ำมันเป็นเงิน 3,731.4 พันล้านริยัลโอมาน (ประมาณ 373,100 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปี 2542 ร้อยละ 57.7 ทั้งนี้ น้ำมันเป็นสินค้าที่ทำรายได้ให้แก่รัฐในสัดส่วนมากถึงร้อยละ 80 และมีสัดส่วนถึงร้อยละ 75 ของสินค้าออก หรือประมาณร้อยละ 50 ของ GDP นอกจากนี้ โอมานยังมีปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองจำนวน 45 พันล้านลูกบาศ์กฟุต โอมานพบก๊าซธรรมชาติครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) โดยกลุ่มบริษัทรอยัลดัตช์เชลล์เป็นผู้ศึกษาความเป็นไปได้และเสนอโครงการก่อสร้างโรงงาน ต่อมาในปี พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) จึงมีการจัดตั้งบริษัทโอมาน LNG LLC ขึ้น โดยมีรัฐบาลโอมานถือหุ้นรายใหญ่ (ร้อยละ 51) ทำสัญญาซื้อขายก๊าซกับบริษัทต่างชาติต่าง ๆ รัฐบาลโอมานมีรายได้จากการขายก๊าซในปี 2543 ประมาณ 174.6 ล้านริยัลโอมาน (ประมาณ 17,400 ล้านบาท) ปัจจุบันรัฐบาลโอมานมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมภาคก๊าซธรรมชาติในการสร้างรายได้ ลดการพึ่งพาน้ำมันดิบ และสนองนโยบายสร้างงานให้ชาวโอมาน โอมานตระหนักดีถึงผลเสียของการพึ่งพารายได้จากน้ำมันในอัตราที่สูงเช่นนี้ จึงมีนโยบายกระจายฐานเศรษฐกิจ (diversification) เป็นเป้าหมายหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจ นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 70 เป็นต้นมา อาทิ การเน้นกลยุทธ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยอาศัยสินค้าออกเป็นตัวนำ (export-led growth) การพัฒนาอุตสาหกรรมสาขาอื่นที่มิใช่น้ำมัน โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ โดยส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนทั้งในและนอกประเทศในอุตสาหกรรมดังกล่าว รวมทั้งนโยบายส่งเสริมให้เอกชนเข้ามาดำเนินกิจการของรัฐ (privatization) นโยบายเหล่านี้ ได้รับการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันโอมานกำลังเข้าสู่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2544 - 2548) นอกจากกลยุทธ์กระจายฐานเศรษฐกิจแล้ว รัฐบาลโอมานยังมีนโยบายส่งเสริมการใช้แรงงานคนชาติ (Omanization) เป็นนโยบายด้านแรงงาน ทั้งนี้ เพื่อลดปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีอัตราการเพิ่มตัวของประชากรสูง และมีประชากรในวัยเรียนวัยทำงานเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งประเทศ ดังนั้น โอมานจึงให้ความสำคัญอย่างมากในการฝึกอบรมคนชาติของตนให้มีทักษะความชำนาญในสาขาต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมภาคบริการ (การท่องเที่ยว การโรงแรม การธนาคาร ฯลฯ) โอมานมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ โดยออกกฎหมายอนุญาตให้บริษัทต่างชาติเป็นเจ้าของกิจการได้ทั้งหมด ในโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนสูงกว่า 5 แสนริยัล (ประมาณ 5 ล้านบาท) และต้องเป็นโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของโอมาน ปัจจุบัน องค์สุลต่านแห่งโอมาน กำลังจะปรับเปลี่ยนกฎหมายดังกล่าวให้ผ่อนคลายลงอีก รวมทั้งเปิดสาขาทางเศรษฐกิจสำหรับต่างชาติให้กว้างขึ้นด้วย ปัจจุบัน โอมานได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติที่เสรีมากที่สุดในอ่าวอาหรับ ในด้านภาษีภายในนั้น โอมานไม่มีการเก็บภาษีภายในใด ๆ เลย อาทิ ภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีสรรพสามิต เป็นต้น จะมีแต่เพียงภาษีรายได้ที่เก็บจากกำไรจากการดำเนินธุรกิจเท่านั้นการเข้าเป็นสมาชิกใหม่ขององค์การการค้าโลก เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2543 จะช่วยให้เศรษฐกิจของโอมานเชื่อมโยงเข้ากับเศรษฐกิจโลกได้อย่างสมบูรณ์ และทำให้ประเทศคู่ค้าและนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจโอมานมากขึ้น อันจะช่วยเพิ่มโอกาสของการลงทุนของต่างชาติในโอมาน อย่างไรก็ดี การเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกจะส่งผลให้ธุรกิจในประเทศต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันจากต่างประเทศ ทั้งด้านการค้าและการบริการ รุนแรงขึ้น ซึ่งจะทำให้ภาครัฐและเอกชนโอมานต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้ด้วย ประชากรศาสตร์โอมานมี ประชากรประมาณ 3,713,462 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับร้อยละ 88 เชื้อชาติ อิหร่าน และอินเดีย มีความหนาแน่น 13 คน ต่อตารางกิโลเมตร หมายเหตุอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|