จู้อิน
จู้อิน หรือ จู้อินฝูเฮ่า (จีน: 注音符號; พินอิน: zhùyīnfúhào; เวด-ไจลส์: chu⁴yin¹fu²hao⁴ แปลว่า เครื่องหมายกำกับเสียง) เป็นระบบสัทอักษรสำหรับการถอดเสียงในภาษาจีน โดยเฉพาะภาษาจีนกลาง เป็นระบบกึ่งพยางค์ที่มีใช้อย่างกว้างขวางในสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ประกอบด้วยอักษร 37 ตัวและวรรณยุกต์ 4 ตัว ซึ่งเพียงพอที่จะใช้ถอดเสียงที่เป็นไปได้ในภาษาจีนกลาง ถึงแม้ว่าจู้อินจะถูกจัดว่าเป็นชุดตัวอักษร (alphabet) อย่างหนึ่ง ระบบนี้ก็ไม่ได้ประกอบด้วยพยัญชนะกับสระ แต่ประกอบด้วยต้นพยางค์ (syllable onset) กับสัมผัสพยางค์ (syllable rime) ระบบนี้มีพื้นฐานจากตารางสัมผัส (rime table) ของภาษาจีน แต่ใช้เครื่องหมายเสริมสัทอักษร (diacritics) แทนเสียงวรรณยุกต์แยกออกจากเสียงสัมผัส ในฐานะชุดตัวอักษร พยัญชนะต้นพยางค์มีอักษรใช้แทน 21 ตัว ที่เหลือเป็นสระเดี่ยว สระประสม และสระที่มีพยัญชนะสะกดซึ่งใช้อักษรแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น luan จะเขียนเป็น ㄌㄨㄢ (l-u-an) ซึ่งอักษรตัวสุดท้ายใช้แทนสระที่มีพยัญชนะสะกด -an ทั้งชุด เป็นต้น (อย่างไรก็ตาม พยัญชนะสะกด -p, -t, -k ไม่มีการใช้ในภาษาจีนกลาง แต่มีในสำเนียงอื่น สามารถเขียนเป็นตัวห้อยของพยัญชนะเหล่านี้หลังเสียงสระแทน) ในภาษาพูดทุกวันนี้ จู้อินมักถูกเรียกว่า ปอพอมอฟอ (ㄅㄆㄇㄈ: bopomofo) ซึ่งเป็นอักษรชุดแรกในระบบนี้ เอกสารอย่างเป็นทางการในบางโอกาสจะเรียกว่า Mandarin Phonetic Symbols I (國語注音符號第一式) หรือย่อเป็น MPS I (注音一式) ซึ่งชื่อนี้ไม่ค่อยปรากฏการใช้ในภาษาอื่น เลขโรมันที่ปรากฏหลังชื่อมีไว้เพื่อแยกแยะออกจากระบบ MPS II ที่คิดค้นขึ้นในยุคเดียวกันแต่ไม่มีการใช้งานแล้วในปัจจุบัน ประวัติโครงการรวมเสียงอ่านเป็นหนึ่งเดียว (讀音統一會: Commission on the Unification of Pronunciation) นำโดย อู๋ จิ้งเหิง (吳敬恆) นักภาษาศาสตร์และนักปรัชญา ดำเนินงานเมื่อ ค.ศ. 1912–1913 ในสาธารณรัฐจีน[2] ได้สร้างระบบแทนเสียงอ่านที่มีชื่อว่า กว๋ออินจื้อหมู่ (國音字母) หรือ จู้อินจื้อหมู่ (註音字母 หรือ 注音字母) โดยใช้พื้นฐานจากบันทึก จี้อินจื้อหมู่ (記音字母) ของ จาง ปิ่งหลิน (章炳麟) [3] นักนิรุกติศาสตร์ ซึ่งระบบใหม่นี้มีความแตกต่างจากระบบของจางบ้างเล็กน้อย เช่นการเพิ่มหรือตัดตัวอักษรบางตัวออกไป ฉบับร่างของระบบนี้ได้เผยแพร่โดยกระทรวงศึกษาธิการแห่งชาติของสาธารณรัฐจีนเมื่อ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 1913 แต่ยังไม่ได้ประกาศรับรองอย่างเป็นทางการจนกระทั่ง 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1928[2] ต่อมา จู้อินจื้อหมู่ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น จู้อินฝูเฮ่า ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1930 ดังคำพูดโดย จอห์น เดอฟรังซิส (John DeFrancis) จากหนังสือ The Chinese Language: Fact and Fantasy ที่กล่าวไว้ว่า
แต่ในเวลาต่อมา ระบบพินอินซึ่งประกาศใช้โดยจีนแผ่นดินใหญ่ เริ่มเข้ามาแทนที่ระบบจู้อิน ถึงแม้ว่าคำอ่านในพจนานุกรมมาตรฐานบางครั้งก็ระบุการถอดเสียงทั้งแบบพินอินและจู้อิน[5] กระทรวงศึกษาธิการของไต้หวันได้พยายามที่จะยกเลิกการใช้งานระบบจู้อินมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เนื่องจากความเห็นชอบที่จะใช้ระบบที่มีพื้นฐานบนอักษรละตินมากกว่า (เช่น MPS II) อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ดำเนินไปอย่างช้ามาก เนื่องจากความยากลำบากในการอบรมให้ครูโรงเรียนประถมทั้งหมดเข้าใจในระบบอักษรละตินใหม่นี้ การใช้งานในสมัยใหม่วิธีการป้อนข้อมูลจู้อินสามารถใช้เป็นวิธีการป้อนข้อมูลสำหรับอักษรจีน เนื่องจากสามารถป้อนตามเสียงอ่านได้โดยตรง เป็นหนึ่งในไม่กี่วิธีที่สามารถพบได้ในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ไม่ได้ดาวน์โหลดหรือติดตั้งซอฟต์แวร์ใดเพิ่มเติม รวมทั้งการป้อนข้อมูลอักษรจีนบนโทรศัพท์มือถือ การแปลศัพท์บนจอภาพซอฟต์แวร์แปลศัพท์ภาษาจีนบนจอภาพสามารถนำไปใช้ได้หลายจุดประสงค์ จู้อินก็ถือเป็นแนวทางหนึ่งในการศึกษาเรียนรู้ภาษาจีนกลางสำหรับนักเรียนนักศึกษา อักษรจู้อินมีจำนวนตัวอักษรน้อยกว่า มีกฎการเปลี่ยนรูปอักษรน้อยกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับพินอินที่กำกับคำศัพท์คำเดียวกัน (ข้อเท็จจริงคือระบบจู้อินไม่มีการเปลี่ยนรูปเลย) และอักษรจู้อินบางตัวก็มีลักษณะคล้ายอักษรจีนอยู่แล้ว ทำให้นักเรียนนักศึกษาสามารถเรียนรู้ก้าวหน้าไปอีกขั้น ที่มาของอักษรอักษรจู้อินทั้งหมดประดิษฐ์ขึ้นโดย จาง ปิ่งหลิน ซึ่งนำมาจากอักษรจีนโบราณหรืออักษรที่เขียนแบบหวัดเป็นหลัก หรือใช้เพียงส่วนหนึ่งของตัวอักษรเหล่านั้น หนังสือสมัยใหม่ก็ยังคงมีเสียงอ่านเหมือนเช่นตัวอักษรตัวนั้นนำเสนอ อักษรจู้อินในฟอนต์มักจะนำเสนอด้วยการเขียนด้วยพู่กันคงไว้เช่นนั้น (เหมือนการเขียนแบบ regular script) อักษรจู้อินบรรจุอยู่บนยูนิโคดในบล็อกปอพอมอฟอ [1] ที่รหัส U+3105 ถึง U+312D โดยมีตัวสุดท้ายแทนเสียงสระ ㄭ (ih) และสามตัวถัดมาเป็นสำเนียงที่ไม่มีอยู่ในภาษาจีนกลางได้แก่ ㄪ (v), ㄫ (ng), และ ㄬ (ny) นอกจากนี้ยังมีบล็อกปอพอมอฟอส่วนขยาย [2] ที่รหัส U+31A0 ถึง U+31B7 สำหรับภาษาจีนฮกเกี้ยนและภาษาจีนแคะ
การนำไปใช้สัญลักษณ์แทนเสียงเหล่านี้บางครั้งปรากฏเป็นอักษรประกอบคำ (ruby character) ซึ่งพิมพ์ไว้ถัดจากอักษรจีนในตำราเรียนของเด็ก และในหนังสือที่มีอักษรแบบดั้งเดิมซึ่งอักษรนั้นไม่ได้ใช้ในการเขียนปกติทั่วไปในสมัยใหม่ บางครั้งในสื่อโฆษณาใช้แทนคำลงท้ายบางคำ (เช่นใช้ ㄉ แทน 的 เป็นต้น) อย่างไรก็ตามสัญลักษณ์เหล่านี้พบที่ใช้ในสื่อสาธารณะต่างๆ ได้น้อยมาก ที่นอกเหนือไปจากการอธิบายคำอ่านในพจนานุกรม อักษรจู้อินยังถูกจับคู่กับปุ่มต่างๆ บนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ (1=ปอ, q=พอ, a=มอ, z=ฟอ, ฯลฯ) เพื่อเป็นวิธีการหนึ่งสำหรับการป้อนข้อความที่เป็นอักษรจีนเข้าสู่คอมพิวเตอร์ จุดประสงค์เพียงอย่างเดียวของจู้อินในการเรียนในชั้นประถมศึกษา คือเพื่อสอนให้เด็กๆ รู้จักการอ่านภาษาจีนกลางแบบมาตรฐาน (ซึ่งต่างกับพินอินในแง่ของการศึกษาโดยชาวต่างชาติและการทับศัพท์) ตำราชั้น ป.1 ของทุกวิชาจะถูกจัดพิมพ์เป็นจู้อินทั้งหมด หลังจาก ป.1 อักษรจีนจะเข้ามาแทนที่จู้อิน แต่ก็ยังมีจู้อินกำกับไว้ข้างๆ ในช่วง ป.4 การปรากฏของจู้อินจะลดน้อยลงอย่างมาก ซึ่งจะเหลือเพียงแค่ส่วนของการสอนอักษรจีนตัวใหม่ และเมื่อเด็กนักเรียนสามารถเรียนรู้อักษรต่างๆ ได้ ก็จะสามารถถอดเสียงอ่านที่ให้ไว้ในพจนานุกรมภาษาจีนได้ และยังสามารถค้นหาว่าคำๆ หนึ่งเขียนอย่างไรโดยที่ทราบเพียงแค่เสียงอ่านของมัน บางครั้งจู้อินใช้เขียนภาษากลุ่มเกาะฟอร์โมซาบางภาษา อาทิ ภาษาอตายัล [3], ภาษาซีดิก [4], ภาษาไปวัน [5], หรือ ภาษาเตา [6] เป็นต้น จุดประสงค์เพื่อใช้เป็นระบบการเขียนหลักของภาษานั้น ไม่ได้ใช้เป็นระบบการเขียนโบราณอย่างภาษาจีน การเขียน
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ ลำดับขีดของอักษรจู้อิน อักษรจู้อินถูกเขียนให้เหมือนกับอักษรจีนทั่วไป รวมทั้งกฎเกณฑ์ของลำดับการขีดและตำแหน่ง ปกติอักษรจู้อินจะเขียนไว้ที่ด้านขวาของอักษรจีนตัวนั้นเสมอ ไม่ว่าอักษรจีนจะเขียนแนวตั้งหรือแนวนอน โดยทางเทคนิคแล้วการเขียนแบบนี้เรียกว่าอักษรประกอบคำ (ruby character) และพบได้น้อยมากที่อักษรประกอบคำจะไปปรากฏอยู่ข้างบนเมื่อเขียนตามแนวนอน (คล้ายกับฟุริงะนะที่กำกับคันจิในภาษาญี่ปุ่น) กล่องแสดงสัญลักษณ์มักจะมีอักษรจู้อินสองหรือสามตัว (ซึ่งตัวมันเองนั้นมีขนาดพอดีกับสี่เหลี่ยมจัตุรัส) วางซ้อนกันในแนวตั้ง ทำให้กล่องของอักษรจีนหนึ่งตัวมีความยาวเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า เครื่องหมายวรรณยุกต์ของจู้อินมี 4 ตัว ได้แก่ ⟨◌́⟩ แทนเสียงที่สอง, ⟨◌̌⟩ แทนเสียงที่สาม, ⟨◌̀⟩ แทนเสียงที่สี่, และ ⟨◌̇⟩ แทนเสียงที่ห้า (เสียงเบา) ในภาษาจีนกลาง สำหรับเสียงที่หนึ่งจะไม่มีการเขียนวรรณยุกต์กำกับ ระบบพินอินได้นำเอาวรรณยุกต์เหล่านี้ไปใช้ โดยตัดรูปวรรณยุกต์เสียงที่ห้าออก แล้วเพิ่มรูปวรรณยุกต์ ⟨◌̄⟩ สำหรับเสียงที่หนึ่งแทน ตามตาราง ส่วนทงย่งพินอินนั้นใช้วรรณยุกต์เหมือนกับจู้อิน การเขียนวรรณยุกต์จะเขียนที่กึ่งกลางค่อนไปทางขวาของกล่องจู้อิน เว้นแต่เครื่องหมายจุดของเสียงที่ห้า จะเขียนไว้บนสุดของกล่อง จู้อินเทียบกับระบบอื่นทั้งจู้อินและพินอินต่างก็มีพื้นฐานมาจากการออกเสียงภาษาจีนกลางเหมือนกัน ซึ่งสามารถจับคู่สัญลักษณ์ที่ใช้ระหว่างสองระบบนี้ได้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ในตารางต่อไปนี้จะแสดงให้เห็นถึงความเทียบเท่ากันระหว่างจู้อินและพินอิน อักษรในวงเล็บ 【】 ใช้แสดงถึงรูปแบบสำหรับประกอบกับอักษรตัวอื่น
ยูนิโคด
อ้างอิง
|