มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (อังกฤษ: Mahasarakham University; อักษรย่อ: มมส. – MSU) หรือ ม.มหาสารคาม เป็นสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถือกำเนิดมาจากวิทยาลัยวิชาการศึกษาเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2511 นับเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งที่ 2 ของภาคถัดจาก ม.ขอนแก่น ต่อมาได้ยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตมหาสารคาม เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2517 กลายเป็นมหาวิทยาลัยแห่งที่ 2 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และได้แยกตัวเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศภายใต้ชื่อ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2537[6] โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 111 ตอนที่ 54ก[7] จึงถือว่าวันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสถาปนาสถาบัน ส่วนปี 2511 เป็นปีก่อตั้งสถาบัน ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยมหาสารคามอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541[8] มีสถานะเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ ตั้งอยู่ที่ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย (ม.ใหม่) และถนนนครสวรรค์ ตำบลตลาด อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม (ม.เก่า) มีรองศาสตราจารย์ ดร.ประยุกต์ ศรีวิไล เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัย โดยมหาวิทยาลัยได้ทำการเรียนการสอนมาแล้วกว่า 56 ปี มหาวิทยาลัยมหาสารคามเปิดการสอนทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก รวมทั้งสิ้น 203 หลักสูตร ใน 20 คณะและเทียบเท่า[9] ครอบคลุมทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์การแพทย์ การเกษตร มนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ แบ่งได้เป็นหลักสูตรระดับปริญญาตรี 92 หลักสูตร ปริญญาโท 66 หลักสูตร ปริญญาเอก 42 หลักสูตร ประกาศนียบัตร 3 หลักสูตร[10] มีบัณฑิตวิทยาลัยดูแลการเรียนการสอนในระดับปริญญาโทและเอก มหาวิทยาลัยมหาสารคามมีนิสิตอยู่ในคณะและวิทยาลัยต่าง ๆ รวมแล้วประมาณ 40,000 คน มีบุคลากรสายวิชาการ 1,244 คน มีตำแหน่งทางวิชาการ ระดับศาสตราจารย์ 7 คน รองศาสตราจารย์ 115 คน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ 506 คน และอาจารย์ 616 คน[4]: 78 และบุคลากรสายสนับสนุน 2,270 คน[4]: 78 ทำการเรียนการสอนทั้งหลักสูตรภาษาไทยและหลักสูตรนานาชาติ ภาคปกติและภาคพิเศษ ประวัติวิทยาลัยวิชาการศึกษามหาสารคามมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ถือกำเนิดมาจากวิทยาลัยวิชาการศึกษามหาสารคาม เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2511 โดยอาจารย์บุญถิ่น อัตถากร อดีตอธิบดีกรมการฝึกหัดครู (พ.ศ. 2500 - 2513) ซึ่งท่านได้มีแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาในสมัยนั้น[11][12] เรื่องความต้องการใช้การศึกษาช่วยพัฒนาชุมชนในชนบท จึงต้องรีบผลิตครูที่มีคุณภาพและจำนวนมากพอเพียงออกไปเป็นผู้นำ โดยการศึกษาฝึกหัดครูจะต้องเป็นขั้น ๆ โดยลำดับจนถึงขั้นปริญญา ขณะเดียวกันก็ค่อยลดการผลิตครูระดับประกาศนียบัตรลงจนเลิกไปในที่สุด และผลิตครูขั้นปริญญาเพิ่มขึ้น ๆ และเมื่อถึงโอกาสอันสมควร สถานศึกษาฝึกหัดครู สถานศึกษาอาชีวศึกษา และสถาบันขั้นปริญญาต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในจังหวัดเดียวกันและจังหวัดใกล้เคียง ก็จะรวมกันเป็นมหาวิทยาลัยภูมิภาค ทั้งนี้อาจารย์บุญถิ่น ได้มีแนวคิดและเหตุผลที่เลือกจังหวัดมหาสารคามให้เป็นที่ตั้งของวิทยาลัย “ครูปริญญา” ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นว่า[13]
ในช่วงระยะแรกของการก่อตั้งวิทยาลัยวิชาการศึกษามหาสารคามนั้น ต้องประสบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานจากความไม่พร้อมในด้านอาคารสถานที่ บุคลากร และอุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอน จึงต้องอาศัยวิทยาลัยครูมหาสารคาม (มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ในปัจจุบัน) ในเบื้องต้นเกือบทั้งหมด ซึ่งช่วยสนับสนุนและเป็นพี่เลี้ยงในช่วงก่อตั้ง วิทยาลัยวิชาการศึกษาอื่นที่ไปตั้งในแต่ละภูมิภาคต่างก็ประสบในทำนองเดียวกันและช่วยเหลือกันในการแก้ปัญหาดังกล่าว หลักสูตรที่เปิดสอนในปีการศึกษาแรก พ.ศ. 2511 มี 2 วิชาเอก คือ วิชาเอกภาษาอังกฤษและชีววิทยา ประกอบด้วย 3 คณะวิชาคือ คณะวิชาการศึกษา คณะวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ และคณะวิชามนุษยธรรมศึกษาและสังคมศาสตร์ โดยคณะวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ และคณะวิชามนุษยธรรมศึกษาและสังคมศาสตร์ เป็นคณะวิชาที่เปิดสอนวิชาพื้นฐานให้กับหลักสูตรการศึกษาบัณฑิตของคณะวิชาการศึกษา จึงยังไม่ได้เปิดรับนิสิต ส่วนคณะวิชาการศึกษาสามารถเปิดรับนิสิตรุ่นแรกได้จำนวน 134 คน ซึ่งนิสิตที่มาเรียนในระยะแรก ปีการศึกษา 2511 – 2515 ได้รับการเลือกจากผู้สมัครที่มีผลการเรียนดีจากวิทยาลัยครูทั่วประเทศมาศึกษาต่อในหลักสูตรปริญญาตรี 2 ปี ในปีการศึกษา 2512 การก่อสร้างอาคารสถานที่ของวิทยาลัยเสร็จสมบูรณ์และเปิดใช้งาน คือ อาคารเรียน 1, หอสมุด หอศิลป์ โรงอาหาร หอพักชาย และหอพักหญิง จากนั้นวิทยาลัยจึงได้มีการพัฒนามาตามลำดับ ในปี 2514 ได้มีการดำเนินการขอพื้นที่ฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นที่ราชพัสดุของกองทัพอากาศ ซึ่งได้ใช้เป็นสนามแข่งม้าและสนามบินจากนั้นจึงได้มีการก่อสร้างอาคารเรียนและหอพักเพิ่มเติม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตมหาสารคามต่อมาในวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2517 ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. 2517 ในราชกิจจานุเบกษา [14] ซึงเป็นการรวมวิทยาลัยเขตทั้งหมด เป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และโอนสถานะไปสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย และเรียกชื่อมหาวิทยาลัยและชื่อวิทยาเขตตามสถานที่ตั้งของวิทยาเขตต่อท้าย ยกเว้นวิทยาเขตพระนครให้เปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางเขน ก่อนที่จะได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยได้นั้น ทางวิทยาลัยวิชาการศึกษาได้เริ่มมีการเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 ทั้งนี้ เมื่อครั้งที่ศาสตราจารย์ ดร. สุดใจ เหล่าสุนทร เข้าดำรงตำแหน่งอธิการวิทยาลัยวิชาการศึกษา และเห็นว่าการบริหารงานของวิทยาลัยนั้นขาดความคล่องตัวอยู่มาก เนื่องด้วยข้อจำกัดหลายประการจะเป็นปัญหาระยะยาวในการขยายผลด้านการศึกษาในอนาคตต่อไป จึงได้ร่างพระราชบัญญัติเพื่อขอยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยต่อสภาวิทยาลัยวิชาการศึกษา โดยในระหว่างนั้น ศาสตราจารย์ ดร. สุดใจ เหล่าสุนทร ได้ออกเอกสารที่เรียกว่า 'เอกสารปกขาว' เพื่อชี้แจงหลักการและเหตุผลดังกล่าวแก่ผู้ที่สนใจรับทราบว่า
เมื่อได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติต่อไปตามลำดับ โดยเป็นการดำเนินการตามวิธีที่ถูกต้องและขั้นตอนระเบียบแบบแผนของทางราชการ เริ่มตั้งแต่สภาวิทยาลัยวิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ สภาการศึกษา สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม การดำเนินการได้หยุดชะงักไปขณะหนึ่ง เนื่องจากความวุ่นวายทางการเมืองของประเทศในช่วงเวลานั้น จนกระทั่งมีการยกฐานะวิทยาลัยวิชาการศึกษาเป็นกรมหนึ่งของกระทรวงศึกษาธิการ ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 216 ลงวันที่ 29 กันยายน 2515 ต่อมาในวันที่ 16 มกราคม 2517 คณะรัฐมนตรี มีมติให้ยกฐานะวิทยาลัยวิชาการศึกษาเป็นมหาวิทยาลัย และได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติ กระทั่งมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. 2517 [14] ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานชื่อมหาวิทยาลัยให้เป็นมงคลนามและพระราชทานความหมายว่า " มหาวิทยาลัยที่เจริญเป็นศรีสง่าแก่มหานคร " โดย ' วิโรฒ ' มาจาก ' วิรูฒ ' (ภาษาสันสกฤต) ' วิรุฬห์ ' (ภาษาบาลี) ซึ่งแปลว่า " เจริญ , งอกงาม " ภายหลังทางวิทยาลัยโดยความร่วมมือทั้งอาจารย์และนิสิต ได้พยายามดำเนินการมาตามลำดับ ทั้งนี้โดยตระหนักจากการพิจารณาองค์ ประกอบความพร้อมในด้านต่าง ๆ ของวิทยาลัยและประโยชน์อันจะเกิดขึ้นต่อ วิทยาลัยและในวงกว้างทางการศึกษาและประเทศชาติต่อไป ทางวิทยาลัย จึงได้มีการชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นในการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยได้ดังนี้
หลังจากที่ได้ยกฐานะแล้ว ทางมหาวิทยาลัยฯได้นำวิธีสอบคัดเลือกนิสิต เข้าศึกษาใน 2 ระดับ คือชั้นปีที่ 1 และ 3 ซึ่งในปีการศึกษานี้มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคามยังคงรับนิสิตภาคปกติที่จบป.กศ. สูงเข้าศึกษาชั้นปีที่ 3 โดยวิธีการสอบคัดเลือกเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ คือได้เปิดรับสมัครสอบนิสิตชั้นปีที่ 1 เข้าเรียนหลักสูตรปริญญาตรี 4 ปีเป็นปีแรกโดยใช้ วิธีการสอบผ่านทบวงมหาวิทยาลัย โดยรับทั้งสิ้น 63 คน สำหรับวิชาเอกที่เปิดในปีการศึกษา 2517 มีทั้งสิ้น 4 คณะวิชา ได้แก่คณะศึกษาศาสตร์, คณะวิทยาศาสตร์, คณะมนุษยศาสตร์ และคณะสังคมศาสตร์ ประกอบด้วยสาขาวิชาประวัติศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ภูมิศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย สังคมศึกษา ภาษาอังกฤษ ชีววิทยา และการประถมศึกษา ซึ่งได้ใช้วิธีการสอบแข่งขันในการคัดเลือกผู้มาเรียนเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาเนื่องจากได้มีการขยายการศึกษาสู่ระดับบัณฑิตศึกษา ทางมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒจึงได้จัดตั้งบัณฑิตวิทยาลัยขึ้นตามวิทยาเขตต่าง ๆ สำหรับวิทยาเขตมหาสารคามนั้น ได้จัดตั้งบัณฑิตวิทยาลัยในปี 2522[15] นอกจากนั้นยังได้จัดตั้งคณะใหม่และยกฐานะหน่วยงานสำคัญขึ้นมา 3 หน่วยงานใน ปีพ.ศ. 2529 ประกอบด้วย คณะเทคโนโลยี สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน ตามประกาศทบวงมหาวิทยาลัยในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 12 พฤศจิกายน 2529 [16], สำนักวิทยบริการ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา [17] สิงหาคม 2529 และสถาบันวิจัยรุกขเวช ตามประกาศจัดตั้งในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2536 มหาวิทยาลัยมหาสารคามมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคามได้มีพัฒนาการมาตามลำดับโดยอาศัยเงื่อนไขของเวลาในการสร้างความพร้อมต่าง ๆ กระทั่งสามารถดำเนินการแยกเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศสำเร็จภายใต้ชื่อ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2537 โดยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัย ซึ่งได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา นับเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งที่ 19 ของประเทศไทย สำหรับแนวคิดในการแยกตัวเป็นเอกเทศนั้นได้เริ่มปรากฏขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2527 โดย ดร.ถวิล ลดาวัลย์รองอธิการบดีเวลานั้นได้มีแนวความคิดที่จะรวมสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาหลัก ๆ ของจังหวัดมหาสารคามเข้าเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่แนวคิดดังกล่าวได้ติดขัดปัญหาบางประการจึงไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ เช่น ปัญหาของต้นสังกัดเดิมของแต่ละสถาบัน เป็นต้น ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. 2531 รองศาสตราจารย์ ดร. วีระ บุญยกาญจนะเป็นรองอธิการบดีจึงได้มีการเสนอให้แยกออกจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒอีกครั้ง โดยให้ลักษณะเป็นสถาบันในนามของสถาบันบัณฑิตศึกษาเพื่อพัฒนาชนบท แต่ให้มีสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัย หากแต่ไม่อาจดำเนินต่อไปให้สัมฤทธิ์ผลได้เช่นกัน กระทั่งในปี พ.ศ. 2535 เมื่อรองศาสตราจารย์ ดร. จรูญ คูณมีเป็นรองอธิการบดี จึงได้มีสืบสานแนวคิดที่จะแยกตัวออกอีกครั้ง และเริ่มปรากฏผลชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ประกอบกับในช่วงเวลานั้น นายสุเทพ อัตถากร ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย ซึ่งได้ให้สนใจและความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ในการสนับสนุนแนวคิดที่จะให้มีมหาวิทยาลัยเกิดขึ้นในจังหวัดมหาสารคาม การดำเนินงานจึงได้เริ่มตั้งแต่การแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยมหาสารคามและคณะกรรมการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2535 จากนั้นจึงได้ดำเนินงานมาตามขั้นตอนจนสามารถยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยได้สำเร็จดังที่กล่าวข้างต้นในช่วงรองศาสตราจารย์ ดร. บุญชม ศรีสะอาด เป็นรองอธิการบดี ซึ่งได้สืบสานแนวคิดและการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องโดยได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งบุคคลภายในและภายนอกในสายงานต่าง ๆ ในระหว่างที่มีการดำเนินการเพื่อยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศนั้นได้มีการทบทวนเรื่องชื่อของมหาวิทยาลัยเพื่อหาความเหมาะสมและเห็นพ้องต้องกันทุกฝ่าย โดยการดำเนินการสำรวจประชามติให้เป็นเอกฉันท์ ซึ่งชื่อที่เสนอในครั้งนั้นมีความหลากหลายของที่มาและแนวคิด ได้แก่ มหาวิทยาลัยอีสาน มหาวิทยาลัยภัทรินธร มหาวิทยาลัยศรีเจริญราชเดช มหาวิทยาลัยศรีมหาชัย มหาวิทยาลัยศรีมหาสารคาม จนกระทั่งได้มาเห็นชอบพร้อมกันต่อชื่อ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในเบื้องท้ายดังปรากฏในปัจจุบัน ภายหลังได้มีการขยายพื้นที่มายัง ป่าโคกหนองไผ่ ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม บนเนื้อที่ประมาณ 1,300 ไร่ ขณะนั้นของรองศาสตราจารย์ ดร. ภาวิช ทองโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคามคนแรก (พ.ศ. 2538-2546) และได้ดำเนินการสร้างอาคารต่าง ๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ภายหลังจึงได้ย้ายศูนย์กลางบริหารงานมา ณ ที่ทำการแห่งใหม่ในปีการศึกษา 2542 อีกทั้งยังได้มีการเปิดสาขาวิชาและคณะใหม่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เพื่อเปิดบริการทางการศึกษาให้มีหลากหลายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังได้เปิดสอนระดับประถมและมัธยมศึกษาในโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยเปิดสอนในปีการศึกษา 2540 เป็นปีการศึกษาแรก และยังได้ขยายการศึกษาระดับปริญญาตรี ปริญญาโทไปยังวิทยาเขตนครพนม (มหาวิทยาลัยมหาสารคาม วิทยาเขตนครพนม ปัจจุบันแยกเอกเทศเป็น มหาวิทยาลัยนครพนม) และศูนย์พัฒนาการศึกษาอุดรธานี โดยใช้สอน ระบบทางไกลผ่านดาวเทียม ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีศูนย์กลางการบริหารงานตั้งอยู่เลขที่ 41 หมู่ 20 ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม มีพื้นที่ประมาณ 1,300 ไร่ และที่ตั้งเดิม ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 269 หมู่ 2 ถนนนครสวรรค์ ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม มีพื้นที่ 368 ไร่ เปิดทำการเรียนการสอนกว่า 200 หลักสูตรใน 17 คณะ 2 วิทยาลัย 2 สถาบันวิจัย คลอบคลุมทั้งสายวิทยาศาสตร์การแพทย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม นับเป็นสถาบันอุดมศึกษา (สถาบันอุดมศึกษา คือ สถาบันที่จัดการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป มีสถานะทั้ง วิทยาลัย มหาวิทยาลัย และสถาบัน) แห่งที่ 14 ของไทยที่ทำการเรียนการสอนระดับปริญญาตรีขึ้นไปถัดจาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (มหิดล), มหาวิทยาลัยศิลปากร, วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร (ม.ศรีนครินทรวิโรฒ), วิทยาลัยวิชาการศึกษาปทุมวัน (ม.ศรีนครินทรวิโรฒ), วิทยาลัยวิชาการศึกษาบางแสน (ม.บูรพา), มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และวิทยาลัยวิชาการศึกษาพิษณุโลก (ม.นเรศวร) ตามลำดับ การบริหารงานรายนามนายกสภามหาวิทยาลัยนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยในปี 2537 จนถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีนายกสภามหาวิทยาลัย ดังรายนามต่อไปนี้
ทำเนียบอธิการบดีอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี มาจากการเสนอชื่อ 2 ทาง คือ การสมัครของผู้ที่มีความสนใจ และการเสนอชื่อ ซึ่งคณะกรรมการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคามได้กำหนดให้มีการรับสมัครและการเสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และเสนอชื่อขอพระราชทานโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งอธิการบดีมหาวิทยาลัย ซึ่งปัจจุบัน มหาวิทยาลัยมหาสารคามมีอธิการบดีมาแล้ว ดังรายนามต่อไปนี้
อัตลักษณ์
พหูนํ ปณฺฑิโต ชีเว คือ ปรัชญาของมหาวิทยาลัย มีหมายความว่า ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน ใบเสมา หมายถึง ภูมิปัญญา พระธาตุนาดูน หมายถึง คุณธรรมความดี สุริยรังสี หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง ลายขิต หมายถึง ภูมิปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรมแห่งอีสาน ความหมายโดยรวม คือ ความเจริญรุ่งเรืองอันเป็นผลจากความรู้และคุณธรรม ผสมผสานกับภูมิปัญญาแห่งท้องถิ่นอีสาน
สีเหลือง หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง ความดีงาม ความอุดมสมบูรณ์ สีเทา หมายถึง ความคิด หรือ ปัญญา (นอกจากนี้ สีเทา ยังเป็นสีร่วมกันของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒและอดีตวิทยาเขตทั้ง 4 แห่งด้วย) รวมหมายถึง การมีปัญญาและความคิดที่ดีงาม อันนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง เพลงมหาวิทยาลัย
โดยเพลงทั้งหมดนี้สามารถฟังได้บน Apple Music การศึกษามหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้เปิดหลักสูตรการเรียนการสอนครอบคลุมทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ การบริหารการศึกษาดำเนินการโดย 17 คณะ 2 วิทยาลัย 1 สถาบัน มีหน่วยงานสนับสนุนการศึกษาประกอบด้วย 1 บัณฑิตวิทยาลัย 1 สถาบันวิจัย 1 ศูนย์วิจัย[9]: 5 ในปีการศึกษา 2563 มหาวิทยาลัยเปิดการสอนหลักสูตรต่าง ๆ จำนวน 203 สาขาวิชา เป็นหลักสูตรระดับปริญญาตรี 92 สาขาวิชา ระดับปริญญาโท 66 สาขาวิชา ระดับปริญญาเอก 42 สาขาวิชา และระดับประกาศนียบัตร 3 สาขาวิชา[25] ประกอบไปด้วย
การก่อตั้งคณะมหาวิทยาลัยมหาสารคามมีหลักสูตรที่เปิดสอนในแต่ละคณะทั้งหมดประมาณ 203 หลักสูตรโดยจะมีการแบ่งหลักสูตรออกเป็น หลักสูตรภาคปกติ หลักสูตรภาคพิเศษ หลักสูตรนานาชาติ หลักสูตรต่อเนื่อง และหลักสูตรสาขาวิชาร่วม โดยแต่ละคณะจะเป็นผู้กำหนดรายวิชาในแต่ละสาขาวิชาที่เปิดสอน
หมายเหตุ
ส่วนงานอื่น ๆหน่วยงานส่งเสริมสนับสนุนการศึกษา[26]
การวิจัยผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติในฐานข้อมูล ISI ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 – พ.ศ. 2548 มีทั้งสิ้น 29 เรื่อง[27] ส่วนในปี พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยมหาสารคามได้รับทุนวิจัยรวมทั้งสิ้น 272 โครงการกว่า 86 ล้านบาท[4][4]: 40 โดยแบ่งตามกลุ่มสาขาวิชาดังนี้
โดยมหาวิทยาลัยมีผลงานการวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่และอ้างอิงในฐานข้อมูล ISI Thomson Reuters สะสมตั้งแต่ปี 2554 - 2563 ทั้งสิ้น 20,368 เรื่อง[4]: 44 ฐานข้อมูล SCOPUS สะสมตั้งแต่ปี 2554 - 2563 ทั้งสิ้น 28,357 เรื่อง[4]: 44 ส่วนในระดับบัณฑิตศึกษานั้น ในปีงบประมาณ 2563 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีผลงานวิจัยเผยแพร่และอ้างอิงในระดับชาติทั้งสิ้น 301 เรื่อง และในระดับนานาชาติทั้งสิ้น 97 เรื่อง[4]: 45 นอกจากนี้ในปีเดียวกันนั้น ฐานข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีการยื่นคำขอจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาทั้งสิ้น 24 รายการ และได้รับการจดทะเบียนอนุสิทธิบัตรจำนวน 2 รายการ[4]: 46 อันดับและมาตรฐานมหาวิทยาลัยการประเมินคุณภาพมหาวิทยาลัย
เมื่อปี พ.ศ. 2549 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลได้เข้าร่วมการประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบันอุดมศึกษาซึ่งจัดประเมินโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) มีหน่วยงานเข้าร่วม 436 หน่วยงาน จาก 36 สถาบันอุดมศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน โดยภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ถูกจัดอันดับอยู่ในระดับ 4 (ดี) [28]และต่อมาในปี พ.ศ. 2554 ภาควิชาวิศวกรรมชีวภาพ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้เข้าร่วมประเมินในโครงการดังกล่าวในสาขา Agricultural/Irrigation/Water Resources Engineering และ Other Engineering Disciplines ผลการประเมินถูกจัดอยู่ในระดับ 5 (ดีมาก) [29] อันดับมหาวิทยาลัยนอกจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยหน่วยงานในประเทศไทยแล้ว ยังมีหน่วยงานจัดอันดับมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศอีกหลายหน่วยงาน ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีเกณฑ์การจัดอันดับและการให้คะแนนที่แตกต่างกัน ได้แก่ การจัดอันดับโดย Quacquarelli Symonds[30]แควกเควเรลลี ไซมอนด์ส หรือ British Quacquarelli Symonds (QS) เป็นบริษัทจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับมากที่สุดแห่งหนึ่ง มีการจัดอันดับครอบคลุมในหลายมิติ เช่น การจัดอันดับเป็นระดับโลก (QS World University Rankings) ระดับทวีปเอเชีย (QS University Rankings: Asia) การจัดอันดับแยกตามคณะ (QS World University Rankings by Faculty) การจัดอันดับแยกตามรายวิชา (QS World University Rankings by Subject) การจัดอันดับคุณภาพบัณฑิต (QS Graduate Employability Rankings 2017) เป็นต้น[31] น้ำหนักการชี้วัด การแบ่งคะแนนจะต่างกันในแต่ละสาขาวิชา เช่น ทางด้านการแพทย์ ซึ่งเป็นสาขาที่มีอัตราการเผยแพร่งานวิจัยสูง การวัดการอ้างอิงและh-index ก็จะคิดเป็น 25 เปอร์เซนต์ สำหรับแต่ละมหาวิทยาลัย ในทางกลับกันสาขาที่มีการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่น้อยกว่า เช่น สาขาประวัติศาสตร์ จะคิดเป็นร้อยละที่ต่ำกว่าคือ 15 เปอร์เซนต์ จากคะแนนทั้งหมด ในขณะเดียวกันสาขาศิลปะและการออกแบบ ซึ่งมีผลงานตีพิมพ์น้อยก็จะใช้วิธีการวัดจากผู้ว่าจ้างและการสำรวจด้านวิชาการ[32] QS Asia
โดยมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้รับการจัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 13 ของประเทศไทย (ร่วมกับแม่ฟ้าหลวงและนเรศวร) และเป็นอันดับที่ 401-450 ของเอเชียในปี 2563[34] ในปี 2564 (2021) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้รับการจัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 13 ของประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 501-550 ของเอเชีย[35] การจัดอันดับโดยไทมส์ไฮเออร์เอดูเคชันซัปพลีเมนต์ได้ประกาศผลอันดับมหาวิทยาลัย รางวัล “THE Social Impact Ranking 2021” หรือมหาวิทยาลัยที่ดำเนินภารกิจเพื่อสังคมที่สร้างผลกระทบต่อสังคมพบว่ามหาวิทยาลัยมหาสารคามได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 1001+ ของโลก และอันดับ 3 ของประเทศไทย[36] โดยได้คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 10.3-25.0 ด้านการสอน 17.9 และด้านการวิจัย 7.9 คะแนน นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ยังมีคะแนนในด้านอื่น ๆ อีก ได้แก่ ด้านรายได้จากภาคอุตสาหกรรม (Industry Income) 34.5 คะแนน ลำดับที่ 14 (1,001+), ด้านมุมมองระหว่างประเทศ (International Outlook) 26.9 คะแนน ลำดับที่ 13 (1,001+), ด้านชื่อเสียงทางวิชาการ (Teaching) 17.9 คะแนน ลำดับที่ 11 (1,001+), ด้านความเป็นเลิศด้านการวิจัย (Research) 7.9 คะแนน ลำดับที่ 15 (1,001+) และด้านการเผยแพร่งานวิจัย (Citations) 9.6 คะแนน ลำดับที่ 15 (1,001+)[37] ในปี 2022 Times Higher Education World University Rankings ได้ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2564 โดยผลการจัดอันดับของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้รับการจัดอันดับที่ 1201+ ร่วมในระดับโลก และอันดับ 4 ร่วมระดับประเทศ และด้านที่ทำคะแนนได้ดีที่สุดเรียงจากมากไปน้อย[38] ได้แก่ 1. ด้านรายได้ทางด้านอุตสาหกรรม (การถ่ายทอดความรู้) 2. ด้านภาพลักษณ์ในระดับนานาชาติ (เจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัย นักศึกษาและการวิจัย) 3. ด้านการเรียนการสอน (สภาพแวดล้อมการเรียนรู้) 4. ด้านการวิจัย (ปริมาณ รายได้และชื่อเสียง) 5. ด้านการอ้างอิง (ผลงานวิจัย) สำหรับการจัดอันดับในปีนี้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลมากกว่า 108 ล้าน citations จากงานวิจัยกว่า 14.4 ล้านฉบับ รวมถึงผลการสำรวจที่ได้จากนักวิชาการกว่า 22,000 คนทั่วโลก ซึ่งอันดับที่ 1 ของโลก ได้แก่ University of Oxford สหราชอาณาจักร นอกจากนี้ Peking University และ Tsinghua University มหาวิทยาลัย 2 แห่งจากสาธารณรัฐประชาชนจีนยังสามารถติด 2 ใน 20 อันดับแรกของโลก สำหรับประเทศไทยนั้น อันดับที่ 1 หรืออันดับที่ 601–800 ของโลก ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล และ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นอกจากมหาวิทยาลัยในประเทศไทยจำนวน 17 แห่ง ที่ติดอันดับแล้ว ยังมีอีก 6 แห่งที่ส่งข้อมูลเข้าร่วมการจัดอันดับในปีนี้ด้วย การจัดอันดับโดย Webometricsการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของเว็บโอเมตริกซ์ ปี พ.ศ. 2559 จัดทำขึ้นเพื่อแสดงถึงความตั้งใจของสถาบันต่าง ๆ ในการเผยแพร่ความรู้สู่เว็บ และเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงความรู้อย่างเปิดกว้าง (Open Access) ทั่วโลก อันดับโอเมตริกซ์จะบอกถึงปริมาณและคุณภาพของสิ่งตีพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ในเว็บไซต์ของสถาบัน โดยพิจารณาจากจำนวนลิงก์ที่เชื่อมโยงเข้าสู่เว็บสถาบันจากเว็บภายนอกโดยวัดจากการสืบค้นด้วยเสิร์ชเอนจิน (Search engine) และนับจำนวนเอกสารตีพิมพ์ออนไลน์ในไฟล์ (อาทีเช่น .pdf .ps .ppt และ .doc) และจำนวนเอกสารที่มีการอ้างอิง (Citations) ผ่านกูเกิลสกอลาร์ (Google Scholar) เว็บโอเมตริกซ์0tจัดอันดับปีละ 2 ครั้ง ในเดือนมกราคม และกรกฎาคม การจัดอันดับล่าสุดในรอบที่ 1 ประจำปี พ.ศ. 2559 มหาวิทยาลัยมหาสารคามอยู่ในอันดับที่ 12 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย อันดับที่ 25 ของภูมิภาคอาเซียน อันดับที่ 279 ของเอเชีย และอยู่ในอันดับที่ 1156 ของโลก [39] และล่าสุดการจัดอันดับรอบที่ 1 ประจำปี พ.ศ. 2563 มหาวิทยาลัยมหาสารคามได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 15 ของประเทศไทย 508 ของทวีปเอเชีย และอยู่ในอันดับที่ 1954 ของโลก[40] การจัดอันดับโดย UI Green Metric World University Rankingเป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวที่จัดโดยมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อสนับสนุนการเป็นมหาวิทยาลัยยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก ในรอบ พ.ศ. 2561 มหาวิทยาลัยมหาสารคามได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 14 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 233 ของโลก[41] การจัดอันดับโดย SCImago Institutions Rankingอันดับมหาวิทยาลัยโดย SCImago Institutions Ranking หรือ SIR ซึ่งเป็นการจัดอันดับสถาบันที่มีผลงานวิจัยในระดับนานาชาติ ในปี พ.ศ. 2553 มหาวิทยาลัยมหาสารคามได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 2863 ของโลก อันดับที่ 767 ของทวีปเอเชีย และเป็นอันดับ 15 ของประเทศไทย[42] ส่วนปี ค.ศ. 2017 อยู่ในลำดับที่ 16 ของประเทศไทยลำดับที่ 649 ของโลก[43] ผลการจัดอันดับสถาบันการศึกษา Scimago Institutions Rankings 2020 ได้รับการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ [44] ซึ่งผลการจัดอันดับประเภทภาพรวม (Overall Rank) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ติดอันดับที่ 15 ของไทย อันดับที่ 781 ของโลก[45] ผลการจัดอันดับสถาบันการศึกษา Scimago Institutions Rankings 2021 ได้รับการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ [46]ปรากฏว่ามีมหาวิทยาลัยในไทยติดอันดับจำนวน 27 แห่ง โดยผลการจัดอันดับ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ติดอันดับที่ 18 ของไทย อันดับที่ 802 ของโลก[47]
Scimago Institutions Rankings เป็นการจัดอันดับจากองค์การในประเทศสเปน ทำการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา โดยมีเกณฑ์ในการพิจารณาจากผลงาน 3 ด้าน[48] ได้แก่
นอกจากการจัดอันดับใน 3 ด้านหลักแล้ว มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ยังได้รับการจัดอันดับในแต่ละกลุ่มสาขาวิชาทั้งสิ้น 14 สาขาวิชาอันได้แก่[49]
หมายเหตุ ผลการจัดลำดับเฉพาะหน่วยงานประเภท สถาบันอุดมศึกษา เท่านั้น! การจัดอันดับโดย uniRankuniRank เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยหน่วยงานไม่แสวงหากำไร IREG Observatory ที่ประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงการศึกษาจากหลายสถาบัน และจดทะเบียนหน่วยงานอยู่ในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม อันดับของ uniRank จะอาศัยการรวบรวมข้อมูลตัววัดเว็บ (web metrics) 5 ฐานข้อมูลได้แก่ 1. Moz Domain Authority 2. Alexa Global Rank 3. SimilarWeb Global Rank 4. Majestic Referring Domains 5. Majestic Trust Flow โดยการจัดอันดับประจำปี ค.ศ. 2019 มหาวิทยาลัยมหาสารคามอยู่ในอันดับที่ 13 ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยภายในประเทศไทย และอยู่ในอันดับที่ 1,413 ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลก [50] การจัดอันดับโดย University Ranking by Academic Performanceอันดับที่จัดโดย University Ranking by Academic Performance หรือ URAP ปี พ.ศ. 2558 มหาวิทยาลัยมหาสารคามได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 16 ของประเทศไทย และอันดับ 1767 ของโลก ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม B โดยมีพื้นฐานทางด้านวิชาการตรงตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คุณภาพและปริมาณของบทความตีพิมพ์ทางวิชาการ บทความวิจัย การเผยแพร่ และการอ้างอิง[51] การจัดอันดับโดย Nature Indexจัดโดยวารสารในเครือ Nature Publishing Group ซึ่งเป็นวารสารทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงชั้นนำของโลก โดยการนับจำนวนบทความที่ตีพิมพ์ต่อปีในวารสารที่ในเครือ Nature Publishing Group โดยล่าสุดปี พ.ศ. 2564 มหาวิทยาลัยมหาสารคามอยู่ในอันดับ 13 ของประเทศไทยในด้านคะแนนรวม[52] แบ่งเป็นด้านเคมี อันดับที่ 14[53] ด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต อันดับที่ 8[54] และด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ อันดับที่ 10[55] การรับบุคคลเข้าศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต และประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง เป็นหลักสูตรที่มุ่งพัฒนานักวิชาการและนักวิชาชีพ ให้มีความชำนาญในสาขาวิชาเฉพาะ สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนางานในสาขาวิชาชีพ นั้น ๆ การศึกษาระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตจะต้องศึกษากระบวนวิชาระดับบัณฑิตศึกษา มีหน่วยกิตรวม ตลอดหลักสูตร ไม่น้อยกว่า 24 หน่วยกิต โดยเป็นกระบวนวิชาในระดับบัณฑิตศึกษา ไม่น้อยกว่า 18 หน่วยกิต โดยหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต สามารถสมัครได้โดยตรงที่คณะวิชาที่เปิดรับได้เลย ระดับปริญญาตรีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้กำหนดวิธีการรับบุคคลเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรีในระบบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ [56]
ระดับปริญญาโทการรับเข้าศึกษาในระดับปริญญาโท มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ [59]
ระดับปริญญาเอกการรับเข้าศึกษาในระดับปริญญาเอก มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ [59]: 5
พื้นที่มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีจำนวนพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 3,592 ไร่[4] ประกอบด้วยเขตพื้นที่การศึกษา 2 เขตและเขตพื้นที่วิจัยและปฏิบัติการ 2 เขต ได้แก่ เขตพื้นที่ในเมือง หรือ ม.เก่าเขตพื้นที่ในเมือง ตั้งอยู่เลขที่ 269 หมู่ 2 ตำบลตลาด อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ระยะห่างจากเขตพื้นที่ขามเรียงประมาณ 10 กิโลเมตร มีพื้นที่รวมทั้งหมด 368 ไร่[4] โดยเป็นพื้นที่เดิมของมหาวิทยาลัย ในช่วงตั้งแต่เป็นวิทยาลัยวิชาการศึกษามหาสารคาม และรวมพื้นที่ของวิทยาลัยศรีอีสาน (คณาสวัสดิ์อุทิศ) ที่ปิดกิจการไปแล้ว เดิมเป็นที่ตั้งของคณะศึกษาศาสตร์ คณะเทคโนโลยี คณะสัตวแพทยศาสตร์และสัตวศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ และคณะการบัญชีและการจัดการ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งหน่วยงานและสถานที่ต่าง ๆ ได้แก่ คณะวิชา
สถานที่สำคัญ
หอประชุมเฉลิมพระเกียรติฯ หรือ ศูนย์ประชุมเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558[61] ตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เขตพื้นที่ในเมือง มีลักษณะเป็นหอประชุมอเนกประสงค์ สามารถรองรับกิจกรรมพิธีพระราชทานปริญญาบัตร และกิจกรรมทางด้านวิชาการ กิจกรรมการประชุม การอบรมสัมมนา การจัดนิทรรศการ ทั้งภายในมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ ชุมชน และเอกชนอื่น ๆ ภายในอาคารประกอบด้วย ห้องโถงอเนกประสงค์ขนาดความจุ 5,000 คน ห้องประชุมย่อยความจุห้องละ 80 คน จำนวน 2 ห้อง และห้องประชุมย่อยความจุห้องละ 60 คน จำนวน 8 ห้อง พร้อมพื้นที่บริการและพื้นที่สนับสนุนต่าง ๆ เขตพื้นที่ขามเรียง หรือ ม.ใหม่เขตพื้นที่ขามเรียง ตั้งอยู่เลขที่ 41 หมู่ 20 ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม เป็นพื้นที่ใหม่ที่ขยายเพื่อรองรับการเติบโตของมหาวิทยาลัย มีพื้นที่ทั้งหมด 1,300 ไร่[4] เริ่มแรกนั้นมีเพียงอาคารราชนครินทร์เป็นอาคารเรียนแรก ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางบริหารงานมหาวิทยาลัย หน่วยงานและสถานที่ต่าง ๆ ได้แก่ คณะวิชาสถานที่สำคัญ
ศูนย์สารนิเทศอีสานสิรินธร เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 โดยผู้ที่ริเริ่มจุดประกายแนวคิดและเป็นกำลังสำคัญผลักดัน คือ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ฉวีลักษณ์ บุณยะกาญจน[62] ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสำนักหอสมุดในขณะนั้นท่านได้มองเห็นคุณค่าและตระหนักถึงความสำคัญของสารสนเทศท้องถิ่น จึงเกิดแนวคิดริเริ่มจัดตั้ง “ศูนย์เอกสารอีสาน” ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์กลางบริการสารสนเทศที่เกี่ยวกับภูมิภาคอีสาน โดยในระยะเริ่มแรกมีผู้มาขอใช้บริการสารสนเทศอีสานที่สำนักวิทยบริการ (เดิมเรียกว่า หอสมุด) ทั้งจากกลุ่มคณะทำงานตามโครงการพัฒนาทุ่งกุลาร้องไห้ กลุ่มนักวิจัยคณะทำงานการพลังงานแห่งชาติ และกลุ่มนักวิจัยอื่น ๆ ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับภูมิภาคอีสานอยู่ในขณะนั้น มักจะติดต่อสอบถามและโทรศัพท์มาถามถึงข้อมูลเกี่ยวกับภาคอีสานอยู่เสมอ คำถามเหล่านี้เมื่อมีจำนวนมากขึ้นทางสำนักวิทยบริการจึงได้เก็บรวบรวมไว้ พร้อมทั้งค้นหาข้อมูลคำตอบจนมีจำนวนข้อมูลอีสานเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้เป็นศูนย์กลางบริการสารสนเทศที่เกี่ยวกับอีสาน ต่อมาในวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2536 ได้รับพระกรุณาจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานนามให้ว่า “ศูนย์สารนิเทศอีสานสิรินธร” และในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2538 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาเปิดศูนย์สารนิเทศอีสานสิรินธร อย่างเป็นทางการ อาคารบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2539 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้มีการก่อสร้างอาคารบรมราชกุมารี ในเขตพื้นที่ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย ขึ้น สร้างแล้วเสร็จเมื่อเดือนสิงหาคม 2541 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จวางศิลาฤกษ์ ในวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2539 และทรงเป็นองค์ประธานเปิดอาคารบรมราชกุมารี ในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2542 พร้อมทั้งพระราชทานนามว่า “อาคารบรมราชกุมารี”[63] โดยอาคารบรมราชกุมารี เป็นอาคารก่อสร้างแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง 4 ชั้น หลังคาทรงไทย มีพื้นที่ใช้สอย 6,000 ตารางเมตร มีจำนวนห้องทั้งสิ้น 40 ห้อง บรรจุบุคลากรเข้าปฏิบัติงานภายในอาคารได้กว่า 200 คน และลองรับบุคคลเข้าติดต่อประสานงานในตัวอาคารเฉลี่ยวันละ 400 คน อาคารบรมราชกุมารี มีความสำคัญโดยเป็นที่ตั้งสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ทั้งยังเป็นศูนย์กลางในการประชุมสำคัญ ๆ ของมหาวิทยาลัย เป็นสถานที่ต้อนรับบุคคลสำคัญและผู้มาเยือนทั่วโลก เป็นอาคารที่นิสิตและบุคลากรมหาวิทยาลัยทุกคนได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อติดต่อประสานงานทางราชการ ถือเป็นหนึ่งในอาคารที่สวยงามที่สุดในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นแลนมาร์คมหาวิทยาลัยในเขตพื้นที่ขามเรียงเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดกิจกรรมเพื่อให้ทั้งบุคลากรและนิสิตได้มีส่วนร่วมเกิดความสัมพันธ์อันดีในมหาวิทยาลัย อาทิ งานประเพณีฮีต 12 คลอง 14 วันสถาปณามหาวิทยาลัย และงานพิธีต่าง ๆ ตามโอกาสที่มหาวิทยาลัยกำหนดขึ้น “ตึกบรม”, “อาคารบรม”, “ตึกอธิการ” เป็นคำเรียกที่คุ้นเคยติดปากของนิสิต และบุคลากร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปัจจุบันอาคารบรมราชกุมารีใช้เป็นที่ทำการของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานอธิการบดี ประกอบด้วย ชั้นล่าง - กองประชาสัมพันธ์และกิจการต่างประเทศ กลุ่มงานสถานีวิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยมหาสารคาม - สำนักหน่วยตรวจสอบภายใน ชั้น 1 - กองประชาสัมพันธ์และกิจการต่างประเทศ - กองกลาง (งานสารบรรณ) - กองคลังและพัสดุ กลุ่มงานการเงินและบริหารงบประมาณ กลุ่มงานจัดหารายได้และผลประโยชน์ ชั้น 2 - กองประชาสัมพันธ์และกิจการต่างประเทศ กลุ่มงานกิจการต่างประเทศ - กองคลังและพัสดุ งานบริหารงานทั่วไป กลุ่มงานบริหารงานพัสดุ กลุ่มงานบัญชี ชั้น 3 - กองการเจ้าหน้าที่ - กองแผนงาน ชั้น 4 - สำนักงานอธิการบดี (งานบริหารงานทั่วไป) - กองกลาง กลุ่มงานบริหารงานทั่วไป กลุ่มงานพิธีการและกิจการพิเศษ กลุ่มงานการประชุม งานเลขานุการ อธิการบดี และห้องประชุม เขตพื้นที่ปฏิบัติการนาสีนวลตั้งอยู่ที่ตำบลนาสีนวล อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ห่างจากเขตพื้นที่ขามเรียงประมาณ 16 กิโลเมตร เดิมพื้นที่นี้เป็นโครงการศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีเกษตรกรรมเฉลิมพระเกียรติ ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นฟาร์มมหาวิทยาลัย[64] และในปี พ.ศ. 2554 ได้มีการสร้างอาคารปฏิบัติการและโรงพยาบาลสัตว์ ของคณะสัตวแพทยศาสตร์[65] ปัจจุบันเขตพื้นที่นาสีนวลเป็นพื้นที่ให้ปฏิบัติงานในด้านการเรียนรู้การสอนของคณะสัตวแพทยศาสตร์ และคณะเทคโนโลยี มีสถานที่ ได้แก่
เขตพื้นที่ปฏิบัติการสถาบันวิจัยวลัยรุกขเวชเป็นพื้นที่ปฏิบัติการของสถาบันวิจัยวลัยรุกขเวช มี 2 ที่คือ พื้นที่ปฏิบัติการตั้งอยู่ที่บ้านเกิ้ง ตำบลเกิ้ง อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม มีเนื้อที่ 273 ไร่ และพื้นที่ปฏิบัติการ ณ อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม มีเนื้อที่ 650 ไร่ ชีวิตในมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยที่ใช้คำว่า "นิสิต" เรียกผู้เข้าศึกษา โดยคำว่า "นิสิต" มีความหมายว่า "ผู้อยู่อาศัย" คำว่า "นิสิต" ได้เริ่มใช้ครั้งแรกในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนื่องจากที่ตั้งของมหาวิทยาลัยถือว่าอยู่นอกเมือง การคมนาคมเพื่อมาศึกษาเป็นการยากลำบาก ดังนั้น ผู้ที่มาเรียนส่วนใหญ่จำเป็นต้องพักภายในหอพักของมหาวิทยาลัย และเรียกบุคคลที่อาศัยในห้องปฏิบัติการว่านิสิตเช่นเดียวกันด้วย ซึ่งในภายหลังมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,มหาวิทยาลัยนเรศวร, มหาวิทยาลัยบูรพา, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยทักษิณ และมหาวิทยาลัยพะเยา ได้เปิดอยู่นอกเมือง และผู้ที่มาศึกษาก็จำเป็นต้องอยู่หอพักเช่นเดียวกัน จึงได้ใช้คำว่า "นิสิต" เช่นเดียวกัน ในปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่าผู้ที่มาเรียนจะไม่ได้พักในหอพักเหมือนในสมัยก่อนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังนิยมเรียกว่านิสิตอยู่[69] กิจกรรมการเรียนในมหาวิทยาลัยมหาสารคามนั้นจะใช้เวลาในการเรียนต่างกันตามแต่ละหลักสูตรในแต่ละคณะ โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้เวลาในการเรียน 4 ปี แต่สำหรับคณะแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ จะใช้เวลาเรียนทั้งหมด 6 ปี ส่วนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์จะใช้เวลาเรียนทั้งหมด 5 ปี[70] นอกจากนี้ก็ยังมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้นิสิตได้เข้าร่วมเพื่อที่จะได้พบปะและทำความรู้จักนิสิตในคณะอื่น ซึ่งมีการจัดหมุนเวียนกันตลอดทั้งปี กิจกรรมนิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีกิจกรรมต่าง ๆ ให้นิสิตได้ทำระหว่างการศึกษาเพื่อเสริมทักษะการอยู่ร่วมในสังคม ไม่ว่าจะเป็น ชมรม ชุมนุม กิจกรรมสาขา งานกีฬาต่าง ๆ วงดนตรี กานแสดงศิลปนาฏศิลป์พื้นเมือง โดยแบ่งออกเป็น กิจกรรมส่วนกลางซึ่งจัดโดย องค์การนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นผู้ดำเนินโครงการ และยังมีกิจกรรมส่วนของคณะซึ่งจัดโดยสโมสรนิสิตแต่ละคณะทั้งหมด 17 คณะ 2 วิทยาลัย และยังมีกิจกรรมเลือกเสรีหรือชมรมต่าง ๆ อีกมากมาย กิจกรรมบายศรีสู่ขวัญน้องใหม่ กิจกรรมบายศรีสู่ขวัญน้องใหม่[71] จัดขึ้น ณ ลานอัฐศิลป์ (ลานแปดเหลี่ยม) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการผูกข้อมือสร้างขวัญและกำลังใจให้กับนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม อีกทั้งเพื่อให้นิสิตใหม่เรียนรู้วัฒนธรรมการบายศรีสู่ขวัญและสืบสานวัฒนธรรมอันดีงาม และเพื่อเป็นการต้อนรับนิสิตใหม่เข้าศึกษาต่อในรั้วมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยมีผู้บริหาร อาจารย์ บุคลากร และนิสิตเข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 10,000 คน จากทั้ง 17 คณะ 2 วิทยาลัย นับเป็นกิจกรรมที่มีมาอย่างยาวนาน ประเพณีประชุมเชียร์ ประเพณีประชุมเชียร์[72] เป็นกิจกรรมที่มุ้งเน้นการถ่ายทอดความสัมพันธ์ของนิสิตรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง ที่ส่งผลให้เกิดความสามัคคี มีระเบียบวินัย มีความภาคภูมิใจในสถาบัน และมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันฉันพี่น้อง โดยมีการจัดกิจกรรมลักษณะสร้างสรรค์ อบอุ่น ประทับใจ เสริมสร้างการพัฒนานิสิต เพื่อถ่ายทอดความเป็นสถาบันผ่านบทเพลง สร้างความภาคภูมิใจในสถาบันรวมทั้งสร้างขวัญและกำลังใจให้กับนิสิตใหม่ ตลอดจนเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้องและนิสิตใหม่ภายในรุ่น อีกทั้งเพื่อให้นิสิตใหม่ได้เรียนรู้ความเป็นอีสาน และเพื่อให้นิสิตใหม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพมหาวิทยาลัยได้ง่าย เป็นการปลูกจิตสำนึกให้รัก ศรัทธา ในสถาบัน เพื่อสืบสานตำนานเชียร์มหาวิทยาลัยมหาสารคามให้คงอยู่สืบไป โดยกิจกรรมนี้ได้แบ่งโซนบริหารจัดการออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่
กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์และอาสาสมัคร การออกค่ายอาสาสมัครของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามมีหลายองค์การ เช่น ชมรมอาสาพัฒนา เป็นต้น ทั้งนี้นิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่จะได้รับการเสนอชื่อการเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร จะต้องเป็นนิสิตที่ทำกิจกรรมในด้านต่าง ๆ เป็นการพัฒนานิสิตในด้าน จริยธรรมและคุณธรรม วิชาการและทักษะวิชาชีพ สุขภาพ โดยเป็นการพัฒนาตนเองและเป็นการทำประโยชน์แก่สังคมอีกด้วย งานเทางามสัมพันธ์กิจกรรมเทางามสัมพันธ์ เกิดขึ้นหลังจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒวิทยาเขตต่าง ๆ ได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยใหม่ ซึ่งประกอบด้วย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และมหาวิทยาลัยทักษิณ แม้ว่าวิทยาเขตต่าง ๆ จะได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศ แต่ด้วยความตระหนักถึงความผูกพันทั้ง 5 มหาวิทยาลัย จึงมีปณิธานที่จะร่วมมือกันในภารกิจอันควรแก่มหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงได้ร่วมมือกันจัดงานเทา-งามสัมพันธ์ ขึ้น โดยใช้สี “เทา” ซึ่งเป็นสีประจำโดยรวมของทุกวิทยาเขตเป็นพื้นฐาน และเพิ่มคำว่า “งาม” ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายและมีคุณค่ายิ่ง มีความหมายรวมเป็น “เทา-งามสัมพันธ์” ในปี 2538 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตสงขลา หรือมหาวิทยาลัยทักษิณ เป็นเจ้าภาพโดยมีรูปแบบกิจกรรมที่เน้นด้านกีฬาและด้านศิลปวัฒนธรรมเป็นหลัก พิธีพระราชทานปริญญาบัตรพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในการประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ในกิจการของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิตของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ณ อาคารศูนย์ประชุมเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ในช่วงเดือนธันวาคมเป็นประจำทุกปี ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้กำหนดครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่ง ไว้เป็นชุดพิธีการสำหรับสำหรับใช้ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ดังนี้
การนับรุ่นมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เริ่มนับรุ่นส่วนกลางครั้งแรกในปี 2517 ครั้งเมื่อยังเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตมหาสารคาม คณะศึกษาศาสตร์ เริ่มนับรุ่นส่วนคณะของตนเองตั้งแต่ปี 2511 สมัยวิทยาลัยวิชาการศึกษามหาสารคาม ส่วนคณะวิทยาศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เริ่มนับรุ่นของตนรุ่นแรกในช่วงการต่อตั้งหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสถิติ และหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย รุ่นเสือดาว เป็นรุ่นที่ถูกก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2517 สัญลักษณ์คือ เสือดาว ซึ่งลักษณะเด่นของเสือดาวนั้น คือ ความกระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว ว่องไว ตื่นตัวอยู่เสมอ ในทุก ๆ ด้าน รุ่นจามรี เป็นรุ่นที่ถูกตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของควายป่า ซึ่งลักษณะเด่นของจามรีคือ เป็นสัตว์ที่รักขน รักความสะอาดเป็นชีวิตจิตใจ รุ่นนี้มีลักษณเด่น คือ เรียบร้อยและแข็งแกร่ง จึงใช้จามรีเป็นสัญลักษณ์เพื่อให้รักษาความสะอาดเหมือนจามรีรักขน รุ่นภุมริน ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2519 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผึ้ง มีลักษณะเด่นคือ มีคามสามัคคีเหมือนผึ้งที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รักที่จะทำงานเพื่อส่วนรวมเป็นหลัก รุ่นมฤคมาศ ก่อตั้งรุ่นขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ. 2520 เป็นสัญลักษณ์ของกวางทอง ลักษณะเด่นของกวางทอง คือ กวางทองเป็นสัตว์ที่ดูแลรักษาความสะอาดของตัวเองเสมอ อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม คอยช่วยเหลือกันและกัน ระวังภัยให้กันและกัน จึงเป็นสัตว์ที่มีความสะอาดเป็นเลิศ และมีความหยิ่งทะนงในความสง่างามของตัวเอง การนับรุ่นของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จะผลัดเปลี่ยนรุ่นกันทุก ๆ 4 ปี โดยไล่ตามลำดับ เสือดาว จามรี ภุมริน มฤคมาศ เมื่อครบแล้วจึงย้อนกลับมารุ่นเสือดาวตามเดิม นับแบบนี้มาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน[75] หอพักนิสิตหอพักนิสิต มีทั้งหมด 21 หอพัก แบ่งได้เป็น หอพักนิสิตในเมือง มีทั้งหมด 11 หอ ได้แก่ หอพักราชพฤกษ์ หอพักชัยพฤกษ์ หอพักปฐมเวศน์ หอพักการเวก หอพักการะเกด หอพักชวนชม หอพักพุทธรักษา หอพักชงโค หอพักอินทนิล หอพักเบญจมาศ และหอพักปาริชาติ[76] หอพักนิสิตขามเรียง มีทั้งหมด 10 หอ โดยหอพักนิสิตในเขตพื้นที่ขามเรียงจะตั้งชื่อตามอำเภอในจังหวัดมหาสารคาม ได้แก่ หอพักกันทรวิชัย หอพักวาปีปทุม หอพักกุดรัง หอพักยางสีสุราช หอพักบรบือ หอพักเชียงยืน หอพักพยัคฆภูมิพิสัย หอพักโกสุมพิสัย หอพักนาดูน และ หอพักชื่นชม [76] การเดินทางการเดินทางมามหาวิทยาลัยนิสิต นักเรียน บุคลากร และบุคคลทั่วไปสามารถเดินทางมามหาวิทยาลัยได้ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว และรถโดยสารประจำทาง โดยรถโดยสารประจำทางที่มีให้บริการในจังหวัดมหาสารคามในปัจจุบัน คือ รถสองแถว ในราคา 8 บาท (ถ้าหลัง 20.00 น. ราคา 10 บาท) แบ่งออกเป็นสายเส้นทาง ดังนี้
การเดินทางภายในมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยมหาสารคามได้จัดรถบริการแก่นิสิต นักเรียน บุคลากร และบุคคลทั่วไป เพื่อให้ได้เดินทางไปยังคณะหรือหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างทั่วถึง โดยมีรถรางไฟฟ้าที่ผ่านหน่วยงานสถานที่ที่สำคัญในเขตพื้นที่ขามเรียง (ม.ใหม่) ผู้ใช้บริการสามารถขึ้นลงได้ตามจุดจอดรถเท่านั้น โดยมีป้ายจุดจอดรถต่าง ๆ ดังนี้ จุดพักรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า จุดจอดรถหลังพลาซ่า จุดจอดรถหอชื่นชม จุดจอดรถหน้าตึกคณะการบัญชีฯ จุดจอดรถหน้าเซเว่น ข้างอาคารบริการนิสิต จุดจอดหน้าคณะวิทยาศาสตร์ (เยื้องตึกวิทยาศาสตร์) จุดจอดหน้าคณะวิทยาศาสตร์ (ป้ายรถเมล์) จุดจอดหน้าคณะสถาปัตยกรรมฯ จุดจอดรถคณะศิลปกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมศาสตร์ จุดจอดรถหน้าป้ายคณะการบัญชีฯ จุดจอดริมคลองป้ายรถเมล์ตรงข้ามคณะการบัญชี จุดจอดรถหน้าอาคารราชครินทร์ (คณะนิติศาสตร์) จุดจอดรถหน้าคณะมนุษยศาสตร์ฯ จุดจอดรถวิทยาลัยการเมืองการปกครอง จุดจอดรถคณะเภสัชศาสตร์ จุดจอดรถคณะสิ่งแวดล้อมฯ จุดจอดรถคณะพยาบาลศาสตร์ จุดจอดรถคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุดจอดรถคณะสาธารณสุขศาสตร์ จุดจอดสะพานคณะเทคโนโลยี จุดจอดหน้าหอพักกันทรวิชัย-ตลาดน้อย จุดจอดหน้าอาคารพลาซ่า และจะกลับมาสิ้นสุดที่จุดพักรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า[77] ปัจจุบันยังไม่มีรถขนส่งบริการในเขตพื้นที่ในเมือง (ม.เก่า) และเขตพื้นที่นาสีนวล ส่วนในเขตพื้นที่ในเมือง (ม.เก่า) สามารถเลือกใช้บริการรถสองแถวได้ ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียง
ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยมหาสารคามตั้งแต่สมัยวิทยาลัยวิชาการศึกษามหาสารคาม สมัยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตมหาสารคาม จนกระทั่งถึงสมัยมหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีหลากหลายตั้งแต่บุคคลสำคัญในด้านการเมืองการปกครอง นักวิชาการ ศิลปิน ข้าราชการและคณาจารย์ เช่น
ระเบียงภาพมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เชิงอรรถ
อ้างอิง
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่นวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
|