อักษรซูเมอร์อักษรซูเมอร์ เป็นอักษรที่จัดว่าเก่ามาก ใช้ในเมโสโปเตเมียตอนใต้ ตั้งแต่ราว 4,457 ปีก่อนพุทธศักราช พัฒนาจากการบันทึกบนดินเหนียวที่เริ่มมีมาตั้งแต่ 7,457 ปีก่อนพุทธศักราช มาเป็นอักษรรูปลิ่ม จุดกำเนิดอักษรนี้เกิดจากแนวคิดของชาวซูเมอร์ในการเก็บรักษาแผ่นดินเหนียวที่ใช้นับผลผลิตทางเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมไม่ให้สูญหาย และสามารถจดจำได้ว่า มีจำนวนเท่าใดและใช้นับอะไร โดยการกดรอยให้เป็นสัญลักษณ์ลงบนแผ่นดินเหนียวที่ใช้เก็บขณะยังเปียกอยู่ ต่อมาจึงเลิกใช้แผ่นดินเหนียว หันมาเขียนเครื่องหมายลงบนดินเหนียวที่ยังเปียกอยู่แทน รวมทั้งพัฒนาสัญลักษณ์ในการนับขึ้นใช้แทนการวาดภาพหรือเครื่องหมายซ้ำ ๆ กันหลายอัน การบันทึกแบบนี้พบในเมืองของชาวซูเมอร์ เช่น อูรุก จัมคัต นาสร์ เมื่อราว 2,757 ปีก่อนพุทธศักราช ลักษณะการเขียนครั้งแรกเขียนจากบนลงล่าง ต่อมาเปลี่ยนเป็นจากซ้ายไปขวา (คาดว่าเมื่อราว 2,457 ปีก่อนพุทธศักราช) โดยหมุนรูปอักษรไป 90 องศา ทวนเข็มนาฬิกา และรูปอักษรเริ่มเปลี่ยนจากเส้นตรงและเส้นโค้งเป็นรูปลิ่ม ต่อมา เมื่อ 2,257 ปีก่อนพุทธศักราช เริ่มมีการพัฒนาระบบการเขียนเพื่อใช้แทนหน่วยเสียง มีคำพ้องเสียงที่ใช้แทนคำที่ออกเสียงเหมือนกัน แต่มีความหมายต่างกันมาก ทั้งนี้เพราะในภาษาซูเมอร์มีคำที่เป็นคำโดดมาก ตัวอย่างเช่น อักษรที่ใช้แทนเสียง “ti” (ลูกศร) เหมือนกับที่ใช้แทนเสียง “til” (ชีวิต) เมื่อระบบการเขียนพัฒนามากขึ้น การจำแนกระหว่างอักษรที่ใช้แทนคำกับอักษรที่ใช้แทนพยางค์ทำได้ยากขึ้น มีการพัฒนาอักษรที่เป็นศัพท์กำหนด ใช้นำหน้าหรือตามหลังสัญลักษณ์ ที่แทนเสียงของคำเพื่อบอกความหมาย ระบบการนับในภาษาซูเมอร์และอักษรรูปลิ่มอื่น ๆ เป็นทั้งเลขฐาน 10 และเลขฐาน 60 โดยมีสัญลักษณ์เฉพาะของเลขแต่ละฐาน รวมทั้งการรวมกัน และการยกกำลังของตัวเลขเหล่านั้น เช่น เลข 9 ใช้สัญลักษณ์ของเลข 1 จำนวน 9 ตัว เลข 10 ใช้สัญลักษณ์ของเลข 10 ตัวเดียว เลข 60 ใช้สัญลักษณ์ของเลข 60 และเลข 70 ใช้สัญลักษณ์ของเลข 60 กับเลข 10 เลขฐาน 60 ในปัจจุบัน ยังใช้เป็นหน่วยของเวลาและมุมในวงกลม ชาวเมโสโปเตเมียรุ่นหลัง ๆ ได้แก่ชาวบาบิโลเนีย ชาวอัสซีเรีย และชาวเปอร์เซีย ปรับปรุงระบบเลขของชาวซูเมอร์ มาเป็นระบบที่ขึ้นกับตำแหน่ง แบบเดียวกับระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งลดจำนวนสัญลักษณ์ลงมาก ชาวแอกแคดได้พัฒนาอักษรซูเมอร์มาใช้เขียนภาษาของตน ที่จริงแล้วภาษาซูเมอร์เลิกใช้พูดตั้งแต่ 1,257 ปีก่อนพุทธศักราช แต่ยังคงใช้เป็นภาษาเขียน เช่นเดียวกับการใช้ภาษาละตินในยุโรปยุคกลาง ทำให้มีการใช้ภาษาซูเมอร์ต่อมาจนถึงราว พ.ศ. 643 อ้างอิง
|